'เขามองไม่เห็นอนาคตของชาติ
นี่เป็นเหตุให้เขามองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง'
ข้อความในหนังสือที่เล่าถึงความรู้สึกของ 'เอิร์นสต์ ฟริทดริช ชูมากเกอร์' ในขณะที่กำลังตัดสินใจว่า ควรจะย้ายไปดำรงชีวิตในต่างแดนหรือไม่? ในขณะที่ฮิตเลอร์กำลังพาเยอรมันมุ่งหน้าไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 2
ที่ยกขึ้นมาก็เพราะ ข้อความในหนังสือทำให้นึกถึงเรื่องราวในปัจจุบันอย่างเสียมิได้
การสิ้นหวัง การตั้งคำถามและการดิ้นรนนั้นมีอยู่ในทุกยุคทุกสมัย วิวัฒนาการของมนุษย์เกิดขึ้นก็เพราะเหตุนี้
เพียงแต่เราต้องเริ่มที่จะยอมรับ ว่าเราอับจน ว่าเราไม่รู้และเราต้องการหนทางใหม่ที่ดีกว่า
จากการรื้อค้นหนังสือที่กองทับถมกัน เพื่อหาชุดหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ'อี เอฟ ชูมากเกอร์'
บางเล่มซุกอยู่ในหมวดปรัชญา บางเล่มซุกอยู่กับกองประวัติชีวิตของนักคิดระดับโลก
เหตุเพราะว่า ต้องการนำข้อคิดเรื่อง'ความรู้สี่แดน'ไปสอนนักศึกษา
จากที่เคยอ่าน'แผนที่คนทุกข์'ของเขาเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน เมื่อได้กลับมาอ่านใหม่รวมไปถึงข้อมูลเพิ่มเติมจากเล่มอื่นๆ ทำให้เห็นว่าความคิดของชูมากเกอร์นั้น มิได้ล้าสมัยเลย
นักเศรษฐศาสตร์อย่างชูมากเกอร์ที่เกิดเมื่อ 110 ปีที่แล้ว (เกิดเมื่อปี พ.ศ. 2454) มองทะลุไปถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ความเหลื่อมล้ำ และการเข้าถึงความรู้
เขาเสนอระบบเศรษฐกิจที่เอื้อให้คนยากจนพึ่งพาตนเอง ซึ่งเขาเรียกระบบนี้ว่า 'เศรษฐกิจระดับกลาง' ซึ่งคือการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ซับซ้อน ลงทุนไม่มาก สามารถบริหารจัดการได้เองในท้องถิ่น แต่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น ไม่ต้องเร่งร้อนให้หรูหราฟู่ฟ่า แต่จะเป็นสิ่งที่มั่นคงยั่งยืนมากกว่า
เขาเสนอให้มีแหล่งรวบรวมข้อมูล เป็นศูนย์ความรู้ที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย เชื่อมถึงกันเป็นเครือข่ายไปทั่วโลก ความรู้นี้จะเอื้อให้คนตัวเล็กๆมีความสามารถที่อยู่อย่างพึ่งพาตนเองได้ง่ายขึ้น
สองเรื่องที่ยกมา คุ้นๆไหมครับ
แต่เรื่องที่น่าคิดต่อก็คือ แนวคิดในเรื่องที่เอาไปคุยกับนักศึกษา
'ความรู้ 4 แดน' ครับ
ชูมากเกอร์นำเสนอแนวคิดของมุมมองความเข้าใจผ่าน คู่ 2 คู่ คือ เรากับโลก และ ภายในตัวเรากับภายนอกตัวเรา โดยแบ่งเป็นแดนไว้ 4 แดนคืิอ
1.เราเข้าใจตัวเอง
2.ผู้อื่นเข้าใจตัวเอง
3.ผู้อื่นเข้าใจตัวเรา
4.เราเข้าใจผู้อื่น(โลก)
ในทัศนะการแสงหาความรู้สมัยก่อน ครูบาอาจารย์มักบอกให้เราเริ่มต้นจากการเข้าใจตนเอง สู่การยอมรับความมีตัวตนของผู้อื่น จากนั้นคือการสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจในความคิดของเรา สุดท้ายคือการที่เรามองความเป็นไปของโลก
นั่นคือสิ่งน่าสนใจสำหรับผม เพราะในโลกยุคทุกวันนี้ เรามักจะเริ่มจากการสนใจเรื่องภายนอก สู่การสนใจว่าผู้อื่นจะมองเราอย่างไร (ด้วยยอดไลค์ในโซเชี่ยลเนตเวิร์ค) ถัดมาสนใจว่า..คนอื่นมีการใช้ชีวิตอย่างไร(ผ่านช่องยูทูบและการรีวิว)
สุดท้ายจึงจะเป็นเรื่อง การเข้าใจตนเอง
นี่อาจเป็นเหตุหนึ่งของความขัดแย้งทางความคิดของคนรุ่นใหม่กับเก่า
เมื่อความรู้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น การแสวงหาหนทางของตนเองก็มากตาม มุมมองต่อตัวเองและผู้อื่นก็เปลี่ยนไป
เรายังจำเป็นต้องเข้าใจตนเองหรือไม่?
ในฐานะที่ถูกสอนมาแบบคนรุ่นเก่า ผมยังยืนยันว่า การเข้าใจตนเองจะนำไปสู่การยอมรับผู้อื่น
แต่การเรียนรู้ผู้อื่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราไม่อาจจะเข้าใจตนเอง
แต่ไม่ว่าจะสนใจหรือเรียนรู้อะไร คงต้องเริ่มต้นจากการยอมรับเสียก่อนว่า เราไม่รู้
แฮร่...
ดังนั้นคำที่ผู้มีอำนาจมักพูดอยู่เสมอว่า
"ไม่รู้ ไม่รู้"
แสดงว่า 'ท่านมาเหนือ' จริงๆครับ 😫
ขอให้สนุกกับการมองหาความรู้นะครับ
**เรื่อง'ความรู้ 4 แดน' ยังมีรายละเอียดอีกพอสมควร ลองหาอ่านกันได้นะครับ
***********************************
เพื่อนๆ Blockdit ครับ ผมมีเขียนลงทั้งหมด 3 เพจ แตกต่างกันตามแต่อารมณ์จะพาไป คือ
๏ 'Bear's Books' = นำข้อคิดดีๆที่ได้จากการอ่านหนังสือแต่ละเล่มมาเล่า ชวนให้คิดตามกันไป
๏ 'Bear's Blog' = จิปาถะ กับภาพถ่ายกับมุมมองของชีวิต ในรูปของ บทกลอน เรื่องสั้น หรือ ไฮกุ และ คอลัมน์ การ์ตูนกวนเมือง
๏ 'คิด อย่างสถาปนิก' = เรื่องของสถาปัตยกรรมต่างๆจากสายตาสถาปนิก
ขอเชิญชวนให้เข้าไปแวะชมแวะชิมนะครับ
เผื่อจะมีบางข้อเขียนที่อาจถูกใจ
ฝากติดตาม หรือ แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ครับ
หรือใครสนใจเฉพาะภาพถ่าย
ลองเข้าไปดูและกดติดตามได้ใน
ig : khanaad_photo นะครับ
ขอขอบคุณและหวังว่า เราจะได้รู้จักกันนะครับ 🐻❤
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
