7 พ.ย. 2021 เวลา 02:00 • ไลฟ์สไตล์
คุณจะเลือกเดินออกจากชีวิตใครและทุ่มหมดตัวกับอนาคตของตัวเองมั้ย?
เป็นเวลาหลายอาทิตย์ที่ผมกับเพื่อนเริ่มมีความเห็นที่ไม่ตรงกันเรื่องมุมมองทางด้านการเงิน ผมมักจะเอาเงินที่มีน้อยนิดไปลงทุนกับความรู้แทนที่จะเอามาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
เนื่องจากผมอาศัยอยู่กับเพื่อนมานานโดยไม่ค่อยได้ช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุผลอย่างที่ผมได้ในเขียนบทความของผมว่าผมเป็นคนที่ถังแตกแค่ไหน
เราทำธุรกิจร่วมกันซึ่งเราทั้งคู่ชอบ แต่กำไรนั้นไม่น่ารักอย่างที่คิด ผมเริ่มตระหนักถึงความไม่ยุติธรรมที่ผมมีต่อเพื่อน อีกทั้งทัศนคติการลงทุนของเราก็เริ่มจะไม่ได้ไปทางเดียวกัน
เพื่อนผมนั้นมีรายได้ที่แม้ไม่ต้องทำงานก็มีใช้ อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดือดรร้อนถ้าไม่ใช้จ่ายเกินตัว ส่วนผมไม่มีใครคอยส่งเสีย รายได้เดียวที่ผมมีก็มาจากธุรกิจที่ทำด้วยกันซึ่งเมื่อแบ่งกันแล้ว หักต้นทุน ผมจะมีรายได้เยอะจนใช้ไม่หวาดไม่ไหวทีเดียว... 1.5k ครับ
บางเดือนก็ 2k เราแบกกันมาเข้าเดือนที่ 7 ก็เริ่มไม่มีเงินทุนพอจะซื้อของเพิ่ม เพื่อนของผมจึงตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวออกไปก่อน ซึ่งนั่นผิดหลักของการทำธุรกิจค้าขายอย่างมหันต์
ผมเคยจะเตือนเขาแล้วครับ แต่ก็น้ำท่วมปากเพราะถ้าคำนวนแล้วเงินทุนก็เท่ากับกำไรที่เราจะแบ่งกันนั่นแหละ
สุดท้ายก็ไปไม่ไหว ผมตัดสินใจลาออกจากหุ้นส่วนและจะออกไปหางานประจำทำแทน ซึ่งเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร โดยเขาก็วางแผนจะทำธุรกิจเพิ่มเติมเพื่อเพื่มรายได้เช่นกัน
ผมหวนนึกถึงความเห็นแก่ตัวที่ผมมีก่อนหน้านี้และก็รู้สึกละอายใจเป็นอย่างมาก ถ้าผมไม่ได้ศึกษาเรื่องการเงิน ผมก็คงคิดได้ช้ากว่านี้ และคงจะกลายเป็นเพื่อนที่เลวและเอาเปรียบที่สุด ใครจะรู้ท้ายที่สุดความถังแตกของผมอาจทำลายมิตรภาพนี้พังย่อยยับก็ได้
ผมเลือกเดินออกมาโดยไม่มีเงินสักบาท ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรแบบนี้ด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผมจะเดิมพันทั้งชีวิตของผมในการที่จะประสบความสำเร็จและมีอิสรภาพทางการเงินให้ได้
ความรู้ทางการเงินทำให้ผมเปลี่ยนไปจากหลังเท้าเป็นหน้ามือเลยก็ว่าได้ เมื่อก่อนผมจะบอกตัวเองเสมอทุกครั้งที่ต้องใช้จ่ายและเห็นตัวเลขในบัญชีว่า 'แกมันเป็นไอ้ถังแตก'
ทุกวันนี้สิ่งที่ปลุกผมทุกๆเช้าคือ 'ความปราถนาอันแรงกล้าที่จะมีอิสรภาพทางการเงิน' ผมฟังออดิโอบุ๊คก่อนนอนและฟังพ็อตแคสต์พัฒนาตัวเองในทุกเช้า หรือแม้แต่การฝึกจิต ฝึกคิดแบบคนรวย และผมก็ไม่สนว่าใครจะมองผมยังไง เพราะผมได้เดิมพันกับมันด้วยชีวิตของผม
แต่ว่าถ้ามันง่ายขนาดนั้นก็คงไม่ใช่เรื่องจริง ผมยังคงมีความกลัวในความเสี่ยงและกลัวที่จะเริ่มต้นลงมือเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่บ่อยๆ ทุกครั้งที่ผมเผลอปล่อยให้ตัวเองคิด คำว่า 'ถ้า' จะผุดขึ้นในหัวทุกครั้งไป
'ถ้าไม่สำเร็จล่ะ'
'ถ้าล้มเหลวล่ะ ต้องมีคนหัวเราะเยาะแน่ๆ'
'ถ้าเกิดมันพลาดล่ะ'
และอีกสารพัด 'ถ้า'
โชคดีที่ผมได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว บางครั้งจิตใต้สำนึกแห่งความกลัวก็เข้ามาทักทายผมอยู่เสมอ ซึ่งผมเข้าใจดีและเรียนรู้ที่จะรู้ทันเสียงเหล่านี้ มันเพียงต้องการให้เราปลอดภัยจากความเสี่ยงทั้งหมดเท่าที่จะนึกออกและเป็นไปได้
ซึ่งกักขังเราไว้ใน 'คอมฟอร์ต โซน' ที่ไร้ซึ่งความเสี่ยงใดๆแต่ความจริงคือขาข้างหนึ่งห้อยลงจากเหวแล้ว
ในหนังสือพ่อรวยสอนลูก ที่เขียนโดยคุณโรเบิร์ต คิโยซากิ ผมชอบประโยคหนึ่งของเขามาก ว่า 'ในคนเราทุกคนนั้นมีเจ้าไก่น้อยวิ่งวนอยู่ มันคอยแต่จะทำให้คุณไม่ประสบความสำเร็จซักที ดูอย่างผู้พันแซนเดอร์สิ เขาเร่ขายไก่ทอดและโดนปฏิเสธมากกว่าพันครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ จนตอนนี้เขาขายกิจการได้เงินมหาศาลเพราะเขาไม่ยอมให้เจ้าไก่น้อยนั้นรบกวนเขา เขาทำอะไรกับเจ้าไก่น้อยน่ะหรอ... เขาจับมันทอดกินยังไงล่ะ"
ในวันที่ผมพร้อมที่จะเป็นหุ้นส่วนที่ไม่เอาเปรียบใคร ผมอาจจะขอกลับมาลงทุนกับเพื่อนอีกครั้งและขอคุยกับเขาเรื่องการวางแผนการเงินด้านธุรกิจค้าขายแบบจริงจัง
คหสต.ผมว่าผมทำถูกแล้ว จริงๆควรทำมาตั้งนานแล้วเสียด้วยซ้ำ และผมก็เชื่อมั่นว่าผมจะทำสำเร็จ ถ้าคนอื่นทำได้ผมก็ต้องทำได้ ถึงตอนนั้นผมก็จะช่วยเหลือเพื่อนเรื่องธุรกิจต่อไป
โฆษณา