8 พ.ย. 2021 เวลา 05:56 • การศึกษา
"ยุคของดนตรีสากล" ดนตรีเกิดขึ้นมาพร้อมกับมนุษย์ และถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ มนุษย์รู้จักการสร้างเสียงดนตรีเพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสาร เช่น การตีเกราะ เคาะไม้ การเป่าเขาสัตว์ การเป่าใบไม้ เพื่อส่งสัญญาณต่างๆ มนุษย์รู้จักการร้องรำทำเพลง เพื่อให้หายเครียด เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อการประกอบพิธีกรรมต่างๆ กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องของเสียงดนตรี มนุษย์ได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์มาโดยตลอด ต่อมาเมื่อมนุษย์ได้สนใจดนตรีในด้านศิลปะ ดนตรีจึงได้วิวัฒนาการขึ้นตามลำดับเป็นยุคต่างๆตามเวลา
1.(ยุคกลาง ค.ศ.500-1400)ในช่วงสมัยของยุคกลางนั้นให้ความสำคัญกับศาสนามาก ศาสนาเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งในสังคม การศึกษา การเมืองการปกครอง ศิลปะ และดนตรี ลักษณะของเพลงในยุคสมัยนี้จึงนิยมนำมาประกอบพิธีทางศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ในยุคสมัยนั้นนำบทสวดมาใส่ทำนองเพื่อใช้ประกอบพิธีทางศาสนาเรียกว่าเพลง Chant (แชนท์) ผลงานที่โดดเด่นคือ gregorian chant
ลักษณะของเพลงยุคกลางนั้นคือนิยมการประพันธ์รูปแบบ Monophony หรือการประพันธ์เพลงแนวเดียว ไม่มีเสียงประสานสอดแทรก ไม่มีการกำหนดจังหวะ
2.(ยุคเรอเนสซองส์หรือฟื้นฟูศิลปวิทยา ค.ศ.1400-1600)
สาเหตุที่ทำให้เกิดยุคนี้คือมาจากความคิดที่เปลี่ยนไปของชาวคริสต์ที่มีต่อพระเจ้า โดยมีวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องเเละเริ่มหันมาสนใจกับการค้นหาสิ่งใหม่ๆมากกว่าการเชื่อต่อพระเจ้า ร่วมถึงการล่มสลายของจักรวรรดิไบเซนไทน์ด้วย
ดนตรีในยุคนี้มีลักษณะที่ซับซ้อนมากขึ้นจากยุคก่อน เริ่มมีเพลงพวก cannon หรือเพลงที่ขึ้นต้นไม่พร้อมกันจึงเกิดการไล่กันของทำนองเเละผู้ประพันธ์เพลงเริ่มสนใจการเเต่งเพลงให้เครื่องดนตรีมากขึ้นกว่ายุคกลาง
ในยุคนี้มีการประดิษฐ์เครื่องพิมพ์อีกด้วย
3.(ยุคบาโรก ค.ศ.1600-1750)
ในยุคนี้ผู้ประพันธ์เพลงและผู้แสดงจะใช้องค์ประกอบทางด้านดนตรีที่ซับซ้อนมากขึ้น เกิดการเปลี่ยนแปลงเรื่องระบบเสียงและได้พัฒนาการเล่นเครื่องดนตรีแบบใหม่ ดนตรีสมัยบาโรกได้ขยับขยายขนาด ความกว้าง ความซับซ้อนของการแสดงเครื่องดนตรีเป็นผลมาจากต้องการตอบสนอวความสามารถของดนตรีที่เก่งขึ้น
มีการใช้เครื่องดนตรีเยอะขึ้น ลักษณะเด่นในยุคนี้คือการใช้หลักประพันธ์เพลง Counterpoint คือการที่เสียงเบสเคลื่อนที่ตลอดเวลา โดยใช้สัญลักษณ์เป็นตัวเลขบอกถึงการเคลื่อนที่ไปของเบส รวมถึงเสียงแนวอื่นๆด้วย ทำให้เกิดคอร์ดขึ้นมา
การใช้บันไดเสียงเมเจอร์ และบันไดเสียงไมเนอร์แทนโหมดโบราณ(Mode) จากยุคกลางเเละยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (การสิ้นสุคของยุคนี้จบลงพร้อมกับที่บาคเสียชีวิตด้วย นั้นคือ ค.ศ.1750)
4.(ยุคคลาสสิค ค.ศ.1750-1820)
ในยุคนี้ดนตรีมีการเปิดกว้างสู่ประชาชนเป็นดนตรีนอกโบสถ์มากขึ้น ดนตรีสมัยคลาสสิกมีลักษณะความเป็นจริง มีความสมดุล และชัดเจนในรูปแบบของโครงสร้างเพลง ในยุคนี้ดนตรีบรรเลงมีความเด่นกว่าเพลงร้อง ดนตรีสมัยคลาสสิกเป็นดนตรีบริสุทธิ์ absolute music คือ ดนตรีที่ไม่มีจินตนาการอยู่เบื้องหลัง ไม่มีบทกวีประกอบ เเต่เเต่งเพื่อความสวยงามของดนตรีเฉยๆ
ในสมัยคลาสสิกเลิกนิยมการสอดประสานของทำนอง counterpoint เเต่หันมานิยมการเน้นทำนองหลักเเทนเพราะได้ลื้อฟื้นศิลปะเเบบกรีกโรมันที่เน้นความเรียบง่าย มีการใช้เทคนิกการเเตกคอร์ดคือการเล่นโน้ตในคอร์ดกลับไปกลับมาหรือเรียกอีกอย่างว่า arpeggio เเละเริ่มมีความเงียบในบทเพลงมากขึ้น
เกิดบทเพลงลักษณะใหม่ ๆ ขึ้นในยุคนี้คือ ซิมโฟนี,คอนแชร์โต
และโซนาตา ลักษณะการผสมวงมีกำหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่ คือเป็นวงดนตรีเชมเบอร์หรือวงออร์เคสตรา เพลงบรรเลงนิยมประพันธ์กันมากขึ้น เพลงร้องยังคงมีการประพันธ์อยู่เช่นเดิม
มีการสร้างเปียโนเเละนิยมเปียโนมากกว่าฮาร์ปซิคอร์ด
Wolfgang Amadeus Mozart(1756-1791)
5.(ยุคโรแมนติก ค.ศ.1820-1900)
คำว่า "โรแมนติก" ได้รับการนำมาประยุกต์ใช้ในวงการดนตรี ค.ศ. 1810 ซึ่งเอามาจากวงการวรรณกรรม มีความหมายว่าอารมณ์ที่รุนแรงของมนุษย์ โดยลักษณะดนตรีแบบโรแมนติกนี้เริ่มขึ้นในงานของนักประพันธ์เพลงและนักดนตรีชื่อลูทวิช ฟัน เบทโฮเฟิน
ดนตรีสมัยโรแมนติกมีลักษณะของแนวทำนองที่เต็มไปด้วยการบรรยายความรู้สึก รัก เศร้า โกรธ สนุกสนาน มีแนวทำนองเด่นชัด ลักษณะการแบ่งวรรคตอนเพลงไม่ตายตัว การประสานเสียงได้พัฒนาต่อจากสมัยคลาสสิกทำให้เกิดการคิดคอร์ดใหม่ๆเพิ่มขึ้น เพื่อใช้แสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกมีการนำคอร์ดที่เสียงไม่กลมกลืนมาใช้มากขึ้น มีการใช้โน้ตนอกคอร์ดเเละบันไดเสียงที่มีโน้ตครึ่งเสียง (chromatic scale) การเปลี่ยนบันไดเสียงหนึ่งไปอีกบันไดเสียงหนึ่งอย่างคาดไม่ถึง การใช้ความดังเบาเเบบ ดังก็จะดังจนหูเเทบเเตก ท้าเบาก็เเทบไม่ได้ยิน
Wanderer above the Sea of Fog ภาพวาดของ แคสเปอร์ เดวิด ฟรีดดริก ในปี 1818
ลักษณะของวงออร์เคสตราจะมีขนาดใหญ่ขึ้นตามแต่ผู้ประพันธ์เพลงจะกำหนด
6.( ยุคศตวรรษที่20 ค.ศ.1900-ปัจจุบัน)
ดนตรีในยุคนี้มีความหลากหลายมาก เนื่องจากสภาพสังคมที่เป็นอยู่ คีตกวีพยายามที่จะสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมา มีการทดลองการใช้เสียงแบบแปลกๆ การประสาน ทำนองเพลงมีทั้งรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่ คีตกวีเริ่มเบื่อและรู้สึกอึดอัดที่จะต้องแต่งเพลงไปตามกฎเกณฑ์ที่ถูกบังคับโดยระบบกุญแจหลักและบันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์ จึงพยายามหาทางออกต่างๆ กันไป มีการใช้เสียงประสานอย่างอิสระ ไม่เป็นไปตามกฎของดนตรี จัดลำดับคอร์ดทำตามความต้องการของตน ตามสีสันของเสียงที่ตนต้องการ ได้รับอิทพลเพลงจากวัฒนธรรมจากตะวันออกมาปรับใช้
ดนตรีในศตวรรษที่20นี้ ไม่อาจที่จะคาดคะเนได้มากนัก เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามความเจริญก้าวหน้าทาง ด้านเทคโนโลยีการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรม คนในโลกเริ่มใกล้ชิดกันมากขึ้น ดนตรีจึงมีความเเตกต่างกันมาก^_^
โฆษณา