4 พ.ย. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
4 กลยุทธ์ที่ทำให้ เสื้อตราห่านคู่ ยืนหยัดมาได้เกือบ 70 ปี
ยุคนี้มีแบรนด์เสื้อผ้าชั้นนำจากต่างประเทศ มาให้ผู้บริโภคเลือกซื้อกันมากมาย ทำให้แบรนด์เสื้อผ้าในประเทศไทยหลายรายก็ต้องเจอการแข่งขันที่มากขึ้นกว่าในอดีต
บางรายแข่งขันไม่ไหวก็ต้องปิดตัวลงไป แต่ก็มีบางรายที่ยังสามารถยืนหยัดแข่งขันในธุรกิจมาอย่างยาวนาน
หนึ่งในนั้นคือ แบรนด์ที่ชื่อว่า “ตราห่านคู่” เสื้อยืดและเสื้อกล้ามสีขาวธรรมดา ๆ ที่วางขายตามร้านค้าทั่วไป
ซึ่งจากก้าวแรกจนวันนี้ เป็นเวลาเกือบ 7 ทศวรรษที่เสื้อตราห่านคู่อยู่กับคนไทย และสร้างรายได้เกือบ 500 ล้านบาท
คำถามน่าสนใจก็คือ “กลยุทธ์การทำธุรกิจ” ของเสื้อตราห่านคู่ เป็นอย่างไร ?
THE BRIEFCASE จะสรุปให้ฟัง
1. มองหาโอกาสต่อยอดธุรกิจจาก “ธุรกิจซื้อมาขายไป” สู่ “ธุรกิจเสื้อผ้า”
รู้หรือไม่ว่า จุดเริ่มต้นของเสื้อตราห่านคู่ เกิดจากคุณเจือ ธนสารสมบัติ (เจือ แซ่ฉั่ว) ชาวจีนที่อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยู่ประเทศไทย
เมื่อเข้ามาในเมืองไทยแล้ว ในปี 2496 คุณเจือและหุ้นส่วนของเขาได้ร่วมก่อตั้ง บริษัท เซ่งเชียงไถ่ จำกัด ขึ้นมา โดยทำธุรกิจซื้อมาขายไป (Trading) ด้วยการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศเข้ามาขายในประเทศไทย
โดยสินค้าที่นำเข้ามานั้นมีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น กระติกน้ำตราอูฐ, ตู้ร้อน, สบู่หอม, น้ำหอม รวมไปถึงเสื้อยืด, เสื้อกล้าม และกางเกงชั้นใน เป็นต้น
หลังจากนั้น คุณเจือเริ่มเล็งเห็นแล้วว่า สินค้าพวกเสื้อผ้าน่าจะไปได้ดี
เพราะเขามองว่า เมืองไทยนั้นเป็นเมืองร้อน ดังนั้น เสื้อผ้าที่ใส่ก็ควรใส่แล้วสบายตัว ไม่เหนอะหนะ เหนียวตัว
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง บริษัท โรงงานไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด
เพื่อมาผลิตเสื้อผ้าภายใต้แบรนด์ตราห่านคู่อย่างเต็มตัว
ซึ่งช่วงแรกที่ผลิตเสื้อผ้าขายนั้น จะมีแค่เสื้อกล้ามและเสื้อยืดคอกลมสีขาวเท่านั้น
เมื่อผลตอบรับดี บริษัทจึงเริ่มลงทุนนำเครื่องจักรที่ทันสมัย ในการผลิตเสื้อผ้ามาใช้ในการควบคุมคุณภาพ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน
บริษัทยังมีการคัดเลือกวัตถุดิบจากแหล่งผลิตที่มีคุณภาพ
อย่างกรณีของฝ้ายนั้น ส่วนใหญ่บริษัทจะจัดหามาจากประเทศออสเตรเลีย
เนื่องจากมีแหล่งผลิตฝ้ายที่มีคุณภาพ สะอาด ซึ่งจะช่วยให้สามารถผลิตเสื้อผ้าที่มีความทนทาน และมีความนุ่ม ได้เป็นอย่างดี
2. ปรับโลโกสินค้า เพื่อสร้างความเป็นตำนานของแบรนด์
 
ถ้าใครเคยสังเกตดี ๆ จะพบว่า ในอดีตนั้นโลโกตราห่านคู่จะมีเพียงรูปห่าน 2 ตัว หันหน้าเข้าหากัน เท่านั้น
2
แต่ในเวลาต่อมา โลโกดังกล่าวก็มีการปรับเปลี่ยนด้วยการเพิ่มคำว่า Since 1953 พร้อมด้วยภาษาอังกฤษคำว่า “Double Goose” ต่อท้าย
เพื่อสื่อให้เห็นว่า ตราห่านคู่ เป็นแบรนด์ที่อยู่มานาน ทั้งยังแสดงถึงเอกลักษณ์ของตราห่านคู่มากขึ้นกว่าเดิม นั่นเอง
3. ขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ตามยุคสมัย
ด้วยความที่ตราห่านคู่นั้น เกิดขึ้นมาในยุค Baby Boomer (ระหว่างปี 2489-2507) ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปลูกค้าในกลุ่มนั้นมีอายุมากขึ้น แต่ตราห่านคู่ก็ต้องการที่จะจับกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ ๆ ด้วยเช่นกัน
บริษัทจึงมีการพัฒนาสินค้าตัวเองตามยุคสมัย ไม่เพียงแค่เพิ่มสีสันมากขึ้น จากเดิมมีเพียงแค่สีขาว แต่ยังมีการเพิ่มรูปแบบเสื้อผ้าทั้ง เสื้อยืดคอกว้าง, เสื้อไร้ตะเข็บ, เสื้อคอวี ให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น กลุ่มผู้หญิงและเด็ก
4. ปรับตัวตามสถานการณ์ ด้วยการผลิตสินค้าที่กำลังเป็นที่ต้องการ
ปัจจุบันนี้ ยอดขายหลัก ๆ ของเสื้อตราห่านคู่ จะมาจากร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม 60% และร้านค้าปลีกสมัยใหม่ 40%
โดยรายได้และกำไรของบริษัท โรงงานไทยแลนด์นิตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตเสื้อผ้าแบรนด์ “ห่านคู่”
ปี 2561 รายได้ 584 ล้านบาท กำไร 113 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 607 ล้านบาท กำไร 119 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้ 468 ล้านบาท กำไร 81 ล้านบาท
2
ซึ่งแม้ว่า การแพร่ระบาดของโควิด 19 จะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รายได้และกำไรลดลงในปี 2563
แต่บริษัทก็พยายามปรับตัวจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยการผลิต “หน้ากากผ้าอนามัย” ที่มีคุณสมบัติสะท้อนน้ำ และต่อต้านแบคทีเรีย ในช่วงเวลาที่ผู้บริโภคกำลังมีความต้องการหน้ากากผ้าอนามัย
และถ้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 เริ่มดีขึ้น คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตเหมือนปกติมากขึ้น วันนั้นเสื้อตราห่านคู่ ก็คงจะกลับมาขายดีและเติบโตเหมือนเดิม
1
สุดท้ายแล้ว เรื่องนี้น่าจะบอกเราได้ว่า ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน
แต่ตราห่านคู่ก็ยังคงยืนหยัดความเป็นแบรนด์ “เสื้อผ้า” อย่างเสื้อยืดและเสื้อกล้ามสีขาวเป็นหลักเหมือนเดิม
สิ่งนี้อาจบอกเราว่า ถ้าตัวสินค้าของเรานั้น เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ
หากเราสามารถคงคุณภาพของสินค้านั้นให้ดีอยู่เสมอ ๆ แม้จะไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากมาย
ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ธุรกิจของเรายืนหยัดอยู่ได้ เหมือนอย่างที่ตราห่านคู่ทำมาเกือบ 70 ปี นั่นเอง..
References
โฆษณา