โดยเหตุผลก็เพราะว่ายอดขายที่ล้มเหลวของคอมพิวเตอร์รุ่น LISA และ Macintosh ซึ่งมีราคาแพงกว่าคู่แข่งหลักในตอนนั้นอย่าง IBM จึงทำให้เขาถูกกดดันให้พ้นจากตำแหน่งซีอีโอและถูกให้ออกจากบริษัท
และอย่างที่เราทราบกันดีว่าระบบปฏิบัติการ Mac OS ของ Apple เป็นระบบปิดซึ่งไม่ได้เปิดให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายอื่นนำไปใช้ จึงทำให้ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ในยุคนั้น ต่างหันไปพึ่งระบบปฏิบัติการของ Microsoft ที่มีชื่อว่า Windows
1
และด้วยความนิยมและแพร่หลายของ Windows ที่มากกว่า จึงทำให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
หันไปมุ่งเน้นกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับระบบปฏิบัติการของ Microsoft
1
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าระบบปฏิบัติการ Windows ได้เข้ามาครองส่วนแบ่งการตลาดระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และสามารถสร้างการเติบโตตามยอดขายของผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลากหลายแบรนด์
2
ในขณะที่ Mac OS มีการเติบโตตามยอดขายคอมพิวเตอร์ของบริษัทเท่านั้น
ซึ่งนับวันมีแต่จะลดลง ทำให้ Apple ในช่วงเวลานั้น ที่ไม่มี สตีฟ จอบส์
อีกทั้งความล้มเหลวในคอมพิวเตอร์พกพาที่ชื่อว่า Newton
รวมถึงชิปประมวลผล PowerPC ที่มีต้นทุนสูงเกินไป
จึงยิ่งทำให้ฐานะการเงินของบริษัทย่ำแย่ลงไปอีก
1
จนกระทั่งในปี 1997 กรรมการบริษัทของ Apple ก็ได้ตัดสินใจให้ สตีฟ จอบส์ กลับมารับตำแหน่งเป็นซีอีโอของ Apple อีกครั้งเพื่อแก้วิกฤติ
1
ณ เวลานั้น Apple มีปัญหามากมายที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน
ด่วนในระดับที่มีการประเมินกันว่า Apple มีเงินสดในบัญชีธนาคาร
เหลือใช้ได้เพียง 90 วัน และกำลังจะล้มละลาย
1
ตรงกันข้ามกับ Microsoft คู่แข่งคนสำคัญของ Apple กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการ Windows ที่สามารถเข้ามาครองส่วนแบ่งกว่า 90% ของระบบปฏิบัติการทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม Microsoft เอง ก็มีปัญหาเหมือนกัน
โดยปัญหาที่ว่านั้นก็คือคดีความจากทั้งคู่แข่งอย่าง Apple รวมถึงภาครัฐ
3
รู้หรือไม่ว่า Microsoft ที่นำโดย บิลล์ เกตส์ เคยถูกจ้างโดย Apple ให้เข้ามาช่วยพัฒนาซอฟต์แวร์ให้กับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลรุ่น Macintosh ก่อนการเปิดตัวในปี 1984 ซึ่งก็มีซอฟต์แวร์ยอดฮิตที่ใช้กันจนถึงปัจจุบัน เช่น Excel
และเมื่อ Microsoft เปิดตัวระบบปฏิบัติการเป็นของตัวเองในชื่อ Windows 1.0 ในปี 1985
ทางทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Apple ก็รับรู้ได้ทันทีว่ารูปร่างหน้าตาและฟังก์ชันการทำงานของ
Windows 1.0 มีหลายส่วนที่เลียนแบบมาจากระบบปฏิบัติการ Mac OS จากเครื่อง Macintosh
จึงทำให้ในปี 1988 Apple ได้ตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาเพื่อดำเนินการฟ้องร้อง Microsoft ในข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์
เนื่องจาก Microsoft ประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่หน่วยงานกำกับดูแลต่อต้านการผูกขาดจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกามองว่าธุรกิจของบริษัทนี้มีแนวโน้มที่จะผูกขาด โดยเฉพาะเว็บเบราว์เซอร์ Internet Explorer ที่ถูกผูกติดไปกับระบบปฏิบัติการ Windows
และเว็บเบราว์เซอร์รายอื่น ๆ อย่างเช่น Netscape Navigator หรือ Opera ต้องทำการดาวน์โหลดผ่านอินเทอร์เน็ตหรือไม่ก็หาซื้อจากร้านจำหน่ายซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์เท่านั้น
1
ซึ่งการที่ Microsoft นำเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเองลงบนระบบปฏิบัติการ Windows นั่นเท่ากับว่าผู้ใช้ Windows ทุกคนจะมี Internet Explorer โดยไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อเว็บเบราว์เซอร์อื่น ๆ และด้วยส่วนแบ่งตลาดของ Windows ที่มากถึง 90% ทำให้กรณีนี้อาจเข้าข่ายการผูกขาดทางการค้าได้ นั่นเอง
1
ซึ่งเมื่อมองกลับมาในมุมของ Apple
สิ่งที่ สตีฟ จอบส์ เห็นก็คือ หาก Apple จะเป็นผู้ชนะในศึกระหว่าง Mac OS และ Windows
ท้ายที่สุดแล้ว สตีฟ จอบส์ ก็ได้เลือกวิธีการยุติสงครามระหว่าง Apple และ Microsoft
เพื่อหาทางที่จะทำให้ Apple รอดพ้นจากการล้มละลาย ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในขณะนั้น
สตีฟ จอบส์ จึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรกับ บิลล์ เกตส์
โดยมีข้อตกลงคือ Apple จะถอนคดีที่ยื่นฟ้องต่อ Microsoft ทั้งหมด
รวมถึงการเปิดให้ Internet Explorer เป็นเว็บเบราว์เซอร์เริ่มต้น
ที่จะติดไปกับคอมพิวเตอร์ Macintosh ของ Apple ทุกเครื่อง
ในขณะที่ทางฝั่ง Microsoft ก็ให้สิทธิ์ใน Microsoft Office กับ Apple เป็นระยะเวลา 5 ปี
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นเรื่องดีของ Apple ที่จะได้ซอฟต์แวร์ยอดฮิตมาใช้งานแบบฟรี ๆ
นอกจากนี้ Microsoft จะเข้ามาอัดฉีดเงินแลกกับหุ้นของ Apple ด้วยจำนวนเงิน 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คิดเป็นมูลค่าในปัจจุบันราว 8,500 ล้านบาท
2
โดยหุ้นที่ Microsoft เข้าลงทุนเป็นหุ้นที่ไม่มีสิทธิ์ออกเสียงภายในบริษัท หรือก็คือเป็นการเข้ามาสนับสนุนเฉพาะเรื่องการเงิน ไม่ได้เข้ามาเพื่อเข้าซื้อหรือควบคุม Apple แต่อย่างใด
2
จากดีลที่เกิดขึ้น จึงทำให้ Apple มีเงินทุนที่จะต่อชีวิตบริษัทออกไป
และก็ได้ทำให้ Apple สามารถเปิดตัว iMac รุ่นแรกได้สำเร็จ ในปี 1998