1 พ.ย. 2021 เวลา 14:51 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
"รีวิวหนังเรื่องร่างทรง ในมุมมองของจิตศึกษา และทัศนคติเชิงวิทยาศาสตร์ และพุทธศาสนา"
หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรกในรอบ 2 ปีของผมและกี้ ที่ได้เข้าไปดูในโรงภาพยนตร์
ปกติกี้จะเป็นคนไม่ดูหนังผีเลย และยากมากกว่าที่เค้าจะยอมไปดูหนังผีกับผมซัก 1 เรื่อง
ซึ่งความกลัว ความไม่ชอบ ในส่วนนี้ ก็เป็นจุดเล็กๆจุดหนึ่งที่ขอนำมาเชื่อมโยงกับหนังเรื่องนี้ผ่านบทความนี้ตั้งแต่บรรทัดนี้เป็นต้นไป
ในหนัง เริ่มเรื่องขึ้นมาด้วยตัวละครที่ชื่อนิ่ม ที่เป็นร่างทรงของย่าบาหยัน ผีบรรพบุรุษที่ไม่รู้ที่มาที่ไป รู้อีกที ย่าบาหยันก็ใช้ร่างของลูกหลานที่เป็นผู้หญิงที่เค้าเลือกมาเป็นร่างทรงของตน สืบต่อกันรุ่นสู่รุ่นจนมาถึงวาระของนิ่มตามการดำเนินเรื่องของหนัง
(นิ่มเป็นตัวดำเนินเรื่อง จากหนังที่ถูกเซทมาให้เหมือนมีทีมสารคดีไปติดตามชีวิตของนิ่มเพื่อถ่ายทำสารคดีเกี่ยวกับร่างทรงในจังหวัดแห่งหนึ่งทางแถบอิสานของไทยที่มีความเชื่อเรื่องผีและร่างทรงมาอย่างช้านาน)
ในหนัง นิ่มอธิบายคำว่านับถือผีไว้ได้น่าสนใจมากๆ เค้าบอกว่า ทุกอย่างที่เหนือธรรมชาติ นับเป็นผีหมด ไม่ได้หมายถึงแค่เพียงวิญญาณของบรรพบุรุษเพียงเท่านั้น
ในหนัง มีตัวละครเอกชื่อมิ้ง เป็นหลานของนิ่ม ที่จู่ๆ ก็มีท่าทีแปลกๆ ตั้งแต่ที่พ่อของตัวเองตาย เช่นหูแว่ว เลือดออกขา เหม่อลอย มีลักษณะเหมือนผีเข้า จนทีมสารคดีและนิ่มคิดว่าย่าบาหยันอาจจะต้องการร่างของมิ้งแทนนิ่ม ทางทีมสารคดีจึงขอตามติดถ่ายชีวิตของมิ้งและครอบครัวด้วย
ในหนัง ต้องการจะสื่อสารให้คนดูรู้ว่า มิ้งทั้งทำแท้ง และชอบมั่วในกาม ถึงขนาดพาผู้ชายมากหน้าหลายตามานอนที่ๆทำงานที่เป็นสถานที่ราชการ จนโดนเจ้านายไล่ออก และหลังจากนั้น มิ้งก็มีอาการเหมือนผีเข้า จนนิ่มต้องหาวิธีรักษามิ้งซึ่งเป็นหลาน (ในเรื่องมีการปูพื้นว่าจริงๆร่างทรงต้องเป็นแม่ของมิ้ง แต่เค้าไม่รับและไปเข้าศาสนาคริสต์เพื่อหนีการเป็นร่างทรง นิ่มน้องสาวจึงต้องรับแทน)
จริงๆแล้ว ในกฎของโลก และทุกสิ่งทุกอย่าง ที่วิทยาศาสตร์ค้นพบมีสิ่งที่น่าสนใจที่สุดอย่างหนึ่งนั่นคือ
ทุกสิ่งทุกอย่างคือสสาร และพลังงาน
พลังงานบวกจะดึงดูดพลังงานบวกเข้ามา และผลักพลังงานลบออกไป
พลังงานลบจะดึงดูดพลังงานลบเข้ามา และผลักพลังงานบวกออกไป
พลังงานมีผลต่อสสาร มันสามารถสร้างสสารขึ้นมา และเปลี่ยนรูปสสารได้ เช่น ไฟฟ้าเปลี่ยนเป็น แสงมือถือ เสียงเพลง การติดต่อทางโซเชียล วีดีโอคอลข้ามประเทศ (คือการเปลี่ยนจากพลังงานอย่างหนึ่งสู่พลังงานแบบอื่นๆ)
ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก คือพลังงาน ที่ร่างกายและจิตใจสามารถสร้างขึ้นตลอดเวลาไม่เว้นแม้แต่ยามหล้บ หากมีการตรวจสอบเลือด เซลล์ อัตราการเต้นของหัวใจ ตอนมนุษย์มีอารมณ์ที่ต่างกัน จะเห็นได้ว่ามันมีผลต่างกันเสมอในเชิงรูปธรรม
ถ้าจะวัดง่ายๆที่สุดก็เช่น หากเราโกรธกลางอกจะร้อน แน่นทึบ สายตาบ่งบอกถึงความโกรธ เลือดจะร้อนขึ้น เส้นเลือดจะปูด สมองจะหลั่งสารพิษออกมา และอาจจะตอบโต้สิ่งที่โกรธกลับไปด้วยการด่า ทำลาย ทำร้าย หรืออะไรก็ตาม
หรือยกตัวอย่างเช่น ในหลายสารคดีฆาตรกรรม
ตำรวจ หรือนักพิสูจน์หลักฐาน ให้การว่า เมื่อเข้าไปในที่เกิดเหตุ พวกเค้ารับรู้ได้ถึงความหดหู่ ความเจ็บปวด ความโหดเหี้ยมที่อยู่ตรงนั้น เหมือนเห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง บางคนถึงขั้นปวดหัว หรือแวบเห็นเหตุการณ์เหมือนมันกำลังเกิดขึ้นตรงหน้าก็มี
ดังนั้นแล้ว
พฤติกรรมของมิ้งในหนัง มีเหตุปัจจัยครบถ้วนในการดึงดูด พลังงานลบๆ ที่เคยเกิดขึ้น และฝังไว้ในวัตถุ ในสถานที่ต่างๆตามกฎแรงดึงดูดของสสารและพลังงาน
โดยที่มันก็คือสิ่งเดียวกับที่นิ่มพูดว่า "ผี" นั่นเอง
มิ้งถูกสร้างให้เป็นตัวละครที่เป็นคนที่ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ รักสนุก ขาดจิตสำนึก อารมณ์รุนแรง และสิ่งที่เป็นมิ้งนี่เอง ที่มันไปดึงดูด ผี หรือพลังงานลบต่างๆเข้ามารวมตัวกันในร่างของมิ้ง ซึ่ง มันอาจจะเป็นผีจริงๆ หรือเป็นผีที่จิตใต้สำนึกของมิ้งสร้างขึ้นมาเองก็ได้ (ในรูปแบบของผลกรรมที่เกิดจากความคิด คำพูด และการกระทำ ที่มักจะบันทึกข้อมูลไว้ในจิตและสมองตลอดเวลา)
หนังเดินทางมาถึงจุดที่ นิ่มและอาจารย์ของนิ่มจะทำพิธีไล่ผีจากมิ้งออก แล้วก็เกิดเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นก่อนวันพิธีมากมาย
จนวันก่อนพิธีจะเริ่ม 1 วัน นิ่มก็ตาย ด้วยอาการไหลตาย
ปล่อยให้อาจารย์ของนิ่มทำพิธีคนเดียว กับลูกศิษย์มากมาย และสุดท้ายวิญญาณร้ายก็แข็งแกร่งกว่าและฆ่าทุกคนตายเรียบ รวมถึงตากล้องสารคดีก็ตายเกลี้ยงไม่เหลือ จากการโดนคนที่ถูกวิญญาณร้ายวิ่งไล่กัด และจบลงที่มิ้งจุดไฟเผาแม่ตัวเอง
ก่อนจะมาถึงฉากสุดท้าย
คือฉากที่นิ่มให้สัมภาษณ์ก่อนที่ตัวเองจะตายว่า ไม่รู้ว่าเหตุการณ์นี้(พิธีไล่ผีที่กำลังจะเกิดขึ้น) จะดำเนินไปเรียบร้อยดีไหม เพราะตัวเค้าเองก็ยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นร่างทรงของย่าบาหยันจริงๆหรือเปล่า?
เป็นการจบที่ปล่อยให้ผู้คนตีความกันเองว่า นี่คืออะไร? และเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมอยากเขียนรีวิวนี้
(เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะตีความไปว่า นิ่มหลอกผู้คนด้วยการเอาเรื่องร่างทรงมาอ้างเพื่อหากิน ทั้งๆที่ตนเองไม่ได้เป็นจริงๆ)
สิ่งที่นิ่มพูดว่า ตนเองยังไม่มั่นใจเลยว่าร่างทรงของย่าบาหยันมีจริงไหม?
มันก็ไม่ต่างอะไรกับเวลาที่คนเราเจออะไรแปลกๆ แล้วไม่อยากเชื่อว่ามันเป็นผี หรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ด้วยเหตุผลคือ กลัวว่าคนอื่นจะหาว่าตัวเองเป็นบ้า งมงาย หรืออะไรก็ตาม
มีคนมากมายพบกับประสบการณ์เฉียดตาย การระลึกชาติ เจอวิญญาณ แต่เค้าก็ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจริง
จริงๆแล้ว ทางอเมริกาและยุโรป มีงานศึกษาของเรื่องร่างทรง วิญญาณ การระลึกชาติ ในรูปแบบของวิทยาศาสตร์ ที่มีการค้นคว้า ทดลอง และน่าเชื่อถือมากมาย
แต่พอมีการสัมภาษณ์ไปยังผู้มีประสบการณ์ตรง ก็ได้คำตอบว่า ผู้ที่ประสบกับสิ่งเหล่านี้หลายๆคนก็ไม่อยากจะยอมรับ หรือเชื่อในสิ่งที่เค้าเจอ เค้ามี เพราะว่ามันทำให้เค้าดูแปลกแยก ดูแตกต่าง ดูบ้า ดูเป็นตัวประหลาดสำหรับคนอื่น
เริ่มตั้งแต่คนในครอบครัว ไปจนถึงผู้คนในชีวิต จนทำให้เค้าอยากจะทำเป็นว่ามันไม่จริง ไม่อยากเชื่อ
โดยเฉพาะแพทย์ พยาบาล ที่เจอเรื่องอะไรพวกนี้มากมาย แต่ก็ยังอยากจะยึดในตำรา ทั้งๆที่ตนเองก็ประสบมามากมาย จากเคสคนไข้ต่างๆ ที่วิทยาศาสตร์ (ในทัศนะของพวกเค้าอธิบายไม่ได้) และเมื่อตำราของเค้าไม่ได้เขียนไว้ และสรุปไม่ได้ เค้าจึงสรุปด้วยตนเองว่าตาฝาด บังเอิญ หรือหลอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล
จริงๆแล้ว จิตของมนุษย์เรามันมีพลังมากมายมหาศาล
หากจิตเชื่อในสิ่งใด สิ่งนั้นมันก็มีขึ้นมา
เพราะพลังงานมันไม่ได้หายไปไหน มันแค่เปลี่ยนรูปไปตามเหตุของมัน
ผีและชีวิตหลังความตายก็เช่นกัน
มันมี เพราะเหตุผลที่มันควรมี
ซึ่งเหตุผลนั่นก็คือ ความยึด และความอยาก ความค้างคาในใจ ความห่วง และการตัดสินนั่นเอง
เมื่อคนๆหนึ่งต้องตายไป และตนยังยึดว่ายังอยากดูแลลูกหลาน ยังอยากมาเข้าคนนั้นคนนี้ เพื่อให้ทำตามเจตนารมณ์ของตน
เค้าก็ได้ฝากพลังงานแบบนั้นไว้ หรือพาตัวเองไปเป็นสิ่งนั้น แล้วก็คอยไปเลือกลูกหลานมาเป็นทรงของตน ให้ตนได้มาทำตัวเหมือนเป็นผู้วิเศษ หรือผู้ปกป้องคุ้มครองลูกหลาน ผู้คน และอยากให้คนมายอมรับ อยากให้คนมาบูชา และบันดาลตัวเองให้อยู่ในสภาพแบบนั้นจากจิตที่มีความเชื่อแบบนั้น
ติดยึดอยู่กับความอยาก ความห่วง ความกังวล ความกลัว การไม่ยอมรับความจริง ที่สุดท้ายมันก็บันดาลให้เค้าไปเป็นสิ่งนั้น และก็ยังคงดำเนินชีวิตไปในรูปแบบของเค้า ตามความอยาก ที่มีแต่ความไม่แน่นอน จะเป็นผีร้าย หรือเป็นผีดี ก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์ที่ขาดสติปัญญา ไม่ต่างอะไรกับคน
เมื่อเชื้อของอวิชชายังไม่ดับ การเกิดก็มีอยู่ร่ำไป
ยิ่งทำตามความอยากเท่าไหร่ ก็ไม่จบไม่สิ้นซักที เนื่องจากติดอยู่ในภาระในจิตที่ตนสร้างขึ้นมา โดยที่ไม่รู้ว่าทำไปแล้วได้อะไร และตนเองก็เป็นเหยื่อที่ถูกกิเลสจูงจมูกจูงใจไม่รู้จบ
สุดท้ายแล้ว หนังเรื่องนี้ จึงสะท้อนมุมมองออกมาให้ผมได้เห็นว่า
สุดท้ายแล้ว ทุกคนในหนัง ตัวละครทุกตัว หรือแม้แต่ผีในหนัง
ก็ดำเนินชีวิตไปด้วยความไม่รู้ ด้วยกิเลส ที่เป็นเช่นดังถ่านเติมเพลิงที่เร่าร้อนเผาใจไม่รู้จบ
และมันก็จะดึงผู้คนที่เข้ามาเล่นบทบาทต่างๆ ตามคลื่นความถี่ที่เหมาะสม และลงกันกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
กรรมจากการฆ่าคนไว้เยอะของตระกูลพ่อของมิ้งไม่ได้มาลงที่มิ้งหรอก
แต่มิ้งนั่นแหละที่ทำตนให้เหมาะกับที่จะมาเกิดกับตระกูลนี้ เพื่อรับผลในสิ่งที่มิ้งเคยทำไว้เอง
สุดท้ายนี้
ต่อให้ใครก็ตาม จะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ในความจริงของธรรมชาติ
ความจริงของธรรมชาติ เค้าก็ยังจะคงดำเนินต่อไปในแบบของเค้าแบบนั้น
ผีมี ก็เพราะเราเชื่อว่ามี
เทวดามี ก็เพราะเราเชื่อว่ามี
ผีมี ก็เพราะว่าเราไม่เชื่อว่ามี
เทวดามี ก็เพราะว่าเราไม่เชื่อว่ามี
เช่นกัน
ทางดับทุกข์มี เพราะเราเชื่อ จากการที่เราเดินไปถึงแล้ว หรือเดินมาเรื่อยๆแล้วเห็นว่าทุกข์มันน้อยลง เมื่อมันน้อยลงได้ ก็ย่อมดับ
"ร่างทรง" ในทัศนคติของผม มันจึงเป็นเพียงวัฎจักรที่คนเราสร้างขึ้นมาเองจากความหลง ความไม่รู้ และความยึดถือในสิ่งที่ไม่ควรยึด เพื่อมาทำในสิ่งที่ตนเองให้ค่าว่ามันสำคัญ ว่าตนสำคัญ เพื่อที่จะสนองอัตตาของตนเท่านั้นเอง
สุดท้ายแล้ว
ต่อให้เป็นร่างทรงจริง หรือร่างทรงปลอม
แล้วมันดับทุกข์ถาวรได้จริงหรือยังไงกัน?
♥️
ย้อนกลับไปที่หัวเรื่องในแง่ของความกล้ว
คนดูหนัง 100 คน กลัวไม่เท่ากัน คิดไม่เหมือนกัน ได้ประโยชน์ และเข้าใจต่างกัน
ก็เพราะจิตใจ และความเชื่อ ของพวกเราต่างกัน
แล้วจริงๆแล้ว สาระสำคัญจริงๆ มันคืออะไรกันล่ะ?
ส่วนตัวผม สาระสำคัญก็คือ
"ทุกสิ่งทุกอย่างที่ศึกษา ก็เพื่อทำให้เราได้รู้จักกับจิตใจมากขึ้น"
เพราะเมื่อเราเข้าใจธรรมชาติของจิตใจอย่างแท้จริง
เราย่อมสามารถรู้วิธี และเข้าถึงการดับทุกข์และความไม่รู้ที่มันเกิดขึ้นในใจได้อย่างแท้จริงนั่นเอง
ถ้าตายไป ผมก็จะไม่มาดูแลใคร
เพราะทุกคนมีชีวิตเป็นของตนเอง ที่เราควรจะปล่อยให้เค้าได้เรียนรู้ และดูแลมันด้วยตัวของเค้าเอง
"ความกลัว ความห่วง ความยึดติด ความอยากจะนั่นอยากจะนี่"
มันน่ากลัวว่าที่เราคิดนะครับ
การที่อยากจะไปสิงร่างคนอื่น ไปควบคุมคนอื่น ไปก้าวก่ายชีวิตของคนอื่น ไปบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
"มันเป็นสิ่งที่ดีๆจริงๆหรือ?"
นี่แหละ สิ่งที่ทุกคนควรจะได้ประโยชน์และกลับไปพิจารณา
เพื่อทำความรู้จักกับตนเองตั้งแต่ยังไม่ตาย ว่าคุณกำลังทกตัวเหมือนวิญญาณที่เที่ยวไปเข้าทรงใครให้เค้าเป็นทุกข์อยู่หรือเปล่า
ในฐานะของพ่อ แม่ ครูอาจารย์ เจ้านาย พี่ สังคม หรือฐานะอะไรก็แล้วแต่
จบการรีวิว
ป้อง
โฆษณา