2 พ.ย. 2021 เวลา 12:09 • ธุรกิจ
สร้างตัวจากศูนย์ ถึง ล้าน ด้วย 4 หลักการธุรกิจ ครบรอบ 1 ปี ลาออกจากงานประจำ
30 ตุลาคม คือ วันครบรอบ 1 ปีเต็ม ที่ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพื่อมาโฟกัสการทำธุรกิจเต็มตัวที่ตอนนั้นยังทำเป็นแค่ “งานเสริม” เท่านั้น
ความรู้สึกในวันนั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย เพราะมันคือการลาออกมาในช่วงที่ใครก็บอกว่าให้เกาะงานประจำเอาไว้ให้แน่น ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี ไหนจะไวรัสโควิด-19 อีก ทุกอย่างเต็มไปด้วยความเสี่ยง
2
อย่างไรก็ตาม ผมเลือกที่จะฟังเสียงหัวใจของตัวเอง แล้วจรดปากกาเซ็นใบลาออก พร้อมระบุเหตุผลสั้นๆ แต่ทรงพลังว่า “เพื่อทำตามเป้าหมายของตัวเอง”
เพราะมองว่าในทุกสถานการณ์มันมีทั้ง “โอกาส” และ อุปสรรค” ปะปนกันอยู่เสมอแหละ ขึ้นอยู่กับว่า คุณจะพุ่งไปที่การมองหาอะไร
ถ้าพุ่งไปที่การมองหา “โอกาส” คุณก็จะเห็นโอกาสลอยอยู่ในอากาศเต็มไปหมด แต่ถ้าพุ่งไปที่การมองหาอุปสรรค คุณก็จะเห็นอุปสรรคขวางกั่นเต็มไปหมดเช่นกัน
และแน่นอนว่า ผมพุ่งไปที่การมองหาโอกาส ตอนนั้นผมจึงเห็นช่องทางการทำธุรกิจ และ รายได้มหาศาลกองอยู่ตรงหน้ามากมาย
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผ่านมา 1 ปีเต็ม ผมสามารถยกระดับตัวเองจากมนุษย์เงินเดือน รายได้เด็กจบใหม่เริ่มต้น 15,000 บาท มาเป็นมนุษย์เงินล้านที่ทำรายได้ 6-7 หลักต่อเดือน ได้ภายใน 1 ปี
2
ผมจึงอยากจะนำหลักคิด ที่ผมใช้จริงในการสร้างตัวเองจริงๆ มาแบ่งปันให้ทุกคนนำไปใช้กันครับ
สิ่งแรกที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อน คือ “รายได้” ของคุณ ขึ้นอยู่ “มูลค่า” ของตัวคุณในท้องตลาดครับ
2
โดยปัจจัยที่จะ “กำหนดปริมาณรายได้” ที่คุณจะได้รับนั้นแบ่งออกเป็น 4 ประการ คือ อุปสงค์ อุปทาน คุณภาพ และ ปริมาณ
1
อุปสงค์ คือ ความต้องการซื้อ
อุปทาน คือ ความต้องการขาย
1
สองปัจจัยนี้จะเป็นตัวกำหนดราคาตลาด
สิ่งไหนที่มีคนต้องการซื้อมาก แต่หาได้ยาก ราคาก็จะแพง
สิ่งไหนที่มีคนต้องการซื้อน้อย และ หาได้ทั่วไป ราคาก็จะถูก
หลักการนี้ใช้ได้กับทั้ง “สินค้า” และ “บุคคล”
ตำแหน่งงานไหนที่หาคนทำได้ยาก แต่ความต้องการสูง เช่น โปรแกรมเมอร์ วิศวกร หมอ เงินเดือนจะสูงมาก
1
ตำแหน่งงานไหนที่หาคนทำได้ทั่วไป เช่น ฝ่ายบริการลูกค้า การตลาด บัญชี เงินเดือนก็จะน้อย ซึ่งผมอยู่ในกลุ่มนี้ จึงได้รับเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท เหมือนเด็กจบใหม่ทั่วไป
ดังนั้น สิ่งแรกที่จะทำให้คุณมีรายได้มากขึ้น คือ ต้องรู้ว่าสินค้าหรือบริการไหนที่มีความต้องการสูง และ หาได้ยาก เพื่อที่จะได้ทำในสิ่งนั้น และ ที่สำคัญที่สุดคือการ เพิ่มมูลค่าของตัวเอง ให้ขึ้นไปอยู่ในจุดที่หาคนอื่นมาแทนยากให้ได้
1
และ นี่คือเหตุผลที่ผมเลือกเข้าไปทำงานประจำครับ
1
เป้าหมายแรก และ เป้าหมายเดียวของผมในการทำงานประจำ ไม่ใช่การทำงานหาเงินเลี้ยงชีพ แต่คือการเข้าไปเรียนรู้เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายของตัวเอง นั่นก็คือ การเป็นเจ้าของธุรกิจ
งานประจำ คือ สนามจริง ห้องเรียน และ ห้องทดลอง ในเวลาเดียวกัน
1) มันทำให้คุณได้ศึกษาจากวงใน และ เห็นภาพรวมในตลาดทั้งหมดว่าสิ่งไหนขายได้ราคาแพง สิ่งไหนขายได้ราคาถูก สิ่งไหนมีคนต้องการสูง สิ่งไหนมีคนต้องการน้อย และ หาได้ทั่วไป
2) คุณสามารถสร้างคอนเนกชั่นทางธุรกิจให้กับตัวเองได้
1
3) คุณจะค้นพบว่าจริงๆ แล้วชอบคุณธุรกิจนั้นจริงๆ ไหม โดยไม่ต้องลงทุนเงินของตัวเองเลย เพราะบางคนอาจจะชอบทานกาแฟ ชอบนั่งร้านกาแฟ เลยอยากเปิดธุรกิจร้านกาแฟ แต่พอเข้าไปสวมบทเจ้าของธุรกิจกาแฟจริงๆ คุณจะเห็นอีกมุมหนึ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนตอนเป็นลูกค้า คุณอาจจะต้องล้างแก้ว ถูพื้น บริหารคน ทำบัญชี ทำการตลาด และ ต้องรับคำวิจารณ์ ซึ่งถ้าคุณลองเข้าไปทำงานประจำก่อน แล้วพบว่าชอบธุรกิจนั้นจริงๆ ก็ลุยได้เลย แต่ถ้าไม่ชอบคุณก็ไม่ต้องเสียเงินก้อนโต แล้วมารู้ทีหลังว่ามันไม่ใช่
3
ที่สำคัญ งานประจำ ช่วยให้ปัจจัยที่ 3 ซึ่งเรียกว่า “คุณภาพ” ของคุณเพิ่มมากขึ้นด้วย
ตอนแรกทักษะความสามารถของคุณอาจจะมีค่า 15,000 บาท เพราะมันหาได้ทั่วไป
2
แต่พอคุณทำงานประจำไปสักระยะ ความรู้ ความชำนาญ และ มาตรฐานของคุณก็จะยกระดับสูงขึ้น จากที่เคยหาได้ทั่วไปก็จะเริ่มทดแทนได้ยาก ทำให้คุณเริ่มมีความต้องการในตลาดมากขึ้น รายได้ของคุณก็จะเพิ่มสูงขึ้น ผ่านการปรับฐานเงินเดือน
หลายครั้งบริษัทต้องยอมเพิ่มฐานเงินเดือนเพื่อรั่งพนักงานคนนึงเอาไว้ ก็เพราะว่ามันหาแทนได้ยากนี่แหละครับ ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผมทำงานประจำ ผมก็ได้รับการปรับฐานเงินเดือนขึ้นมาจนถึง 22,000 บาท
นอกจากเรื่องของตัว "บุคคล" แล้ว "สินค้า" ก็เป็นแบบเดียวกัน
อย่างธุรกิจขายหนังสือของผม แน่นอนว่ามันเป็นของที่หาได้ทั่วไปตามร้านหนังสือ คนจึงมองหาของลดราคาของราคาถูกกันมากกว่า
แต่สิ่งที่ผมทำ คือ เพิ่มบริการเข้าไป โดยการแนะนำหนังสือที่เหมาะสมกับลูกค้าให้ บางคนมีปัญหาการเงิน ธุรกิจ การค้นหาตัวเอง ความรัก ซึ่งทุกคนรู้ว่าหนังสือจะสามารถช่วยแก้ปัญหาให้พวกเขาได้
แต่ปัญหา คือ พวกเขาไม่รู้ว่าวิธีแก้มันอยู่ในหนังสือเล่มไหน ในฐานะที่ผมเป็นคนอ่านหนังสือมาเยอะมากๆ ผมจึงรู้หมดว่าหนังสือแต่ละเล่มช่วยเรื่องอะไร และ ช่วยใครได้บ้าง จึงสามารถแนะนำให้พวกเขาได้ถูกจุด
กลายเป็นว่าคนไม่ได้เข้ามาซื้อสินค้าแล้ว แต่เขาเข้ามาซื้อบริการ หรือ วิธีแก้ปัญหา จากผมต่างหาก
คราวนี้ บริการแบบนี้มันไม่ได้หาได้ทั่วไปครับ เพราะไม่ใช่ใครก็ทำได้ และ ความต้องการของคนก็สูงด้วย
1
จึงทำให้ "อุปสงค์" มีมากกว่า "อุปทาน" พูดง่ายๆ คือ มีคนอยากซื้อ มากกว่าคนขาย ประกอบกับ "คุณภาพ" ของบริการที่ตรงใจลูกค้า
ซึ่ง 3 ปัจจัยแรกที่ผมกล่าวไป จะหลอมรวมกันเป็นสิ่งที่เรียกว่า “คุณค่า”
4
และเมื่อ "คุณค่า" สูงขึ้น ผมจึงสามารถขายราคาแพงได้สบายๆ
หรือ แม้แต่ตัวคุณเอง ถ้าทักษะความรู้ของคุณ มีคนต้องการมาก และหาแทนได้ยาก คุณก็สามารถเรียกเงินเดือนได้แบบสบายๆ เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สำคัญที่สุด ที่จะทำให้รายได้ของคุณเติบโต คือ “ปริมาณ” ครับ
ปริมาณ หมายถึง สิ่งที่คุณทำสามารถส่งผลกระทบต่อจำนวนคนได้มากแค่ไหน ?
เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ผมจึงทำออกมาเป็นสมการง่ายๆ คือ
รายได้ = คุณค่า x จำนวนคน
ยกตัวอย่าง ผมทำงานประจำเงินเดือนตอนนั้น 20,000 บาท ซึ่งเป็นค่าความรู้ ความสามารถของผม โดยผมขายความรู้ของตัวเองให้กับ 1 บริษัท
2
สมการก็จะเป็น 20,000 x 1 = 20,000 คือ รายได้ของผม
แต่สิ่งที่ผมเห็น คือ บริษัทสามารถนำผลงานและความรู้ของผมไปขายให้กับลูกค้าได้จำนวน 500 คน
2
สมการก็จะเป็น 20,000 x 500 = 10,000,000 (สิบล้านบาท) คือ รายได้ของบริษัท
1
เห็นความแตกต่างไหมครับ แม้ว่า “คุณค่า” จะเท่ากัน แต่รายได้ต่างกันคนละขั้ว เพียงเพราะปัจจัยเดียว นั่นก็ คือ “ปริมาณ”
ดังนั้น ต่อให้คุณพัฒนาความรู้ ความชำนาญ ของตัวเองมากเท่าไหร่ แต่ยังทำงานประจำอย่างเดียว รายได้ของคุณจะโตช้ามาก เพราะสิ่งที่เพิ่มขึ้นมีแต่ “คุณค่า” แต่ปริมาณยังมีค่าเท่าเดิม นั่นก็ คือ บริษัทเพียงคนเดียว
1
แน่นอนถ้าเป็นยุคก่อน การจะเพิ่มปริมาณได้ มันเป็นเรื่องยากมาก
ถ้าคุณจะทำธุรกิจ เช่น ร้านกาแฟ ร้านหนังสือ ร้านอาหาร คุณก็ต้องขยายสาขา ทำแฟรนไชส์ หรือ ทำเป็นรูปแบบเครือข่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย และ ต้องลงทุนสูงมาก ซึ่งผมไม่มีเงินทุนขนาดไหน
บริษัทจึงเป็นสิ่งเดียว ที่สามารถส่งมอบคุณค่าให้กับคนจำนวนมากได้ เพราะเขามีทั้งเงินทุน และ ทรัพยากรมากมาย
แต่ในยุคนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วครับ เพราะยุคนี้เรามีเครื่องมือที่มหัศจรรย์มากๆ นั่นก็คือ “ออนไลน์”
ออนไลน์ คือ เครื่องมือที่จะทำให้คุณสามารถส่งมอบ “คุณค่า” ที่ตัวเองมีไปหาผู้คนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วและต้นทุนต่ำที่สุด
ผมจึงนำความรู้ที่ผมมอบให้กับบริษัท และ ประสบการณ์ที่ผมได้รับ จากทั้งการทำงานประจำ และ การอ่านหนังสือ รวมถึงธุรกิจโรงเรียนสอนเทควันโดเล็กๆ มาส่งมอบให้กับผู้คนผ่านงานเขียนโดยตั้งชื่อว่า เพจสมองไหล
แม้ว่าช่วงแรก จำนวนคนอาจไม่ได้เยอะ มีคนอ่านมันไม่ถึง 10 คนด้วยซ้ำ และ คุณค่า นั้นมันก็ยังไม่มากพอที่คนจะยอมจ่ายเงินให้กับผม
1
แต่ผมก็ยังทำทุกวิถีทาง เพื่อเพิ่มทั้ง “คุณค่า” และ “ปริมาณ” ให้มากขึ้นให้ได้ ทั้งการลงมือทำอย่างสม่ำเสมอไม่เคยหยุด การอ่านหนังสือไม่เคยพัก เข้าสัมมนา และ ลงคอร์สเรียนเพิ่มอยู่ตลอด
จนกระทั่งสมการเริ่มเปลี่ยนไป…
ตัวแปรแรก คือ “ปริมาณ” จำนวนผู้รับ เพิ่มมากขึ้น จากหลักสิบเป็นหลักแสน
ตัวแปรที่สอง คือ “คุณค่า” เพิ่มมากขึ้นเพียงพอที่คนจะยอมจ่ายเงินให้กับผม
1
- จากเพจบทความธุรกิจทั่วไป กลายเป็นจำหน่ายหนังสือทางออนไลน์ ที่มีลูกค้ามากกว่า 10,000 คนต่อปี โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน
- จากเพจขายหนังสือที่คนอื่นเขียน กลายเป็นเขียนหนังสือของตัวเอง ที่มีชื่อว่า "งานประจำสอนทำธุรกิจ" จนติดอันดับหนังสือขายดีของประเทศ และ กำลังจะมีเล่มที่ 2 ออกมาเร็วๆ นี้
2
- จากบทความหน้าเพจ ขยายไปทำเป็นพอดแคสต์ทางยูทูป ที่มีผู้ฟังมากกว่าแสนคน
2
- จากความรู้การตลาดฟรีๆ กลายเป็นความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจออนไลน์ เกิดเป็นคอร์ส Online Signature Master Class 2021
2
- จากประสบการณ์ทางธุรกิจออนไลน์จนเชี่ยวชาญ กลายเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรชั้นนำ
- จากธุรกิจความรู้บนออนไลน์ ขยายเป็นธุรกิจเครื่องดื่มร้านกาแฟ ที่ไม่ได้ขายแค่หน้าร้านให้กับคนในพื้นที่ แต่มีโมเดลที่สามารถการทำเงินทางออนไลน์ได้มหาศาล อีก 3 ช่องทาง
2
- และ ธุรกิจอื่นๆ ที่ผมยังไม่เปิดเผย
และ แน่นอนเมื่อสมการเปลี่ยนไป รายได้ของผมจึงเติบโตขึ้นจากหลักหมื่น เป็นหลักแสนหลักล้านต่อเดือนทันที ภายในเวลาเพียง 6 เดือนหลังจากลาออกจากงานประจำท่ามกลางเสียงคนรอบข้างที่บอกว่ามันเสี่ยง เศรษฐกิจไม่ดีจะไปทำอะไรได้ เห็นไหมว่าโควิด-19 ทำคนเจ๊งไปเท่าไหร่
1
คำถาม คือ ผมเก่งกว่าคนอื่นที่ทำงานในบริษัทและรับเงินเดือนมากกว่าผมไหม
1
คำตอบ คือ “ไม่”
ผมเก่งน้อยกว่าพวกเขามากๆ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ ตัวแปรสำคัญ ที่เรียกว่า “ปริมาณ” เท่านั้นเอง
1
ฟังดูเหมือนง่าย แต่ทำไมหลายคนถึงทำไม่ได้
นั่นก็เพราะคนส่วนใหญ่ไม่สามารถก้าวข้ามคำว่า “ความกลัว” ของตัวเองได้ยังไงล่ะครับ
1
แต่จงจำเอาไว้ว่า ​​อะไรที่คุณทำแล้วไม่รู้สึก “กลัว” มันไม่มีทาง “เปลี่ยนแปลง” คุณได้หรอก
2
กลัวนั่นแหละดี เพราะมันคือสัญญาณว่า คุณกำลังท้าทาย “ขีดจำกัด” ของตัวเอง
3
จงเผชิญหน้ากับมันซะ เพราะเมื่อไหร่ ที่คุณลงมือทำจนความกลัวหายไป คุณจะกลายเป็น “คนใหม่” ที่ก้าวหน้ากว่าคนเดิม
1
ขอเพียงเชื่อมั่นในตัวเองว่า “คุณทำได้”
2
# แต่สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุด ไม่ใช่การเติบโตของตัวเองหรอกครับ
แต่ คือ การได้เห็นผู้อื่น นำความรู้ที่ผมแบ่งปัน ไปลงมือทำจริงจนประสบความสำเร็จ
2
อย่างลูกเพจคนหนึ่ง จบแค่ ม.3 แต่อ่านบทความจากเพจผมทุกวัน ฟังทุกคลิป ดูทุกไลฟ์ อ่านหนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจทุกบรรทัด จนเริ่มเอาไปลงมือทำจริง ใช้โมเดลที่ผมเคยทำ จนตอนนี้ผ่านมาแค่ 6 เดือน ก็มีร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของตัวเองแล้ว 2 สาขา
หรือ เด็กหญิงวัย 19 ปีคนหนึ่งที่เข้ามาเรียนคอร์ส Online Signature ก็เอาวิธีการที่ผมสอนไปใช้ จนตอนนี้มีรายได้หลักหมื่นต่อเดือนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ
1
หรือ ลูกศิษย์อีกคนหนึ่ง ที่จบ ม.6 แต่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ เลยไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาเลย จึงลองมาทำออนไลน์ และ ได้เข้ามาเรียนในคอร์ส Online Signature ด้วย ตอนนี้ก็ทำเงินได้หลักแสนต่อเดือน
3
รวมถึงคนทำงานประจำอื่นๆ และ เจ้าของธุรกิจ ที่เข้ามาลุยด้วยกัน และ เติบโต 10 เท่า ในปีนี้
1
ถ้าคุณอยากจะเป็นส่วนหนึ่ง ของสังคมแห่งการเติบโต สังคมแห่งความเป็นไปได้ เข้ามาลุยในคอร์สด้วยกันได้ครับ
1
จากราคาปกติ 46,000 บาท
ตอนนี้มีราคาพิเศษสำหรับ 10 คนแรก
เหลือเพียง 10860 บาท เท่านั้น
และ แถมฟรีคอร์ส Content make over วิธีทำคอนเทนต์ที่จะทำให้การลดการมองเห็นของเฟซบุ๊กไม่มีผลกับคุณเลย มูลค่า 9,000 บาท ซึ่งจะเปิดตัวเดือนธันวาคมนี้ครับ
ชำระได้ทั้งเงินสด และ บัตรเครดิต หรือ ผ่อน 0% 10 เดือน ครับ
✅ ทักมาได้เลยครับที่ไลน์ @samounglai
2
โฆษณา