11 พ.ย. 2021 เวลา 01:30 • สิ่งแวดล้อม
Fast Fashion ใส่ได้หรือไม่ควร? ข้อคิดจากกระแส #แบนSHEIN
หากเราได้เข้าชมวิดีโอเกี่ยวกับแฟชั่นใน TikTok หรือ YouTube ในช่วง 2-3 ปีให้หลังมานี้ เราจะพบว่าหนึ่งแบรนด์ที่ผู้คนพูดถึงบ่อยๆ ก็คือแบรนด์ Fast Fasion ยักษ์ใหญ่จากจีนที่ชื่อ “SHEIN”
SHEIN เป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กวัยรุ่นในอเมริกา แม้จะไม่มีหน้าร้านและขายเฉพาะบนช่องทางออนไลน์เท่านั้น แต่ SHEIN ก็กวาดรายได้ไปมหาศาลแถมยังขึ้นครองตำแหน่งแอปฯ ซื้อของที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในอเมริกาอีกด้วย
แต่เมื่อความนิยมเกิดขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์
ทั้งเรื่องการเอาเปรียบแรงงาน การละเมิดลิขสิทธิ์ ปัญหาสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน หลายๆ ประเทศมีการต่อต้าน SHEIN มาพักใหญ่เพราะปัญหาเหล่านี้ ในไทยเองก็เช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้เกิดแฮชแท็ก “#แบนSHEIN” ขึ้นในสื่ออย่าง Twitter ชักชวนให้ผู้คนออกมาแสดงความเห็นถึงผลเสียของการบริโภค Fast Fashion
1
เรามาสำรวจประเด็นร้อนจากกระแส #แบนSHEIN กันดีกว่าว่าอุตสาหกรรม Fast Fashion โดยเฉพาะ SHEIN สร้างผลกระทบอย่างไรบ้างและเราจะหาทางออกให้ปัญหานี้ได้อย่างไร
Cult Of SHEIN ลัทธิสวมใส่แบบใช้แล้วทิ้ง
SHEIN ได้รับความนิยมท่ามกลางกลุ่มวัยรุ่นอย่างมาก เพราะสินค้าต่างๆ มีราคาที่จับต้องได้ แถมมีตัวเลือกหลากหลาย ในปี 2020 แบรนด์ทำรายได้สูงถึงหมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่า 3 แสนล้านบาท) อีกทั้งยังเป็นแบรนด์ที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในปีนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้ SHEIN เป็นที่นิยมขนาดนี้คือเทรนด์ “Fashion Haul”
วิดีโอ Fashion Haul หรือ การรีวิวและลองสวมใส่เสื้อผ้าที่ซื้อมาในจำนวนมาก เป็นที่นิยมของเหล่ายูทูบเบอร์มานาน แต่เมื่อเกิดแพลตฟอร์มใหม่อย่าง TikTok ขึ้นมา คอนเทนต์แฟชั่นบนโลกออนไลน์ก็ขยับไปอีกขึ้น มีการแข่งขันแต่งตัวตามชาเลนจ์ (Challenge) ต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในแต่ละวัน
จริงอยู่ที่กิจกรรมเหล่านี้สนับสนุนให้เราเกิดความคิดสร้างสรรค์ แต่ด้วยการทำงาน (Algorithm) ของ TikTok ที่ชักชวนให้คนโพสต์วิดีโอ ‘รายวัน’ ถึงจะโด่งดังในแอปฯ ได้ เสื้อผ้าที่หลายๆ คนมีอาจไม่พอในการทำคอนเทนต์ ด้วยเหตุนี้เอง คนจึงหันมาซื้อเสื้อผ้ามากขึ้น ส่งผลให้เกิดการบริโภคที่มากเกินไป
และถ้าต้องซื้อเสื้อผ้าบ่อยขนาดนี้ หลายๆ คนอาจหันมาบริโภคแบรนด์ถูกๆ เพื่อความสบายกระเป๋ากัน แน่นอนว่า SHEIN ก็เป็นหนึ่งในแบรนด์ Fast Fashion ที่ถูกเลือก
1
ไม่ใช่เพียงแค่ เหล่าคอนเทนต์ครีเอเตอร์ที่บริโภคสินค้า Fast Fashion ผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียเองก็เช่นกัน การเสพสื่อและเทรนด์เสื้อผ้าใหม่ๆ เป็นจำนวนมากกระตุ้นให้เราอยากมีอยากใช้ จากเดิมที่เสื้อผ้ามีไว้เพื่อ ‘สวมใส่’ กลับกลายเป็นไอเทมใช้แล้วทิ้ง บางคนถึงกับซื้อมาเพียงเพื่อ ‘ถ่ายรูป’ และโพสต์ลงบน Instagram เท่านั้น
ยิ่งผู้บริโภคจับจ่ายมากขึ้น ผู้ผลิตยิ่งผลิตออกมามากขึ้น แล้วสถานการณ์แบบนี้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรบ้าง
ผลกระทบของ Fast Fasion ต่อสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรแรกที่อุตสาหกรรมแฟชั่นใช้เป็นจำนวนมากคือ “น้ำ” 1 ใน 10 จากปริมาณน้ำทั้งโลกใช้ไปกับการผลิตเสื้อเสื้อผ้า ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตฝ้ายไปจนถึงการย้อมสี โดยการผลิตฝ้าย 1 กิโลกรัมนั้นใช้น้ำราวๆ 3,000 ลิตร ส่วนการย้อมสีก็ใช้น้ำเยอะไม่แพ้กัน แถมมีการใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดมลภาวะทางน้ำ ผลสำรวจพบว่าน้ำเสียกว่า 20% บนโลกนี้มีต้นเหตุมาจากขั้นตอนย้อมสีเสื้อผ้านี่เอง
นอกจากฝ้ายแล้ว อุตสาหกรรมแฟชั่นยังนิยมใช้เส้นใยสังเคราะห์มากขึ้น และในเส้นใยนี้เองมีพลาสติกขนาดจิ๋วที่เราเรียกว่า “ไมโครไฟเบอร์” (Microfibers) ซึ่งส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเยอะกว่าขั้นตอนผลิตผ้าฝ้ายแล้ว ไมโครไฟเบอร์ยังใช้เวลานานในการย่อยสลาย
ยิ่งไปกว่านั้น หากพลาสติกเหล่านี้สลายตัวจะปล่อยสารเคมีเป็นพิษออกมาด้วย เมื่อสารพิษเข้าสู่ระบบนิเวศน์ สัตว์ทะเลต่างๆ จะปนเปื้อนสารพิษและจะมีการสะสมไปเรื่อยๆ ตามลำดับห่วงโซอาหาร
นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการผลิตและการบริโภคที่มากเกินไป ส่งผลให้เสื้อผ้าจำนวนมากต้องถูกทิ้ง ฝังกลบ และเผาทำลาย หลายๆ ปัญหารวมกันนี้ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างการขนส่งพัสดุเสียอีก
แม้แบรนด์ Fast Fashion หลายๆ แบรนด์อย่าง H&M และ Zara จะออกมาทำแคมเปญแสดงภาพลักษณ์ใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น แต่หากอัตราการผลิตและบริโภคยังไม่ลดลง มีการคาดการณ์ว่า ภายในทศวรรษเดียว อุตสาหกรรมแฟชั่นจะเป็นต้นเหตุหลักในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะมีจำนวนสูงถึง 50% จากก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม SHEIN เป็นเพียงหนึ่งแบรนด์ในอุตสาหกรรม Fast Fashion เท่านั้น มีเหตุผลอื่นๆ อีกไหมที่ทำให้คนออกมา #แบนSHIEN แต่ไม่ใช่แบรนด์อื่น
ประเด็นร้อนอื่นๆ ใน #แบนSHEIN
นอกจากปัญหาสิ่งแวดล้อมแล้ว SHEIN ยังพบปัญหา “ละเมิดลิขสิทธิ์” ศิลปินอิสระนับไม่ถ้วน
ในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์แฟชั่นขนาดเล็กชื่อ Elexiay ออกมาพูดถึงเสื้อสเวตเตอร์รุ่น Amelia ที่ทอมือทั้งผืนจากประเทศไนจีเรีย ซึ่งขายอยู่ที่ราคา 330 เหรียญสหรัฐ แต่เสื้อดังกล่าวกลับถูก SHEIN คัดลอกดีไซน์และผลิตออกมาขายในราคาเพียง 17 เหรียญเท่านั้น
“ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการออกแบบ ใช้เวลาเป็นวันๆ ในการถักเสื้อแต่ละตัว น่าท้อใจเหลือเกินที่ต้องเห็นงานที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเราถูกลดทอนคุณค่า กลายเป็นเพียงของลอกเลียนแบบที่ผลิตโดยเครื่องจักร” ดีไซเนอร์ดังกล่าวแสดงความเห็นบน Twitter ของเธอ
1
น่าเศร้าที่นี่ไม่ใช่กรณีแรก มีแบรนด์เล็กๆ และศิลปินอิสระมากมายที่ถูกขโมยผลงาน นำไปผลิตซ้ำในราคาถูก ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเคสโทรศัพท์มือถือ แม้จะมีการเรียกร้องไปยังบริษัทและเอเจนซี่โฆษณาของ SHEIN หลายต่อหลายครั้ง ทางแบรนด์ยังไม่เคยออกมาแสดงความเห็นใดๆ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อีกประเด็นคือวัสดุที่ใช้ในการผลิตของ SHEIN นั้นเป็น “วัสดุคุณภาพปานกลาง” ไปจนถึงคุณภาพแย่ สินค้าส่วนใหญ่จึงไม่คงทน มีอายุการใช้งานที่สั้น และยากที่จะนำไปขายต่อเป็นเสื้อผ้ามือสอง ส่วนเครื่องประดับในเว็บไซต์เองก็มีราคาถูกมากๆ โดยเริ่มต้นที่ 10 บาทเท่านั้น แต่ผู้ใช้งานหลายท่านออกมารีวิวบนโลกออนไลน์ว่าใส่เพียง ‘ครั้งเดียว’ ก็หมดสภาพจนต้องทิ้ง
1
ประเด็นใหญ่สุดท้ายคือปัญหา “แรงงาน” SHEIN คือหนึ่งในแบรนด์แฟชั่นที่มีคะแนนความโปร่งใสเป็นศูนย์ เมื่อมีการเข้าไปสำรวจการผลิต มีรายงานว่าแรงงานเหล่านี้ทำงานในโรงงานที่อัดแน่นไปด้วยคนและของ อากาศร้อนจนแทบหายใจไม่ออก แต่พวกเขาก็ทำงานไม่หยุดหย่อนตั้งแต่เช้ายันค่ำ โรงงานนรกเช่นนี้ไม่มีการจดทะเบียนอย่างถูกต้อง สภาพตึกเก่าทรุดโทรม และเสี่ยงต่อการเป็นต้นเหตุเพลิงไหม้ แต่กลับมีอยู่นับร้อยในเมืองกวางโจว ทางตอนใต้ของจีน
เพราะปัญหาเหล่านี้นี่เอง คนจึงหันมาต่อต้านจนเกิดแฮชแท็กอย่าง #แบนSHEIN ในไทย และ #BoycottSHEIN บน TikTok ในต่างประเทศ
จะทำอย่างไรเมื่อหลายคนมีงบซื้อได้แค่ Fast Fashion
ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากพอ เมื่อตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวก็สามารถช่วยแก้ไขได้ ด้วยการหันไปสนับสนุนแบรนด์อื่นที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมและมีจริยธรรม
1
แล้วคนที่ไม่มีกำลังซื้อมากพอล่ะ จะต้องทำอย่างไร
จริงอยู่ที่อุตสาหกรรมแฟชั่น (โดยเฉพาะ Fast Fashion) สร้างปัญหารอบด้าน แต่ต้นทุนในชีวิตคนเรานั้นต่างกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถสนับสนุนแบรนด์ที่ยั่งยืนและมีจริยธรรมได้ แม้ว่าอยากสนับสนุนมากเท่าใดก็ตาม
ในกรณีเช่นนี้ สิ่งที่ผู้บริโภคพอทำได้คือซื้อเท่าที่จำเป็น ซื้อเสื้อผ้าที่ใส่ซ้ำได้บ่อยๆ ถนอมเสื้อผ้าให้ดีตามป้ายกำกับการใช้งาน ใช้งานให้คุ้มค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนท้าย เราอาจนำไปบริจาคเป็นเสื้อผ้ามือสองต่อ หรือนำไป Reuse ใช้งานในด้านอื่นๆ อย่างการนำไปทำเป็นพรมเช็ดเท้าหรือผ้าขี้ริ้ว เป็นต้น อีกทางเลือกที่น่าสนใจคือการหันมาสนับสนุนเสื้อผ้ามือสองมากขึ้น
แม้ #แบนSHEIN จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากแบรนด์เดียว แต่ก็ช่วยให้หลายคนตระหนักถึงปัญหารอบด้านในอุตสาหกรรมแฟชั่น ถ้าหากเราอยากเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยแก้ไขปัญหานี้ วันนี้เราอาจเริ่มด้วยการบริโภคอย่างมีสติและสร้างความตระหนักรู้เรื่องปัญหาจากอุตสาหกรรมแฟชั่น อาจเริ่มง่ายๆ ด้วยการชวนคนรอบข้างคุยเรื่อง #แบนSHEIN หรือด้วยการส่งบทความนี้ให้เพื่อนๆ ของคุณอ่านก็ได้นะ
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#society
โฆษณา