5 พ.ย. 2021 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
รู้ไหมว่า Microsoft เคยช่วยชีวิต Apple จากการล้มละลาย
3
รู้หรือไม่ว่า Apple เจ้าแห่งนวัตกรรมและเป็นหนึ่งในบริษัท ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกชั่วโมงนี้เคยมีช่วงตกต่ำจนเกือบล้มละลายมาก่อน
7
ซึ่งก็เรียกได้ว่าสถานการณ์ ณ ขณะนั้น ย่ำแย่เกินกว่าที่ Apple จะผ่านไปได้ด้วยตัวเอง
จึงทำให้ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของบริษัทอย่าง สตีฟ จอบส์ ตัดสินใจหันไปขอยืมมือของคู่แข่ง
อย่าง Microsoft เพื่อขอความช่วยเหลือ จนได้เกิดเป็นดีลช่วยชีวิตที่ทำให้ Apple ผ่านพ้นวิกฤติมาได้
3
และที่บอกว่า Apple เป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกนั้น
เพราะปัจจุบัน ทั้ง Microsoft และ Apple เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีมูลค่าแทบจะ “เท่ากัน”
2
Microsoft มีมูลค่าบริษัท 2,489,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 83.0 ล้านล้านบาท
Apple มีมูลค่าบริษัท 2,476,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 82.6 ล้านล้านบาท
ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุด อันดับที่ 1 และ 2 ของโลกใบนี้
4
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับ Apple และทำไม Microsoft
ถึงยอมช่วยเหลือคู่แข่งให้รอดพ้นจากการล้มละลาย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากย้อนกลับไปในช่วงปี 1990s Apple ยังไม่ได้เป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟนอย่างที่เรารู้จักกันเหมือนในปัจจุบัน
และยังคงอยู่ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นหลัก โดยยังคงใช้ชื่อบริษัทว่า “Apple Computer”
1
อย่างไรก็ตาม ตัวผู้ก่อตั้งอย่างสตีฟ จอบส์ ไม่ได้มีส่วนร่วมในบริษัทมาตั้งแต่ปี 1985
โดยเหตุผลก็เพราะว่ายอดขายที่ล้มเหลวของคอมพิวเตอร์รุ่น LISA และ Macintosh ซึ่งมีราคาแพงกว่าคู่แข่งหลักในตอนนั้นอย่าง IBM จึงทำให้เขาถูกกดดันให้พ้นจากตำแหน่งซีอีโอและถูกให้ออกจากบริษัท
ด้วยความที่อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เติบโตอย่างมาก ทำให้มีผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อยู่ในตลาดจำนวนมาก อย่างเช่น HP, DELL และ Compaq
7
และอย่างที่เราทราบกันดีว่าระบบปฏิบัติการ Mac OS ของ Apple เป็นระบบปิดซึ่งไม่ได้เปิดให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นนำไปใช้ จึงทำให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น ต่างหันไปพึ่งระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่มีชื่อว่า Windows
1
และด้วยความนิยมและแพร่หลายของ Windows ที่มากกว่า จึงทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
หันไปมุ่งเน้นกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับระบบปฏิบัติการของ Microsoft
1
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าระบบปฏิบัติการ Windows ได้เข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสามารถสร้างการเติบโตตามยอดขายของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลากหลายแบรนด์
2
ในขณะที่ Mac OS มีการเติบโตตามยอดขายคอมพิวเตอร์ของบริษัทเท่านั้น
ซึ่งนับวันมีแต่จะลดลง ทำให้ Apple ในช่วงเวลานั้น ที่ไม่มี สตีฟ จอบส์
ได้เผชิญเข้ากับวิกฤติและรายได้ของบริษัทก็เริ่มลดลงตั้งแต่ปี 1995 เป็นต้นมา
1
อีกทั้งความล้มเหลวในคอมพิวเตอร์พกพาที่ชื่อว่า Newton
รวมถึงชิปประมวลผล PowerPC ที่มีต้นทุนสูงเกินไป
จึงยิ่งทำให้ฐานะการเงินของบริษัทย่ำแย่ลงไปอีก
1
จนกระทั่งในปี 1997 กรรมการบริษัทของ Apple ก็ได้ตัดสินใจให้ สตีฟ จอบส์ กลับมารับตำแหน่งเป็นซีอีโอของ Apple อีกครั้งเพื่อแก้วิกฤติ
1
ณ เวลานั้น Apple มีปัญหามากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน
ด่วนในระดับที่มีการประเมินกันว่า Apple มีเงินสดในบัญชีธนาคาร
เหลือใช้ได้เพียง 90 วัน และกำลังจะล้มละลาย
1
ตรงกันข้ามกับ Microsoft คู่แข่งคนสำคัญของ Apple กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows ที่สามารถเข้ามาครองส่วนแบ่งกว่า 90% ของระบบปฏิบัติการทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม Microsoft เอง ก็มีปัญหาเหมือนกัน
โดยปัญหาที่ว่านั้นก็คือคดีความจากทั้งคู่แข่งอย่าง Apple รวมถึงภาครัฐ
3
รู้หรือไม่ว่า Microsoft ที่นำโดย บิลล์ เกตส์ เคยถูกจ้างโดย Apple ให้เข้ามาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่น Macintosh ก่อนการเปิดตัวในปี 1984 ซึ่งก็มีซอฟต์แวร์ยอดฮิตที่ใช้กันจนถึงปัจจุบัน เช่น Excel
และเมื่อ Microsoft เปิดตัวระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเองในชื่อ Windows 1.0 ในปี 1985
ทางทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Apple ก็รับรู้ได้ทันทีว่ารูปร่างหน้าตาและฟังก์ชันการทำงานของ
Windows 1.0 มีหลายส่วนที่เลียนแบบมาจากระบบปฏิบัติการ Mac OS จากเครื่อง Macintosh
จึงทำให้ในปี 1988 Apple ได้ตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาเพื่อดำเนินการฟ้องร้อง Microsoft ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์
1
ในขณะที่คดีความกับภาครัฐหรือก็คือกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาเกิดขึ้นในเวลานั้น เช่นกัน
เนื่องจาก Microsoft ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่หน่วยงานกำกับดูแลต่อต้านการผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกามองว่าธุรกิจของบริษัทนี้มีแนวโน้มที่จะผูกขาด โดยเฉพาะเว็บเบราว์เซอร์ Internet Explorer ที่ถูกผูกติดไปกับระบบปฏิบัติการ Windows
4
เราต้องเข้าใจก่อนว่าในเวลานั้น เว็บเบราว์เซอร์ไม่ได้เปิดให้ใช้บริการฟรีเหมือนในปัจจุบัน
และเว็บเบราว์เซอร์รายอื่น ๆ อย่างเช่น Netscape Navigator หรือ Opera ต้องทำการดาวน์โหลดผ่านอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็หาซื้อจากร้านจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เท่านั้น
1
ซึ่งการที่ Microsoft นำเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเองลงบนระบบปฏิบัติการ Windows นั่นเท่ากับว่าผู้ใช้ Windows ทุกคนจะมี Internet Explorer โดยไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อเว็บเบราว์เซอร์อื่น ๆ และด้วยส่วนแบ่งตลาดของ Windows ที่มากถึง 90% ทำให้กรณีนี้อาจเข้าข่ายการผูกขาดทางการค้าได้ นั่นเอง
1
ซึ่งเมื่อมองกลับมาในมุมของ Apple
สิ่งที่ สตีฟ จอบส์ เห็นก็คือ หาก Apple จะเป็นผู้ชนะในศึกระหว่าง Mac OS และ Windows
แปลว่าเขาจะต้องเอาชนะคู่แข่งที่ครองส่วนแบ่งกว่า 90% และอยู่ในสถานะที่ดีกว่าในทุกด้าน
ท้ายที่สุดแล้ว สตีฟ จอบส์ ก็ได้เลือกวิธีการยุติสงครามระหว่าง Apple และ Microsoft
เพื่อหาทางที่จะทำให้ Apple รอดพ้นจากการล้มละลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น
สตีฟ จอบส์ จึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับ บิลล์ เกตส์
โดยมีข้อตกลงคือ Apple จะถอนคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Microsoft ทั้งหมด
รวมถึงการเปิดให้ Internet Explorer เป็นเว็บเบราว์เซอร์เริ่มต้น
ที่จะติดไปกับคอมพิวเตอร์ Macintosh ของ Apple ทุกเครื่อง
ในขณะที่ทางฝั่ง Microsoft ก็ให้สิทธิ์ใน Microsoft Office กับ Apple เป็นระยะเวลา 5 ปี
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีของ Apple ที่จะได้ซอฟต์แวร์ยอดฮิตมาใช้งานแบบฟรี ๆ
นอกจากนี้ Microsoft จะเข้ามาอัดฉีดเงินแลกกับหุ้นของ Apple ด้วยจำนวนเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นมูลค่าในปัจจุบันราว 8,500 ล้านบาท
2
โดยหุ้นที่ Microsoft เข้าลงทุนเป็นหุ้นที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงภายในบริษัท หรือก็คือเป็นการเข้ามาสนับสนุนเฉพาะเรื่องการเงิน ไม่ได้เข้ามาเพื่อเข้าซื้อหรือควบคุม Apple แต่อย่างใด
2
จากดีลที่เกิดขึ้น จึงทำให้ Apple มีเงินทุนที่จะต่อชีวิตบริษัทออกไป
และก็ได้ทำให้ Apple สามารถเปิดตัว iMac รุ่นแรกได้สำเร็จ ในปี 1998
ซึ่ง iMac นี้เองก็สามารถช่วยพลิกฟื้นผลประกอบการบริษัทให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้งหนึ่ง
2
ในขณะที่ Microsoft ก็ได้เคลียร์คดีความที่มีอยู่กับ Apple ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน Microsoft
ก็ถูกสอบสวนในเรื่องการผูกขาดทางการค้าโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา
3
แต่จากการที่ Microsoft ได้เข้าไปช่วยเหลือ Apple โดยเฉพาะการเข้าไปสนับสนุนเรื่องซอฟต์แวร์
จึงทำให้เป็นการยากที่ Apple จะเอาผิด Microsoft
2
และสุดท้าย บริษัทก็สามารถรอดพ้นความผิดไปได้ ซึ่งคดีความก็สิ้นสุดลงในปี 2001
และเมื่อผ่านเรื่องราวทั้งหมดนั้นมาได้
Microsoft ก็ได้กลายมาเป็นเจ้าแห่งระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ที่ครองส่วนแบ่งมากถึง 75%
รวมถึงซอฟต์แวร์และแพลตฟอร์มเกี่ยวกับการทำงานครบวงจร มีมูลค่าบริษัท 83.0 ล้านล้านบาท
ในขณะที่ Apple หลังจากผ่านวิกฤติมาได้ ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นเจ้าแห่งธุรกิจฮาร์ดแวร์
ที่แม้จะขายผลิตภัณฑ์และมีระบบนิเวศเป็นของตัวเองทั้งหมด เช่น macOS, iOS และ iPadOS
ก็สามารถสร้างการเติบโตและกลายมาเป็นหนึ่งในบริษัทที่สร้างรายได้และกำไรมากที่สุดในโลก
ปัจจุบัน มีมูลค่าบริษัทราว 82.6 ล้านล้านบาท
ก็น่าคิดเหมือนกันว่าหากวันนั้น Microsoft ไม่ยื่นมือเข้าช่วย Apple
ทั้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
ซึ่งก็นับเป็นเรื่องบังเอิญไม่น้อยเลยทีเดียวที่ในวันนี้
ทั้ง 2 บริษัท จะมีมูลค่าเท่า ๆ กันและยังเป็น 2 บริษัท
ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก อีกด้วย
หากเราย้อนกลับไปถึงการช่วยเหลือในครั้งนั้น
มันก็สะท้อนให้เห็นว่าในบางครั้ง คู่แข่งของเรานี่แหละ
อาจจะกลายมาเป็นผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเราได้เหมือนกัน
3
อย่างในกรณีของ Apple ที่เรียกได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของสตีฟ จอบส์
ที่แม้ว่าจะต้องยอมทุกอย่าง แต่ทั้งหมดนั้นก็เพื่อให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้
ซึ่งเหตุการณ์วันนั้น ก็เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่สำคัญครั้งประวัติศาสตร์
ที่ทำให้เกิดเทคโนโลยีหลายอย่าง แบบที่เราใช้กันอยู่ ทุกวันนี้..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
หลังจากที่ Microsoft ได้หุ้นของ Apple มาในตอนนั้น
และต่อมาภายหลัง Microsoft ก็ได้ขายหุ้นของ Apple ที่มีทั้งหมดออกไปในปี 2003
1
แต่รู้หรือไม่ว่าหาก Microsoft ยังเก็บหุ้นทั้งหมดเอาไว้
มูลค่าการเข้าไปลงทุนครั้งนั้น จะมีมูลค่าสูงถึง 1.27 ล้านล้านบาท ในวันนี้
คิดเป็นผลตอบแทนมากถึง 14,800% เลยทีเดียว..
10
References
โฆษณา