5 พ.ย. 2021 เวลา 16:42 • ประวัติศาสตร์
-- เสือสำอางค์ โดย เดชา ปราการะนันทน์ --
หนุ่มรูปหล่อผู้นี้ เดินทางมาจากจังหวัดสุรินทร์ ด้วยลักษณะและเรือนร่างที่ผิดแผกไปกว่านักชกผู้ยิ่งใหญ่คนอื่น ๆ เพราะเขามีส่วนสูงเกือบหกฟุต แต่ไม่กำยำล่ำสันเหมือนนักกล้าม ผิวกายก็ผ่องผาดเหมือนสตรีเพศ
ไม่แต่เท่านั้นหน้าตายังจัดอยู่ในขั้นชายรูปงาม ผมหยิกสลวย นัยน์ตาคมและโศกซึ้ง ถ้าหากไปมีอาชีพเป็นพระเอกลิเก จะต้องมีแม่ยกมารุมล้อม และแย่งกันสวมพวงมาลัยธนบัตรจนแทบจะตีกันตายแน่นอน
นอกจากจะรูปหล่อแล้ว เชิงฝีมือยังอยู่ในขั้นเก่งกาจหนักหน่วงเหมือนม้าดีด มีหมัดช้ายที่หนักแน่นแม่นยำ เขาขึ้นชกที่เวทีราชดำเนินในนาม สุรชัย ลูกสุรินทร์ และประเดิมชัยด้วยการเตะ อำนวย ยนตรกิจ ถึงคว่ำนับสิบเพียงแค่ยกแรกเท่านั้น
สุรชัย ลูกสุรินทร์
และในการชกครั้งต่อ ๆ มา สุรชัยก็ถล่มคู่ต่อสู้ด้วยแข้งซ้ายอันร้ายกาจ จนลงเปลไปคนแล้วคนเล่า ร่างกายก็เติบใหญ่ขึ้นทุกวันเวลาที่ผ่านไป จากการชกครั้งแรกในน้ำหนักรุ่นไลท์เวท (135 ปอนด์) ขึ้นไปถึงรุ่นเวลเตอร์เวท (147ปอนด์) และในตอนหลังขึ้นชกในรุ่นมิดเดิลเวท (160 ปอนด์) ซึ่งเป็นรุ่นหนักที่สุด และในปัจจุบันนี้นักมวยรุ่นใหญ่ขนาดนี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว
ชื่อของสุรชัยโด่งดังสุดขีดเมื่อเขาเตะ ศักดิ์ เทียมกำแหง เจ้าของเสื้อสามารถรุ่น 6 สมิงเอกแพ้ทีเคโอไปอย่างย่อยยับ เขากลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ที่กำลังพุ่งแรงในเวหามวย นอกจากจะรูปหล่อแล้วยังมีผีมือจัดจ้านจนกระทั่งได้สมญา "เสือสำอางค์"
1
ขณะที่สุรชัยกำลังก้าวขึ้นสู่ความรุ่งโรงน์ ขึ้นชกทุกครั้ง จะมีแฟนสาว ๆ มาเชียร์ และเอาพวงมาลัยมาให้มากมาย ก็มีดาวรุ่งดวงใหม่กำลังมาแรงทัดเทียมกัน
ดาวรุ่งผู้นั้นคือ "ม้าสีหมอก" ประยุทธ อุดมศักดิ์ ผู้มีเรือนร่างกำยำ มีเชิงชกดุเดือดเฉียบขาด และกำลังทำสถิติไม่เคยแพ้ใครเช่นเดียวกัน
แฟนมวยจึงร่ำร้อง อยากจะดู "เสือสำอางค์" ปะทะกับ "ม้าสีหมอก” เพื่อพิสูจน์กันว่าใครจะเหนือกว่ากัน และปรากฏว่าในวันที่สุรชัย ลูกสุรินทร์ ขึ้นพบกับ ประยุทธ อุดมศักดิ์ มีแฟนทั้งหญิงชายเข้าชมอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะแฟนสาวมีหนาตาเป็นพิเศษ
และการต่อสู้ระหว่าง สุรชัยกับประยุทธในวันนั้นก็เต็มไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน ทั้งคู่ฟาดฟันกันอย่างลืมตัวและลืมตาย
ในยกต้น ๆ สุรชัยระดมเตะด้วยแข้งซ้าย ตามด้วยหมัดซ้ายกระแทกประยุทธ ถึงกับทรุดลงไปกองให้กรรมการนับยาวหวิดเอาตัวไม่รอด แต่ในยกสุดท้ายสุรชัยก็ถูกศอกกลับของประยุทธถึงกับร่วงเหมือนนกปีกหัก หวิดเอาตัวไม่รอดเช่นเดียวกัน
เมื่อการชกสิ้นสุดลงกรรมการก็ชูมือให้เสมอกันท่ามกลางเสียงปรบมือเกรียวกราว และต่อมาก็มีเสียงเรียกร้องให้ยอดมวยคู่นี้ได้พิสูจน์ฝีมือกันอีกครั้ง แต่ก็เกิดมีอันเป็นไม่ได้พบกันจนแล้วจนรอด
จนกระทั่งอีกสามปีต่อมาจึงมีโอกาสได้เจอกันโดยสุรชัยกระแทกประยุทธจนแพ้ทีเคโอไปในแบบหมดทางสู้ แต่เมื่อได้พบกันอีกสองครั้ง สุรชัยกลับตกเป็นฝ่ายพ่ายคะแนน
คู่ปรับคนสำคัญคนหนึ่งของ “เสือสำอางค์” สุรชัย ลูกสุรินทร์ ก็คือ ชูชัย พระขรรค์ชัย ซึ่งมีสมญาว่า “เทพบุตรแห่งสังเวียน” ชูชัยเป็นมวยรูปหล่อมีหมัดขวาหนักคว่ำคู่ต่อสู้ในรุ่นเดียวกันด้วยพลังหมัดอันหนักหน่วง
นักชกรูปงามทั้งสองคนถูกจัดให้เจอกันเป็นครั้งแรก ต่างฝ่ายต่างก็มีความหล่อเหลาไปคนละแบบ ชูชัยนั้นหล่อแบบพระเอกหนัง ส่วนสุรชัยก็หล่อแบบเข้มคมสมชายชาตรี
ผลการต่อสู้ปรากฏว่า สุรชัยถูกหมัดขวาของชูชัย กระแทกเข้าที่ปลายคางถึงลงไปกองให้กรรมการนับสิบในยกที่สาม ได้มีการแก้มือกันอีกครั้ง สุรชัยก็แพ้น็อคในยกที่สามอีกเช่นเคย ต่อมาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทไม่คิดที่จะขึ้นไปเจอกันบนสังเวียนอีกต่อไป
ในขณะที่สุรชัยกำลังมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ในระดับมวยชั้นยอดในยุคนั้น เขาก็ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงของชีวิตโดยที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อน โดยมีนักธุรกิจชาวอเมริกันคนหนึ่งได้มาติดต่อให้เขาเดินทางไปตระเวนโชว์ศิลปะมวยไทยที่สหรัฐอเมริกา
สมัยนั้นการไปอเมริกาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่จะพบได้ก็แต่ในความฝันเท่านั้น และสุรชัยก็ใฝ่ฝันอยากจะไปอเมริกามานานแล้ว เมื่อได้รับการติดต่อ เขาก็ตกลงไปทันที โดยเดินทางไปพร้อมกับเพื่อนนักมวยอีกคนหนึ่งคือ สมศรี เทียมกำแหง
แผนการตระเวนชกในอเมริกานั้นได้วางไว้อย่างสวยหรู โดยสุรชัยกับสมศรีจะขึ้นโชว์ศิลปะมวยไทยให้ชาวอเมริกันได้ชม และคาดว่าจะต้องได้รับความสนใจอย่างแน่นอน เพราะส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นมวยไทยที่ใช้ศอกเข่าเท้าหมัดมาก่อน ผู้ที่พาไปจึงคาดว่าจะต้องได้เงินกำไรตอบแทนอย่างมหาศาล
และการชกโชว์แต่ละครั้งจะใช้เสียงปี่กลองซึ่งอัดเป็นแผ่นเสียงไป ก็ปรากฏว่าการชกโชว์ไม่ได้รับความสนใจจากคนอเมริกันเท่าที่ควร ตอนแรก ๆ ก็เห็นเป็นของแปลกและใหม่ แต่เนื่องจากเป็นการชกโชว์ เตะต่อยกันพอหอมปากหอมคอไม่รุนแรงถึงเลือดถึงเนื้อ ในที่สุดการโชว์ก็ล้มเหลว แม้ว่าผู้พาไปจะพยายามโฆษณาและพาตระเวนไปหลายต่อหลายแห่งก็พบแต่ความล้มเหลว
ในที่สุดนักธุรกิจที่พาสองนักชกไทยไปชกโชว์ก็พบแต่การขาดทุน เงินทองที่มีอยู่ก็ร่อยหรอ และไม่มีรายการขึ้นชกโชว์อีกเลย ทั้งสุรชัยและสมศรีจะหาทางกลับเมืองไทยก็ไม่มีค่าโดยสารไม่ว่าจะเป็นทางเรือหรือทางเครื่องบิน และผู้ที่พาไปก็ขอแยกทาง โดยพานักชกทั้งสองไปทำงานในไร่ส้มแห่งหนึ่งที่แคลิฟอร์เนีย
สุรชัยและสมศรีได้ทำงานเป็นคนเก็บส้ม เป็นงานที่ไม่เหน็ดเหนื่อยเท่าใดนัก และยังได้ค่าแรงพอที่จะช่วยให้ทนอยู่ต่อไปได้
ทั้งสองอยู่ในอเมริกานานหลายเดือน จนกระทั่งมีโอกาสได้พบกับเจ้าหน้าที่สถานทูตไทย และได้รับการช่วยเหลือให้เดินทางกลับมาเมืองไทยในที่สุด
และ “เสือสำอางค์” สุรชัยก็หวนกลับสู่ผืนผ้าใบอีกครั้ง เขาเจอกับนักชกชั้นดีอีกมากมายหลายคน และมีโอกาสได้พิสูจน์ฝีมือกับ “ซ้ายฟ้าผ่า” สมเดช ยนตรกิจ ซึ่งกำลังโด่งดังอยู่ในเวหามวยในขณะนั้น
เจอกันครั้งแรกสุรชัยถูกหมัดซ้ายของสมเดช ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน พ่ายทีเคโอไปเพียงแค่ยกแรกเท่านั้น และต่อมาได้มีการแก้มือกันอีกครั้ง คราวนี้สุรชัยฟิตซ้อมสมบูรณ์เต็มที่ หวังจะล้างแค้นให้จงได้
1
โดยเขาวางแผนจะใช้แข้งซ้ายสกัดกั้นไม่ให้สมเดชใช้หมัดซ้ายได้ถนัด และเขาก็ทำท่าว่าจะทำได้สำเร็จ โดยเตะกระหน่ำจนสมเดชเข้าไม่ติดในสองยกแรก แต่เมื่อขึ้นยกที่สาม สมเดชเห็นว่าใช้หมัดไม่ได้ผล จึงกลับมาดวลกันด้วยแข้งโดยแลกกันเตะอย่างรุนแรง
จนถึงกลางยก สุรชัยก็เตะประสานแข้งกับสมเดชอย่างจัง ผลก็คือเขารู้สึกเจ็บปวดที่แข้งซ้ายจนต้องทรุดลงไปนั่งโดยสมเดชไม่แสดงทีท่าว่าจะเจ็บปวดอะไรเลย สุรชัยต้องนั่งฟังกรรมการนับจนครบสิบแล้วถูกประคองลงไปจากเวทีเพราะเจ็บที่แข้งจนเดินไม่ไหว
เขาถูกส่งไปโรงพยาบาล แพทย์ตรวจพบว่าแข้งซ้ายหัก ต้องหยุดพักรักษาเป็นแรมเดือน จึงกลับมาชกได้อีก
และต่อมาเมื่อสุรชัยชนะน็อคอดีตนักชกผู้ยิ่งใหญ่ สมาน ดิลกวิลาศ ในยกที่สาม ก็มีผู้จัดมวยรายการกุศลพิเศษที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เขาถูกจัดให้ทดสอบฝีมือกับยักษ์สุข ปราสาทหินพิมาย ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นยอดมวยเมืองสยามและกำลังหาคู่ชกได้ยาก
ตอนนั้นยักษ์สุขมีสมญาว่า “ผีโขมด” การชกระหว่างสุรชัยกับยักษ์สุขจึงเป็นการพบกันระหว่างเสือสำอางค์กับผีโขมด และบางคนก็เปรียบเทียบว่าเป็นการชกระหว่างเทพบุตรกับอสูรร้ายก็มี
ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองขึ้นไปเผชิญหน้ากันบนเวทีกลางแจ้งท่ามกลางแฟนนับจำนวนหมื่น และส่วนมากเข้าใจว่า สุรชัยจะต้องถูกยักษ์สุขขยี้จนแหลกลาญแน่นอน....
แต่เสือสำอางค์ได้ยืนหยัดต่อสู้กับยักษ์สุขด้วยหัวใจแน่วแน่ และต้องการที่จะได้ชื่อว่าเป็นคนแรกที่สามารถเอาชนะยักษ์สุขได้ เขาจึงใช้แข้งซ้ายสกัดกั้นการบุกของยักษ์สุขแล้วก็ตามด้วยหมัดซ้าย เล่นเอายอดคนจากเมืองพิมายหันรีหันขวาง
และในยกปลาย ๆ สุรชัยยังใช้ศอกเปิดเผยขึ้นที่หน้าของยักษ์สุขจนเลือดไหลริน ท่ามกลางเสียงเชียร์ของแฟนที่อยากจะเห็นผู้พิชิตยักษ์สุข เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา คู่ชกของยักษ์สุขจะถูกบดขยี้จนพ่ายแพ้อย่างยับเยินไปตาม ๆ กัน
และสุรชัยก็ยังดีดแข้งแทงเข่าถล่มยักษ์สุขต่อไปจนสิ้นยกสุดท้าย กรรมการชูมือให้เขาเป็นฝ่ายชนะคะแนนอย่างขาวสะอาด
ชัยชนะของเสือสำอางค์ในวันนั้น เป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์รายวันเกือบทุกฉบับ เพราะเขาเป็นคนแรกที่สามารถปราบยักษ์สุขได้สำเร็จ
แต่อย่างไรก็ตาม ได้มีการแก้มือกันอีกสองครั้งในเวลาต่อมา สุรชัยกลับเป็นฝ่ายถูกหมัดขวาของยักษ์สุขแพ้น็อคไปถึงสองครั้งและหลังจากนั้นก็ไม่ได้ขึ้นชกกันอีกเลย
ต่อมาสุรชัยได้หันมาชกสากล ครั้งแรกเขาชนะน็อคเทียมชัย รักสู้ยกสองแล้วชนะน็อค สมชาย ทรงกิตรัตน์ยกสามจึงมีโอกาสได้ขึ้นชิงแชมป์สากลรุ่นมิดเดิลเวทของเวทีราชดำเนินกับเสมา กล้าศึก เขาหมดแรง จึงขอยอมแพ้ในยกที่เจ็ด และหลังจากนั้นก็ประกาศแขวนนวม เพราะเห็นว่าสังขารไปไม่ไหวแล้ว
ในระหว่างที่กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง สุรชัยเคยถูกทาบทามไปแสดงภาพยนตร์และละคร เขาแสดงเป็นพระเอกอยู่หลายเรื่องแต่ก็ไม่พบความสำเร็จเท่าที่ควร
เมื่อแขวนนวมไปแล้ว เขาก็ไปประกอบอาชีพส่วนตัว และมีครอบครัวที่อบอุ่น บางครั้งก็ได้รับเชิญไปสาธิตเชิงมวยไทยในรายการทีวี เพื่อให้แฟนรุ่นหลังได้เห็นฝีมือของนักชกผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต
สุรชัยมีนามจริงว่า สมาน ดำรงค์ เกิดและเติบโตที่จังหวัดสุรินทร์ เรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก่อนจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เขามีชีวิตอย่างสุขสงบจนกระทั่งถึงแก่กรรมด้วยโรคหัวใจวายเมื่อประมาณสามปีมาแล้วขณะที่มีอายุได้หกสิบเศษโดยมีที่พำนักอยู่ในกรุงเทพมหานครนี่เอง.
#มวย #มวยไทย #ประวัตินักมวย

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา