6 พ.ย. 2021 เวลา 23:20 • กีฬา
ถ้าดูจากมาตรฐานของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในฤดูกาลนี้ ที่สามารถบุกไปเอาชนะทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ กับ เชลซี ได้ถึงถิ่น และบุกไปเสมอกับ ลิเวอร์พูล ถึงแอนฟิลด์ได้อย่างสนุกตลอดทั้งเกม เราก็คงต้องบอกว่าการที่ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สามารถบุกไปชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้เช่นกัน ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ใครๆ ก็รู้อยู่แล้วว่าก่อนแข่ง แมนฯ ซิตี้ “เป็นต่อ” มากพอสมควร เผลอๆ เอาแค่ แมนฯ ยูไนเต็ด เก็บได้สัก 1 แต้ม มันอาจจะเป็นผลการแข่งขันที่เซอร์ไพรส์ได้แล้วด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม คำถามสำคัญตัวใหญ่ๆ ก็คือบอร์ดบริหารของทีมปีศาจแดงคิดอะไรอยู่กันแน่ ถึงยังไว้ใจผู้จัดการทีมที่ดูเป็นรองเฮดโค้ชทีมคู่ปรับร่วมเมือง ทั้งในแง่ของความสามารถ, บารมีความสำเร็จ และบุคลิกความเป็นผู้นำนักเตะ
การเลือกปฏิเสธโอกาสเซ็นสัญญากับยอดโค้ชคนหนึ่งของวงการอย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ ที่ปล่อยให้ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ รีบชิงตัวไปแทน ทำให้ตอนนี้ทีมปีศาจแดงเหลือตัวเลือกแค่ 2 ทางเท่านั้น ตลอดช่วงที่เหลือในซีซั่นนี้
ทางแรก ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นทางที่บอร์ดบริหารคิดเอาไว้ นั่นคือให้เกียรติ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ได้ทำงานต่อไปจนกระทั่งจบฤดูกาล
2
การไม่ยอมรีบสั่งปลดกลางอากาศ ตามคำขอร้องของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นอกจากจะเป็นการปฏิบัติกับอดีตตำนานของสโมสรแบบเห็นอกเห็นใจ (แต่สโมสรอื่นไล่ตำนานออกกันเป็นเรื่องปกติ) มันยังหมายถึงการเพิ่มเวลาให้พิจารณาตัวเลือกกุนซือคนต่อไปให้รอบคอบขึ้นอีกด้วย
ถ้าทีมด่วนตัดสินใจแต่งตั้ง คอนเต้ อย่างกะทันหัน มันอาจหมายถึงการปิดโอกาสที่จะดีลกับกุนซือคนอื่นๆ ที่อาจจะพร้อมเข้ามาเริ่มงานในช่วงซัมเมอร์ และเหมาะกับแผนงานระยะยาวของสโมสรมากกว่า
ส่วนอีกทาง คือถอดใจกับ โซลชาร์ ซะตั้งแต่ตอนนี้ แล้วหา “ใครก็ได้” เข้ามาทำงานแทนทันที จะเป็นในบทบาทกุนซือขัดตาทัพก็ได้ อย่างน้อยก็เป็นการแสดงออกให้แฟนบอลได้รู้ชัดเจน ว่าสโมสรมีความตั้งใจที่จะหากุนซือคนใหม่ที่มีแนวโน้มจะพาทีมไปได้ไกลกว่านี้เข้ามาจริงๆ
ในเมื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคงไม่ยอมปลด โซลชาร์ ออกจากตำแหน่ง เพราะฉะนั้นถ้าหากแฟนบอลคนไหนจะเลือกทำใจทนเชียร์กุนซือคนเดิมของพวกเขาต่อนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าแฟนบอลคนไหนจะแสดงจุดยืนว่าต้องการคนอื่นเข้ามาทำแทนให้เร็วที่สุด เพราะทนไม่ไหวกับ โซลชาร์ อีกแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่ผิดอะไรเลยเช่นกัน
ปัญหาของแฟนบอลปีศาจแดงในช่วงที่ผ่านมา (ซึ่งรวมถึงตัวผมเองด้วย ที่ใช้อารมณ์และยึดติดกับจุดยืนตัวเองมากเกินไป) นั่นคือการพยายามกดดันให้ฝั่งตรงข้ามเลือกคิดในแบบของตัวเองมากเกินไป
ฝั่งที่พยายามขอให้อดทนต่อไปก็มีเหตุผล เพราะการเป็น supporter ควรจะเอาใจช่วยให้ทีมทำผลงานดี ถ้ากุนซือพาทีมผลงานดีได้ สุดท้ายผลประโยชน์มันก็ตกกับทีมด้วยไม่ใช่หรือ? แล้วไม่ว่าใครจะเป็นกุนซือ หน้าที่ของคนคนนั้น มันก็คือการพาทีมให้ชนะเหมือนกัน
2
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ใช่ทีมที่ไม่เคยปลดกุนซือที่พาทีมย่ำแย่ ถึงแม้ว่าอาจจะทำอะไรช้าไปพอสมควร แต่ตลอดช่วงที่ผ่านมาหลังยุค เซอร์ อเล็กซ์ พวกเขาพยายามหาโค้ชที่น่าจะทำทีมได้ดีกว่าเดิมเข้ามาแทนคนเก่าอยู่เสมอ
จาก เดวิด มอยส์ ที่แบกรับความกดดันจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ไหว เปลี่ยนเป็นกุนซือมากประสบการณ์อย่าง หลุยส์ ฟาน กัล
จาก หลุยส์ ฟาน กัล ที่ทำทีมเล่นกันแบบดูน่าเบื่อเกินไป แล้วกระท่อนกระแท่นกับการลุ้นทำอันดับไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็เปลี่ยนเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ที่โปรไฟล์น่าไว้ใจมากกว่ากับการทำทีมเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก
จาก โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ทำทีมเล่นแบบเน้นผลเกินไป และสูญเสียความสัมพันธ์ที่ดีกับหลายๆ คนในสโมสร ก็เปลี่ยนเป็น โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ที่นำพาบรรยากาศและวัฒนธรรมเดิมๆ สมัยยุคป๋าเฟอร์กี้กลับมาอีกครั้ง และค่อยๆ ปรับขุมกำลังให้ดูมีศักยภาพพร้อมเบียดลุ้นแชมป์ให้มันสูสีมากขึ้น
ถ้า โซลชาร์ จะโดนไล่ออก สโมสรต้องมองหากุนซือที่มีแนวโน้มว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของแฟนบอลและสโมสรได้จริงๆ ทีมต้องดูมีศักยภาพต่อสู้เพื่อตำแหน่งแชมป์ได้ในระยะยาว ไม่ใช่ว่าสักแต่จะเอาใครก็ได้มาก่อน โดยมั่นใจไม่ได้เลยกับอนาคต
………………………….
ส่วนฝั่งที่พยายามอธิบายว่า โซลชาร์ ต้องรีบออกไปจากสโมสรให้เร็วที่สุด เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ก็มีเหตุผลอธิบายที่มีน้ำหนักเช่นกัน
1
ในเมื่อทีมทำผลงานแย่ในการเจอกับคู่แข่งทุกระดับในซีซั่นปัจจุบัน แถมช่วงเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา อย่างเก่งที่สุดก็พาทีมได้แค่รองแชมป์ เกมที่ควรจะต้องได้ก็ดันพลาด นั่นมันชัดเจนแล้วว่าผู้จัดการทีมคนนี้ ไม่น่าจะเป็นคนที่พาทีมประสบความสำเร็จ
แล้วสิ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนในตอนนี้ นั่นก็คืออย่าว่าแต่ลุ้นแชมป์เลย เอาแค่ทำทีมให้เล่นดีๆ ดูมีรูปแบบชัดเจน ไม่ใช่สะเปะสะปะ เจอกับใครก็ลำบาก โซลชาร์ก็ยังทำไม่ได้
………………………….
หากพิจารณาความเห็นจากทั้ง 2 ฝั่ง ดูเหมือนว่ามติจะตรงกันเป็นเอกฉันท์ นั่นคือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ หมดความชอบธรรมกับการเป็นผู้จัดการทีมของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไปเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ว่าจะให้เขาไปตอนนี้ หรือไปตอนจบฤดูกาลเท่านั้น
สิ่งดีสิ่งเดียวของ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา นั่นคือการที่ เชลซี พลาดท่าโดน เบิร์นลี่ย์ ไล่ตีเสมอ 1-1 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ จึงเป็นการการันตีว่าทีมปีศาจแดงจะยังตามหลังจ่าฝูงพรีเมียร์ลีกไม่ถึง 10 คะแนนก่อนเข้าสู่ช่วงเบรกทีมชาติ ส่วนโอกาสติดท็อปโฟร์มันก็ยังไม่ได้ปิดตายอะไร
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรฐานผลงานที่แพ้ในลีกไปแล้วถึง 4 นัดตั้งแต่ 11 เกมแรก เก็บได้แค่ 17 คะแนนในตอนนี้ มันไม่ใช่มาตรฐานที่ใกล้เคียงเลยกับเป้าหมายที่ทีมตั้งไว้ก่อนเปิดฤดูกาล ว่าซีซั่นนี้แฟนบอลต้องมีลุ้นเห็นทีมได้แชมป์กับเขาบ้างได้แล้ว
สัญญาณไม่ดีก่อนช่วงโปรแกรมหฤโหด นั่นคือทีมสะดุดในเกมที่ตามมาตรฐานควรจะต้องได้ 3 แต้ม ทั้งนัดเยือน เซาธ์แฮมป์ตัน, เปิดบ้านพบ แอสตัน วิลล่า ตามด้วย เอฟเวอร์ตัน ซึ่งตอนแรกแฟนบอลที่พยายามคิดในแง่ดี ว่าเมื่อทีมเจอคู่แข่งที่ยากขึ้น อาจจะเค้นฟอร์มได้มากขึ้นก็ได้
...แต่เปล่าเลย เมื่อเจอกับงานที่ยากกว่าเดิม ผลงานกลับยิ่งออกทะเลกว่าเดิม โซลชาร์ พาทีมแพ้ต่อ เลสเตอร์, ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ด้วยสกอร์ขาดลอย แถมรูปเกมก็ดูน่าสิ้นหวังกว่าเดิมเสียอีก
กลายเป็นว่า นัดที่ลุ้นยาก ทีมดันแพ้เขาเอาง่ายๆ ส่วนนัดที่น่าจะง่าย ก็กลับทำให้มันลำบากกว่าที่คิด แบบนี้แฟนผีเชียร์ทีมไปสุขภาพจิตจะยิ่งเสียเอาเปล่าๆ
ช่วงต้นฤดูกาลที่แล้วที่ว่ากระท่อนกระแท่น ทีมยังทำผลงานดีกว่านี้เยอะเลยนะครับ เพราะ 11 เกมแรกของซีซั่นก่อน เก็บได้ 20 แต้ม (มากกว่าตอนนี้ 3 แต้ม) แถมยังเข้ารอบลึก คาราบาว คัพ ส่วนใน แชมเปี้ยนส์ ลีก ก็รั้งจ่าฝูงของกลุ่มอยู่ตั้งนาน แม้สุดท้ายจะตกม้าตายเอาดื้อๆ ก็เถอะ
สำหรับการเปิดบ้านพบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในเกมนัดล่าสุด ให้คำจำกัดความได้ง่ายๆ ว่า “แพ้ทุกกระบวนท่า”
โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ อาจจะยังใช้ระบบ 3 เซนเตอร์แบ็ก โดยวางหมาก 3-4-1-2 ที่พยายามลดจุดอ่อนในแนวรับลงให้มากที่สุด แต่การขาด ราฟาแอล วาราน ที่บาดเจ็บ และล่าสุดคือ เอดินสัน คาวานี่ ที่มาเจ็บเอาในวันแข่ง มันทำให้ทีมลดคุณภาพลงจากนัดที่บุกชนะ สเปอร์ส เมื่อสัปดาห์ก่อนลงไปเยอะมาก
วาราน คือปราการหลังที่ทีมไว้ใจได้มากที่สุดในแนวรับตอนนี้ ที่ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ ลุค ชอว์ ยังฟอร์มออกทะเล ขณะที่ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ก็ไม่มีความเด็ดขาดในการป้องกัน
ส่วน คาวานี่ คือกองหน้าที่เซนส์บอลทันกันกับ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มากที่สุด และเป็นผู้เล่นที่ขยันเพรสแดนบนช่วยทีมได้ดีที่สุด แต่กลายเป็นว่าเมื่อเขาลงสนามไม่ได้ โรนัลโด้ ต้องกลับไปเล่นแบบไม่เข้าใจกันกับรุ่นน้องให้เห็นอีกครั้ง
ระบบ 3-4-1-2 ของ โซลชาร์ นัดล่าสุด แทบจะไม่ต่างอะไรกับการจัดนักเตะลงไปยืนตามหมากที่วางบนหน้ากระดาษ แต่ในส่วนของรายละเอียดการเล่น ดูเหมือนว่ากุนซือชาวนอร์เวย์ไม่มีอะไรที่จะใส่ลงไปให้ลูกทีมเข้าใจกันเป็นทีมได้เลย
ในขณะที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ออกโรงติวเข้มสั่งการผู้เล่นของเขาเองทุกช็อต มีการกระตุ้นสมาธินักเตะแม้กระทั่งตอนที่ทีมของเขานำห่างแล้ว 2-0 แต่เราไม่เห็นว่า โซลชาร์ จะทำอะไรเท่าไรในเกมสำคัญแบบนี้ นอกจากนั่งดูนิ่งๆ แล้วให้โค้ชรุ่นพี่อย่าง ไมค์ ฟีแลน ลงไปติวเข้มนักเตะ และยืนสั่งการที่ข้างสนามแทน
ความเหนือชั้นของเป๊ป นั่นก็คือนักเตะ 11 คนที่เขาส่งลงไปในสนาม สามารถเคลื่อนที่สลับตำแหน่งกันได้แบบรู้ใจกันตลอด ระบบการเล่นไม่ได้ตายตัวตลอดเกม นักเตะไม่จำเป็นต้องประจำกันที่เดิมตลอดเกม แต่เราแทบไม่เห็นเลยว่าพวกเขาจะมีช่องว่างให้คู่แข่งโจมตีได้ง่ายๆ ส่วนเกมรุกของพวกเขาก็ยังลื่นไหล เป็นธรรมชาติ
2
คุณต้องมีกุนซือที่เข้มงวด และถ่ายทอดรายละเอียดเรื่องแท็กติกลงไปให้นักเตะได้ดีมากๆ เท่านั้น ถึงจะมีเกมการเล่นที่ได้คุณภาพออกมาแบบนี้
การเห็น ฟีแลน เป็นคนทำหน้าที่ติวเข้ม เป็นคนออกมายืนสั่งการข้างสนามมากกว่าคนเป็นกุนซือใหญ่ มันก็น่าคิดเหมือนกัน ว่าบางทีตัวของ โซลชาร์ เองอาจจะไม่ใช่คนอธิบายแท็กติกให้ลูกทีมในตอนซ้อมเลยด้วยซ้ำ
แล้วแบบนี้ใครกันล่ะ ที่จะเป็นที่พึ่งจัดวางระบบให้นักเตะลงไปเล่นแบบเข้าใจกันเป็นทีมได้?
เราได้เห็นนักเตะของ แมนฯ ยูไนเต็ด เคลื่อนที่กันแบบสับสน ดูไม่มีไอเดีย คิดอะไรไม่ออกทั้งในการป้องกันและเล่นเกมรุก
แนวรับปล่อยให้ แมนฯ ซิตี้ ถ่ายบอลออกที่ว่างริมเส้น แล้วครอสบอลโจมตีได้ง่ายๆ ทั้งที่การรับมือลูกเปิดจากด้านข้างคือจุดอ่อนของตัวเอง แล้วสุดท้ายทีมก็มาเสียประตูแต่เนิ่นๆ ยิ่งช็อตโดนนำห่าง 0-2 ยิ่งน่าโมโหกองหลังสุดๆ ที่ปล่อยให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา หลุดไปยิงง่ายๆ แบบนั้น
ประตูที่ 2 ของทีมเรือใบสีฟ้าในเกมนี้ มาจากการต่อบอลรวมกันถึง 26 จังหวะ นั่นแสดงให้เห็นว่าทีมปีศาจแดงไม่มีความเด็ดขาดในการเข้าไปบีบแย่งบอลเลย แถมจังหวะที่คู่แข่งจบสกอร์ ก็หย่อนยานกันเกินไปมาก
ดาบิด เด เคอา ที่เกมนี้พยายามเซฟช่วยทีมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว คือนักเตะที่ออกอารมณ์หงุดหงิดที่สุด ซึ่งทุกคนก็คงเห็นใจเขา ว่าอุตส่าห์เหนื่อยขนาดนี้ เพื่อนร่วมทีมยังอู้งานกันแบบน่าเกลียด
ในครึ่งหลัง โซลชาร์ อาจจะทำในสิ่งที่แฟนบอลอยากเห็น นั่นคือการให้โอกาสตัวสำรองอย่าง เจดอน ซานโช่ และ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบค ได้ลงสนามไปทำผลงานบ้าง แม้รายหลังจะมีเวลาแค่ 10 นาทีไม่รวมทดเวลาบาดเจ็บก็ตาม
1
แต่คำถามคือ แผนการแก้สถานการณ์คืออะไร ในเมื่อสุดท้ายทีมไม่มีไอเดียอะไรที่ต่างไปจากเดิม
โอกาสยิงตรงกรอบครั้งเดียวของทีมในเกมนี้จาก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ครึ่งแรก ส่วนครึ่งหลัง เอแดร์ซอน โมราเอส แทบจะยืนตบยุง
1
สิ่งที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องเจ็บใจที่โดนคู่แข่ง Outclass ในเกมนี้มากขึ้นไปอีก นั่นก็คือ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่จำเป็นต้องให้ลูกทีมออกแรงเหนื่อยอะไร อาศัยจังหวะเล่นกันแบบที่ทีมเคยเล่น โดยไม่ใช้โควตาเปลี่ยนตัวแม้แต่คนเดียว
สาเหตุที่ เป๊ป ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนตัว หรือให้โอกาสตัวสำรองในเกมนี้ อาจเป็นเพราะเขาก็ยัง “เน้น” ในแบบของเขา เพราะแท็กติกที่วางมามันดีมากอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนให้เสียโมเมนตัม ขณะที่การไม่จำเป็นต้องเร่งเครื่องในครึ่งหลัง มันก็ไม่ได้ทำให้นักเตะต้องเหนื่อยจนต้องถอดออกสักเท่าไร
บทสัมภาษณ์ของเป๊ปหลังจบเกม ยิ่งเผยให้เห็นว่า โซลชาร์ ในตอนนี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขามากขึ้นไปอีก เมื่อเขาพูดถึงทีมปีศาจแดงไว้แบบทะลุปรุโปร่ง
1
“เกมนี้มันค่อนข้างคล้ายๆ กับหลายๆ ฤดูกาลก่อนหน้านี้ที่พวกเขาเอาชนะพวกเราได้”
“พวกเขารอให้เราก่อความผิดพลาดสักครั้งแล้วก็ลงโทษเราด้วยเกมโต้กลับ พวกเขาไม่เคยคอนโทรลเกมได้ในการเจอกับเรา ซึ่งวันนี้พวกเราสุดยอดมากๆ”
ชัยชนะของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ นัดล่าสุด แน่นอนว่าเราต้องให้เครดิตความยอดเยี่ยมของทีมแชมป์เก่า อย่าลืมว่านี่คือทีมที่คว้าแชมป์ภายใต้กุนซือคนเดิมถึง 3 ครั้งจาก 4 ฤดูกาลหลังสุด มาตรฐานของพวกเขาจึงสูงมากๆ อยู่แล้ว
แต่ความห่างชั้นที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้เห็นชัดเจนว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ เวลานี้ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อของทีมคู่ปรับสำคัญทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่แค่ตัวของกุนซือเท่านั้น แต่คุณภาพของนักเตะแทบทุกตำแหน่งในตอนนี้ ทีมเรือใบสีฟ้าดีกว่า และพร้อมสำหรับการเป็นทีมที่ชนะได้บ่อยๆ มากกว่าอย่างชัดเจน
ดาบิด เด เคอา อาจเป็นผู้รักษาประตูที่เซฟลูกยากเก่ง แต่เขาไม่สามารถเป็นที่พึ่งของการตั้งเกมจากแดนหลังได้ดีเหมือนกับที่ เอแดร์ซอน โมราเอส ทำได้
เซนเตอร์แบ็กของ แมนฯ ซิตี้ ทั้ง รูเบน ดิอาส, จอห์น สโตนส์ รวมไปถึง อายเมอริค ลาป๊อร์กต์ ที่โดนแบน ดูน่าไว้ใจว่าจะเสียประตูยากกว่าของฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่ ราฟาแอล วาราน ไม่ได้ลงสนาม
ยิ่งเห็นการเล่นของ ชูเอา คันเซโล่ กับ ไคล์ วอล์คเกอร์ ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าพวกเขาคือฟูลแบ็กที่ซัพพอร์ตการโจมตี และมีวินัยในการปิดพื้นที่ได้ดีกว่า อารอน วาน-บิสซาก้า และ ลุค ชอว์ เยอะมาก
แดนกลางนี่ยิ่งห่างชั้น ลองนึกภาพว่าถ้า เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ไปอยู่กับทางฝั่งเรือใบสีฟ้า ผมคิดไม่ออกเลยว่าพวกเขาจะแย่งตำแหน่งจาก โรดรี้, อิลคาย กุนโดกัน, แบร์นาร์โด้ ซิลวา, ฟิล โฟเด้น และ เควิน เดอ บรอยน์ ได้อย่างไร
แนวรุกของฝั่งปีศาจแดงอาจจะมี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นอาวุธหนัก แต่นักเตะที่อายุ 36 ปีอย่างเขา จะมาแบกทีมที่มีคุณภาพไม่พร้อมในภาพรวม ส่วนกุนซือก็มีความสามารถเป็นรองคู่แข่งเยอะมากได้แค่ไหนกัน
โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในตอนนี้ ไม่ใช่สนามที่คู่แข่งทีมใดจะบุกไปเยือนแล้วเกรงกลัวอีกแล้ว ตราบใดที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังคิดไปเองว่าคุณภาพที่ทีมมีอยู่นี้ ทั้งนักเตะ, ผู้จัดการทีม และทีมงานสต๊าฟฟ์โค้ช มันดีพอแล้วที่จะต่อกรกับทีมระดับแชมเปี้ยน
#เสียบสามเหลี่ยม #โซลชาร์ #เป๊ป #เป๊ปกวาร์ดิโอล่า #ผีแดง #ปีศาจแดง #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #เรือใบสีฟ้า #แมนฯซิตี้ #แมนเชสเตอร์ซิตี้ #แมนเชสเตอร์ดาร์บี้ #พรีเมียร์ลีก
โฆษณา