12 พ.ย. 2021 เวลา 07:35 • ประวัติศาสตร์
*** ประวัติเขมรแดง ใน 15 นาที ***
เวลาพูดถึง “เขมรแดง” คุณผู้อ่านนึกถึงอะไรกันบ้างครับ? การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์? ความโหดร้ายเกินมนุษย์? สงครามเย็น? หรือเรื่องผลกระทบถึงไทย?
เรื่องราวของเขมรแดงซับซ้อนยิ่งนัก ทำให้แม้จะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ก็ไม่ค่อยถูกพูดถึงเท่าไหร่อย่างละเอียดเกินกว่าเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เท่าใด ข้อมูลหลายอย่างก็ไม่นิ่ง
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยจะมาเล่าเรื่องของเขมรแดงแบบเข้าใจง่ายให้ฟังนะครับ ตั้งแต่การเติบโตของคอมมิวนิสต์กัมพูชา, การชิงอำนาจระหว่างเจ้าสีหนุ-ลอนนอล-พลพต, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, สงครามเวียดนาม และผลกระทบที่มาถึงไทยแบบรวบรัดในนะครับ
*** จุดเริ่มต้นของกระแสคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา (ค.ศ. 1951 - 1953) ***
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง ญี่ปุ่นซึ่งยึดกัมพูชาอยู่ได้แพ้สงครามและต้องคืนกัมพูชาให้ฝรั่งเศส และในปี 1946 ฝรั่งเศสก็ได้ให้สิทธิ์ปกครองตนเองแก่กัมพูชา (แต่สถานะยังถือเป็นอาณานิคม)
ในการนี้ทำให้กัมพูชามีรัฐธรรมนูญฉบับแรกในวันที่ 6 พฤษภาคม 1947 เป็นระบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
ภาพแนบ: พลพต
ช่วงระหว่างนั้น กัมพูชามีการให้ทุนส่งคนไปเรียนที่ฝรั่งเศสจำนวนไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือ พลพต หรือชื่อจริง ซาลอต ซาร์ ชาวเขมรเชื้อสายจีน เกิดในจังหวัดแพรกสเบาว ใกล้กับเมืองกัมปงธม พ่อของเขาเป็นชาวนาซึ่งมีที่ดินและฝูงวัวของตัวเอง ทั้งมีเงินจ้างเพื่อนบ้านมาช่วยทำงานได้ สถานะของพลพตจึงจัดอยู่ในชนชั้นกลางมีอันจะกิน
ญาติของพลพตทำงานในวัง มีเงินดี พ่อแม่จึงส่งเขาและพี่ชายไปอยู่กับญาติในพนมเปญตั้งแต่ 6 ขวบ ญาติคนนี้ออกเงินส่งเสียให้พลพตเล่าเรียน ถึงไม่ได้เรียนเก่งอะไร แต่การแค่ได้เรียนหนังสือ ส่งผลให้เขามีเอกสิทธิ์สูงกว่าคนทั่วๆ ไป
ภาพแนบ: มาร์กซ์ กับ เลนิน
ในปี 1948 พลพตตัดสินใจเรียนนายช่าง และในปีต่อมา เขาก็สอบได้ทุนไปเรียนต่อด้านวิศวกรรมที่ฝรั่งเศส อันเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ศึกษางานของมาร์กซ์และเลนิน เช่นเดียวกับเหล่านักเรียนทุนฝรั่งเศสอื่นๆ ที่ได้เรียนรู้ทฤษฎีสังคมศาสตร์ใหม่ๆ ก็ล้วนอยากจะเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองในประเทศตัวเอง จึงได้จัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นในปี 1951
ภาพแนบ: พระเจ้านโรดมสีหนุ
ต่อมาพระเจ้านโรดมสีหนุ ซึ่งเป็นกษัตริย์แต่ยังมีอำนาจทางการเมืองได้มีความขัดแย้งกับนักการเมืองหลายประการ ประกอบกับการมีกระแสล้มล้างราชวงศ์เกิดขึ้นตามต่างจังหวัด สีหนุเลยทำรัฐประหารยึดอำนาจในปี 1952 ตั้งตัวเองเป็นทั้งกษัตริย์และนายกรัฐมนตรีชั่วคราว
แน่นอนว่ากลุ่มนักศึกษาที่ปารีสไม่พอใจการกระทำนี้ และได้ออกแถลงการณ์ประณาม เรียกสีหนุว่า “คนทรยศต่อชาติ”
ภาพแนบ: เวียดมินห์
*** พลพต และพรรคประชาชน (ค.ศ. 1953 - 1955) ***
พลพตกลับมายังกัมพูชาในปี 1953 หลังโดนตัดทุนการศึกษา แม้ปีนั้นกัมพูชาจะได้เอกราชจากฝรั่งเศส แต่บ้านเมืองยังแตกเป็นหลายฝ่าย
พลพตได้เลือกเข้ากับเขมรเวียดมินห์ ซึ่งเป็นกลุ่มกองโจรคอมมิวนิสต์ต่อต้านรัฐที่มีทั้งคนเขมรและเวียดนามเป็นสมาชิก
ต่อมาเขมรเวียดมินห์เสื่อมอำนาจ เพราะมีกระแสปราบคอมมิวนิสต์ในเขมร ทำให้มีคนหนีไปเวียดนามเหนือมาก (ขณะนั้นเวียดนามแตกเป็นสองรัฐ คือเวียดนามเหนืออยู่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ เวียดนามใต้อยู่ฝั่งโลกเสรี)
แต่พลพตยังอยู่ และร่วมกับคนที่มีแนวความคิดมาร์กซิส-เลนินนิสต์เหมือนกัน สร้าง “พรรคประชาชน” ขึ้น เพื่อเข้าชิงตำแหน่งในการเลือกตั้งปี 1955
ภาพแนบ: เจ้านโรดมสุรามฤต (ด้านหน้าสุด) กับครอบครัว
ตอนนั้นพรรคประชาชนกำลังมาแรง พระเจ้าสีหนุเลยตัดสินใจสละราชบัลลังก์ลงมาเล่นการเมืองจริงจัง โดยยกบัลลังก์ให้พ่อหรือเจ้านโรดมสุรามฤตแทน
เขาตั้ง “พรรคสังคมราษฎรนิยม” ขึ้นมาแข่งขัน ปรากฏว่าพรรคสังคมชนะทุกที่นั่ง เจ้าสีหนุเลยสามารถปกครองประเทศแบบพรรคเดียว นี่ทำให้ฝ่ายซ้ายเขมรรู้สึกหมดหวังที่จะสู้ด้วยแนวทางปกติ
ขณะนั้นทางเวียดนามเหนือได้แนะนำให้ฝ่ายซ้ายเขมรอย่าเพิ่งโต้ตอบด้วยอาวุธ เพราะคงทำอะไรไม่ได้มาก พวกเขาจึงดำเนินการเงียบๆ ค่อยๆ สะสมกำลัง โดยฉากหน้าพลพตเป็นครูสอนหนังสือ แต่เบื้องหลังก็คอยเป็นตัวกลางติดต่อประสานงานต่างๆ อยู่
*** เกมการเมืองวุ่นวาย (ค.ศ. 1955 - 1970) ***
หลังสีหนุชนะเลือกตั้ง เกมการเมืองกัมพูชาก็ดำเนินไปอย่างซับซ้อนและวุ่นวาย
ในปี 1960 พระเจ้านโรดมสุรามฤตสิ้นพระชนม์ สีหนุจึงตั้งตนเป็นผู้นำประเทศทั้งทางราษฎร์ทางหลวง ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นจราจลในปี 1962 ครั้งนั้นสีหนุเลยยอมยุบสภา และมีการ “เชิญ” สมาชิกฝั่งซ้ายกัมพูชามาเข้าพบ โดยให้เหตุผลว่า จะมาคุยเรื่องการปกครองใหม่ร่วมกัน
พลพตเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกเรียกตัว แต่เขาไม่เชื่อใจ จึงหลบหนีไปยังชายแดนเพื่อร่วมกับพวกเวียดกงทำให้กลายเป็นนักปฏิวัติโดยสมบูรณ์ ในเวลานี้เองเขาเริ่มมีแนวคิดว่าพวกชาวนาในต่างจังหวัดนี้แหละ คือแรงสำคัญของการปฏิวัติเพื่อให้ประเทศกลายเป็นสังคมนิยม และเริ่มคิดถึงสังคมการเกษตรในอุดมคติ
1
พลพตเดินทางไปจีนในปี 1966 โดยเขาได้เรียนรู้ทฤษฎีคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น และได้เห็นการปฏิวัติวัฒนธรรมที่กำลังเกิดแบบสดๆ
เดวิด แชนด์เลอร์ เจ้าของผลงาน Brother Number One: A Political Biography of Pol Pot. ได้วิเคราะห์ว่า มันกลายเป็นแนวทางให้เขาจัดการปัญหาทางการเมืองของกัมพูชาในเวลาต่อมา
1
ส่วนทางด้านสีหนุซึ่งชนะเลือกตั้งเป็นผู้ปกครองต่อ ได้พยายามดำเนินนโยบายวางตัวเป็นกลาง ขณะที่ประเทศรอบข้างทั้งลาวและเวียดนามต่างมีสงครามกลางเมืองระหว่างทั้งสองฝ่าย...
ภาพแนบ: ลอนนอล
สีหนุทำการหลายอย่างเพื่อเอาใจทั้งฝ่ายซ้ายและขวา เขาอนุญาตให้พวกเวียดนามเหนือมาวางกองกำลังอยู่ในชายแดนตะวันออก รวมทั้งให้ฝ่ายคอมมิวนิสต์สามารถใช้ท่าเรือเขมรขนส่งยุทธปัจจัยต่างๆ
...ว่ากันว่า ที่เจ้าสีหนุทำแบบนี้ เพราะเขาเชื่อว่าสักวันจีนจะครองคาบสมุทรอินโดจีน ดังนั้นจึงควรสวามิภักดิ์ไว้...
ในช่วงเวลาดังกล่าวสีหนุยังอนุญาตให้นายพลลอนนอล ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกลาโหมที่โปรอเมริกา จัดการกับพวกฝั่งซ้ายอย่างรุนแรง แต่ข้อหลังนี้ซื้อใจพวกฝั่งขวาของกัมพูชากลับมาไม่ได้ แถมช่วงนั้นเศรษฐกิจกัมพูชายังตกต่ำ ทำให้ความนิยมในตัวสีหนุต่ำลงและถูกมองว่าโปรคอมมิวนิสต์
เมื่อประเทศกัมพูชามีการเลือกตั้งในวันที่ 11 กันยายน 1966 ฝ่ายอนุรักษ์นิยมชนะที่นั่งในสภาไป 75% ลอนนอลได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และสั่งให้ชาวบ้านหยุดขายผลผลิตทางเกษตรแก่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ บังคับเอาปืนจ่อให้ขายกับรัฐบาลโดยตรงเท่านั้น ซึ่งก็ให้ราคาไม่ดี ทำให้พวกเกษตรกรไม่พอใจ
...และพอชาวบ้านลุกฮือขึ้นก็โดนลอนนอลปราบเบ็ดเสร็จ มีผู้เสียชีวิตนับร้อย...
...จากเหตุการณ์เหล่านี้ ทำให้ประชาชนเกิดภาพจำว่าลอนนอลเป็นคนโหดร้าย และทำให้มีคนเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์เป็นอันมาก
อนึ่งยุคนี้สีหนุเป็นคนเริ่มเรียกเขมรคอมมิวนิสต์ว่า “เขมรแดง” และทุกคนก็เรียกตาม
ภาพแนบ: ธงสาธารณรัฐเขมร
*** ปฏิวัติกัมพูชา ยุคของลอนนอล (ค.ศ. 1970-1975) ***
เดือนมีนาคม 1970 ขณะที่สีหนุเดินทางไปยุโรป เกิดการประท้วงต่อต้านเวียดนามเหนือครั้งใหญ่ขึ้นในเขมรเพราะมีคนอ้างว่าพบเอกสารสำคัญที่เป็นแผนยึดครองกัมพูชาของพวกคอมมิวนิสต์
ลอนนอลฉวยโอกาสนี้ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ สั่งกวาดล้างชาวเวียดนาม ล้มระบบกษัตริย์ตั้งประเทศเป็น “สาธารณรัฐเขมร” แม้จะมีประชาชนกัมพูชาบางส่วนลุกขึ้นมาประท้วง ก็โดนทหารจัดการอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย
ภาพแนบ: คนเวียดนามในกัมพูชา
ว่ากันว่า หลังลอนนอลครองอำนาจ ชาวเวียดนามนับพันในกัมพูชาถูกสั่งฆ่าแล้วนำศพไปทิ้งแม่โขง
จากคนเวียดนามที่เคยมีจำนวนราว 450,000 คนนั้น มี 100,000 คนหนีออกนอกประเทศ 200,000 ถูกรัฐส่งตัวไปเวียดนามใต้ เมื่อผ่านไป 5 เดือน ก็เหลือคนเวียดนามแค่ประมาณ 140,000 คนเท่านั้น
ภาพแนบ: โจวเอินไหล
สีหนุที่โดนยึดบัลลังก์ไปแล้วได้เดินทางไปปักกิ่ง เพื่อพูดคุยกับโจวเอินไหล ซึ่งได้เชิญผู้นำเวียดนามเหนือมาด้วย
ทั้งสองฝ่ายแนะให้สีหนุร่วมมือกับเขมรแดงเพื่อโค่นล้มลอนนอล เมื่อสีหนุตกลง โจวเอินไหลจึงไปเจรจากับพลพตซึ่งขณะนั้นอยู่จีนเหมือนกัน เขาสร้างปรากฏการณ์ประสานเชื่อมโยงจนสถาบันกษัตริย์สามารถเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับกลุ่มคอมมิวนิสต์ได้ เข้าทำนอง “ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร”
...ความที่สีหนุเข้ากับเขมรแดงนี้มีผลมาก เพราะจริงๆ ยังมีประชาชนรักเขาเยอะ เมื่อบวกกับมีคนที่เกลียดลอนนอลมาสวามิภักดิ์เพิ่ม ทำให้เขมรแดงยิ่งใหญ่ขึ้นทั้งด้านกำลังคน กำลังทรัพย์
ภาพแนบ: เมืองพนมเปญเมื่อมองจากเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธของอเมริกา
ระหว่างนี้ พวกเวียดนามเหนือได้บุกเข้าไปโจมตีลอนนอล ทำให้เวียดนามใต้และอเมริกาส่งกำลังมาสนับสนุนลอนนอลเป็นอันมาก โดยทางอเมริกาได้ทิ้งระเบิดถล่มกัมพูชามากกว่าตอนจัดการญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก
นี่ผลักดันให้ชาวบ้านที่โดนลูกหลงมีความเจ็บแค้น และเข้ากับเขมรแดงมากกว่าเดิม แต่นั้นมาจึงเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างลอนนอลและเขมรแดง
ภาพแนบ: เครื่องแบบเขมรแดง
ปี 1972 พลพตได้เดินทางไปเยี่ยมชาวบ้านในเขตที่เขมรแดงชิงมาได้ โดยเขาให้ทหารช่วยสร้างระบบสหกรณ์ และพัฒนาระบบที่ดิน ทำให้ความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น
ช่วงนี้เองที่เขมรแดงเริ่มให้ทุกคนแต่งตัวเหมือนๆ กัน คือใส่ชุดดำ พันผ้าขาวม้าลายขาวแดง และสวมรองเท้าที่ทำจากยางล้อรถยนต์ ทั้งนี้เพื่อความเท่าเทียม
ภาพแนบ: เมื่องกองทัพเขมรแดงยึดพนมเปญได้ ประชาชนต่างออกมาแสดงความดีใจกับพวกเขมรแดง
เวลานั้นเขมรแดงแข็งแกร่งเหี้ยมหาญรุกตีใส่ฝ่ายรัฐบาลได้ชัยชนะหลายครั้ง ด้านรัฐบาลลอนนอลแม้จะมีอเมริกาหนุนหลัง แต่ก็มีการคอร์รัปชั่นมากจนอ่อนแอ เมื่อเห็นท่าไม่ดีลอนนอลจึงชิงลาออก หนีไปตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 1975
ทหารของรัฐบาลเห็นลอนนอลหนีต่างก็พากันยอมแพ้ กรุงพนมเปญจึงแตกในวันที่ 17 เมษายน 1975 ซึ่งเวลานั้น ชาวบ้านต่างกู่ร้องยินดี เชิดชูชูเขมรแดงเป็นวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยประชาชนจากความโหดร้ายของเผด็จการ
...คนเหล่านั้นไม่รู้เลยว่า ชีวิตพวกเขาต่อจากนี้จะตกอยู่ใต้การปกครองที่เลวร้ายกว่าของลอนนอลเสียอีก…
...ไม่สิ ...เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยก็ว่าได้...
*** ตัดเข้าช่วงโฆษณา ***
เมื่อเขียนเรื่องคอมมิวนิสต์ เลยขอโฆษณาว่าหนังสือ "เชือดเช็ดเชเชน" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ ตอนนี้เปิดให้จองแล้ว
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของชนกลุ่มน้อยเชเชน ตลอดจนประวัติศาสตร์รัสเซียยุคหลัง โดยเน้นบทบาทของปูตินในการต่อสู้เพื่อขึ้นครองอำนาจ, ปฏิรูปรัสเซีย, และทำสงครามปราบชาวเชเชน
- หนังสือเล่มนี้มีผู้วิจารณ์มากมายว่า "โหดสัสรัสเซีย"
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน แน่นอนว่ามีความโหดสัสมากขึ้นไปอีก
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles 😉
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
นอกจากนี้ ยังขอโฆษณาว่าหนังสือ "ประวัติย่อก่อการร้าย War on Terror" ที่พิมพ์ครั้งก่อนขายหมดจากตลาดไปนานแล้ว มีแผนจะพิมพ์ใหม่ปลายปีนี้นะครับ
ตอนแรกว่าใกล้ๆ เสร็จแล้วค่อยทำโปร แต่เหตุการณ์ในอัฟกานิสถานและรำลึก 9/11 ทำให้มีคนถามมาเยอะเหลือเกิน เลยเปิดให้จองก่อน
- หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องประวัติของขบวนการก่อการร้ายสากลตั้งแต่ยุคอัลเคดามาต่อ ISIS
- ผมตั้งใจจะเพิ่มเนื้อหาให้อัพเดทถึงปัจจุบัน
- พิมพ์เป็นสี่สีแน่นอน
- ปกพิมพ์สีเมทัลลิก ปั้มนูนและปั้มเงินที่ชื่อเหมือนเล่มสุริยันพันธุ์เคิร์ด รับรองว่าสวยมาก เหมาะแก่การสะสม สำนักพิมพ์ The Wild Chronicles เราพิมพ์เองแล้วจะทำอะไรก็ได้ 555
- มีเซ็นลายเซ็นพิเศษประจำเล่มให้ครับ
- ราคาอยู่ที่ 389 บาท สั่งพรีออเดอร์ตอนนี้ลดเหลือ 369 บาท และฟรีค่าส่งในประเทศ (ปกติค่าส่ง 50 บาทครับ ส่วนต่างประเทศก็ตามจริง)
- สนใจชำระและใส่ที่อยู่ที่ link แนบได้เลย อนึ่งระบบนี้จะมีเมลคอนเฟิร์มไปแต่ช้าหน่อยนะครับ
และขอโฆษณาว่าหนังสือ “สุริยันพันธุ์เคิร์ด” หรือหนังสือเล่มใหม่ของผมออกแล้วนะครับ มีรายละเอียดดังนี้...
- เรื่องนี้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ชาวเคิร์ด ผลงานเล่มล่าสุดในชุด The Wild Chronicles
- พิมพ์เป็นสี่สี!
- ยาวที่สุดเท่าที่พิมพ์มา ยาวกว่าพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติราว 2 เท่า
- รูปโหดๆ ที่ทำให้เข้าใจสถานการณ์ดีขึ้น จะไม่เซนเซอร์ แต่จะรวมอยู่ท้ายเล่ม และมีคำเตือนก่อน
- มีลายเซ็นทุกเล่ม!
- ราคา 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว
ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link แนบได้เลย
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
อย่างไรก็ตามศัตรูอันดับหนึ่งของชาวเคิร์ดคือเผด็จการซัดดัม ฮุสเซนนั้นก็โหดมาก โหดโคตรๆ ใครเคยอ่านพยัคฆ์ทมิฬสิ้นชาติ หรือเชือดเช็ดเชเชน ผมบอกได้ว่าไอ้นี่ก็โหดไม่แพ้กัน หรือเผลอๆ โหดกว่า ดังนั้นการต่อสู้ของชาวเคิร์ดมันจึงเป็นเรื่องที่หลอนและดุเดือดมากๆ
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่ผมได้ไปเยือนดินแดนเคอร์ดิสถานอิรัก (และหนีมิสไซล์มา) เมื่อต้นปี 2020 เพื่อนชาวเคิร์ดที่ผมสัมภาษณ์ทุกคนเป็นผู้รอดชีวิตจากทุกสงครามข้างต้น ทำให้มีข้อมูล ความเห็น และมุมมองของคนต่างๆ ที่ลึกกว่าในตำรา แน่นอนว่าประสบการณ์ของพวกเขาดาร์คมาก แต่เขาหลายคนไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้น พวกเขาตีความสิ่งที่พบเจออย่างไร ลองตามอ่านดูนะครับ
"สุริยันพันธุ์เคิร์ด" ตั้งใจพิมพ์เป็นสี่สี เป็นหนังสือที่ยาวที่สุดตั้งแต่ผมเขียนสารคดีชุด The Wild Chronicles มา
อีกครั้งนะครับ ท่านที่ต้องการพรีออเดอร์หนังสืออย่างเดียว สามารถชำระ และใส่ที่อยู่ทาง link นี้ได้เลย 439 บาท รวมค่าส่งแล้ว (ในประเทศ) ถ้าบางท่านอยู่ต่างประเทศมีค่าส่งพิเศษจะแจ้งอีกที
ภาพแนบ: ชาวพนมเปญขนของอพยพ
*** เขมรแดงครองเมือง (ค.ศ. 1975 - 1979) ***
พวกเขมรแดงยึดพนมเปญได้ช่วงเช้าวันที่ 17 เม.ย. 1975 บ่ายวันนั้นพวกเขาก็เร่งรีบกวาดต้อนคนออกจากพนมเปญทันที โดยอ้างว่าพวกอเมริกาจะมาทิ้งระเบิดใส่
จริงๆ แล้ว พวกเขาต้องการพาคนเหล่านี้ไปทำการเกษตรตามต่างจังหวัด เพื่อเสริมสร้างให้กัมพูชาเป็นประเทศเกษตรในอุดมคติ ที่สามารถพึ่งตัวเองสมบูรณ์ นอกจากนี้การดังกล่าวยังเป็นการทำลายระบบทุนนิยมและชนชั้นด้วยนั่นเอง
ภาพแนบ: “4 ปี นรกในเขมร” ฉบับภาษาญี่ปุ่น
ตัวอย่างของผู้ต้องเผชิญชะตากรรมอันโหดร้ายนี้คือ “ยาสึโกะ นะอิโตะ” ซึ่งได้บันทึกเรื่องราวไว้ในหนังสือ “4 ปี นรกในเขมร” เธอเป็นหญิงสาวชาวญี่ปุ่นที่แต่งงานกับทูตกัมพูชา เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นสูง มีเอกสิทธิ์มากมายในยามปกติ แต่ก็ไม่พ้นโดนเขมรแดงสั่งเหมือนหมูเหมือนหมา
แม้ยาสึโกะจะดูมีอายุมากกว่าวัย ทั้งยังเย็บผ้าเป็น ทำให้ไม่ต้องทำงานหนักมาก แต่เธอก็ต้องสูญเสียลูกชายสองคน ลูกสาวบุญธรรมอีกหนึ่ง และสามีไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่อาจหายได้ไม่ยากในสถานการณ์ปกติ ...กระนั้น ยาสึโกะก็บอกว่า “พวกเขาโชคดีแล้วที่ตายไปก่อน ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้”
ภาพแนบ: “เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า” ฉบับภาพยนตร์ (ดูได้ใน Netflix)
อีกคนคือ “หลงอึ้ง” หญิงสาวชาวกัมพูชาที่ตอนนี้ถือสัญชาติอเมริกัน เธอได้บอกเล่าประสบการณ์ครั้งนั้นไว้ในหนังสือ “เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า” (First They Killed My Father) ว่าตั้งแต่วันแรกที่เขมรแดงถึงพนมเปญ
“...พวกทหารเดินเคาะประตูบ้าน ไล่คนออกไป คนที่ไม่ทำตามจะถูกยิงทิ้งหน้าบ้านตัวเองเลย”
ภาพแนบ: หลงอึ้งตัวจริงในปัจจุบัน
นอกจากนี้ เธอยังเล่าถึงชีวิตขณะที่ต้องเปลี่ยนจากลูกคุณหนู (พ่อเธอเป็นตำรวจยศสูง) มาทำไร่ไถนา ภายใต้การบังคับของพวกเขมรแดง
ครอบครัวเธอกลายเป็น “คนบ้านนอก” ถูกย้ายไปเป็นแรงงานตามที่ต่างๆ และต้องอยู่อย่างอดอยาก เพราะถึงกัมพูชาจะมีแรงงานการเกษตรเพิ่มขึ้นอย่างมากมายก็จริง แต่คนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้และไม่ได้รับการสอนที่ดี ก็ย่อมปลูกอะไรไม่ขึ้น
...ปรากฏระบบเกษตรของกัมพูชาพังทลาย ชาวบ้านอดตายเป็นอันมาก ความอดอยากของกัมพูชาเลวร้ายแค่ไหนนั้น ผมขอคัดมาจากเรื่องเล่าของ หลงอึ้ง มาย่อหน้าหนึ่งนะครับ:
1
“...มีคนเล่าว่าผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านใกล้ๆ กลายเป็นมนุษย์กินคนไปแล้ว พวกเขาว่าเธอเป็นผู้หญิงดีๆ ธรรมดาๆ นี่แหละ ไม่ได้เป็นผีปอบอย่างที่พวกทหารว่ากันเลย เธอหิวจนกระทั่งเมื่อสามีเสียชีวิตจากการกินของมีพิษ เธอเอาเนื้อเขามาทำอาหารกินและเลี้ยงลูกๆ ด้วย โดยไม่รู้ว่าพิษในตัวเขาจะทำให้เธอและลูกๆ ต้องเสียชีวิตเช่นกัน…” (เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า หน้า 78-79 แปลไทยโดย นรา สุภัคโรจน์)
1
ภาพแนบ: ซากกระดูกของคนตายจากฝีมือเขมรแดง
นอกเหนือจากความอดอยากและการใช้แรงงานหนักแล้ว พวกเขมรแดงก็ยังโหดเหี้ยมยิ่งนัก หากใครทำงานไม่ได้ก็จะถูกลงโทษทันที ซึ่งส่วนมากมักจบลงด้วยความตาย สารพัดวิธีเท่าที่คนลงโทษจะคิดออก
เนื่องจากต้องการประหยัดกระสุน อาวุธที่ใช้ในการสังหารคนเหล่านี้ จึงมักเป็นอะไรบ้านๆ และป่าเถื่อน เช่น ไม้ไผ่เหลาแหลม, ไม้หน้าสาม, จอบเสียม, เคียวเกี่ยวข้าว ฯลฯ ในเหตุการณ์นี้ เด็กจำนวนมากถูกจับฟาดเข้ากับต้นไม้จนเสียชีวิต ด้วยเหตุผลที่ว่า “โตขึ้นจะได้ไม่กลับมาแก้แค้น”
ภาพแนบ: คุกตวลสเลง หรือ Security Office 21 (S-21) ไว้จับและทรมานคนที่เขมรแดงมองว่าเป็นศัตรู (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์)
ความโหดร้ายยิ่งกว่านั้นคือ การโดนจับเข้าคุกเขมรแดง ด้วยข้อหาว่าเป็นชนชั้นนายทุนบ้าง นิยมต่างประเทศบ้าง ซึ่งคนที่เป็นเหยื่อสำคัญ ได้แก่เชื้อพระวงศ์, ข้าราชการ, พระ, หมอ, ปัญญาชน, ศิลปิน, คนที่ไม่ใช่คนกัมพูชาแท้ (เช่น มีเชื้อสายไทย, จีน หรือเวียดนาม), คนใส่แว่น (เพราะดูมีความรู้ ไม่ใช่ชนชั้นกรรมาชีพ) ฯลฯ
บางแหล่งบอกว่ามีนักเรียนนอกโดนเรียกกลับประเทศเพื่อมารับโทษด้วย ซึ่งเป็นเรื่องย้อนแย้งยิ่ง เพราะพลพตเองก็เป็นชนชั้นกลางขั้นสูง และเป็นนักเรียนนอกมาก่อน ที่รู้จักแนวคิดคอมมิวนิสต์ได้ก็เพราะไปเรียนเมืองนอก
ภาพแนบ: เครื่องทรมานซึ่งยังตั้งอยู่ที่ตวลสเลง
การโดนจับเข้าคุกนั้นเลวร้ายยิ่ง เพราะต้องผ่านการทรมานมากมายให้รับสารภาพผิดในสิ่งที่ไม่ได้ทำ ด้วยวิธีการโหดร้ายสุดจินตนาการเช่น การถูกแขวนบนขื่อกลางแดดเหมือนตากผ้า, การจับกดน้ำ, การห้อยหัว, ช็อตไฟฟ้า และอีกสารพัดวิธีที่สันดานดิบมนุษย์จะนึกออก
ในที่สุด ถ้าไม่เสียชีวิตไประหว่างนั้น ก็จะโดนส่งไป “ทุ่งสังหาร” ที่เอาไว้ประหารและฝังกลบคนทำผิดในวาระสุดท้ายอยู่ดี
...แม้ไม่มีใครทราบตัวเลขแน่ชัด แต่คาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ดังกล่าว 1 ล้าน - 3 ล้านคน จากประชากรทั้งหมดในเวลานั้น 7.8 ล้านคน
มีคนคำนวณว่าผู้ชายเสียชีวิตไปถึง33.5% และผู้หญิงเสียชีวิตไปถึง 15.7% …ยากที่จะมีการสังหารหมู่ไหนเสมอเหมือนเรื่องของเขมรแดงนี้
นอกจากการฆ่าล้างคนแล้ว พลพตยังสั่งให้ทำลายสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่แบ่งแยกชนชั้น ไม่ว่าจะเป็น วัด โรงเรียน โรงแรม โรงพยาบาล ล้วนแล้วแต่ถูกถล่มไปด้วย ...เรียกว่าเขาต้องการทำให้เป็นสังคมการเกษตรแบบสุดโต่งโดยแท้จริง
ถือเป็นตลกร้ายที่ขำไม่ออกอย่างหนึ่ง ที่แผนเศรษฐกิจนรกแตกของกัมพูชาในครั้งนี้มีชื่อว่า “มหารุดพล” ตั้งตาม “ก้าวกระโดดไกล” (Great Leap Forward) ของจีน ซึ่งถึงเนื้อหาสาระจะต่างกัน แต่ก็ให้ผลเดียวแบบกันคือ มันเป็นนโยบายอันผิดพลาดและขาดความรู้ ส่งผลให้คนตายไปเป็นล้านๆ!
ภาพแนบ: ธงกัมพูชาประชาธิปไตย
หลังเขมรแดงยึดประเทศ กัมพูชาได้กลายเป็น “กัมพูชาประชาธิปไตย” เจ้าสีหนุได้กลับมาครองอำนาจในฐานะประธานาธิบดี (ชายคนนี้เคยเป็นทั้งกษัตริย์ นายกฯ และประธานาธิบดีชาติคอมมิวนิสต์ ไม่น่าจะมีคนไหนทำได้อีกแล้วกระมัง) ซึ่งเขาพยายามเดินทางไปยังประเทศต่างๆ เพื่อขอการรับรองรัฐบาลเขมรแดง
เวลานั้นแม้กระทั่งสหรัฐฯ หรือสหประชาชาติยังรับรองเขมรแดงเป็นรัฐบาลอันถูกต้องของกัมพูชา ส่วนหนึ่งเพราะต้องการสนับสนุนจีนที่เป็นลูกพี่ของกัมพูชา (เพราะตอนนั้นอเมริกากำลังเป็นมิตรกับจีนเพื่อคานอำนาจโซเวียต) และยังไม่มีใครรู้ว่าเขมรแดงเลวขนาดไหน
อย่างไรก็ตามเมื่อสีหนุพบความจริงที่โหดร้ายว่า “เขมรแดง” ป่าเถื่อนอย่างไรในปี 1976 เขาก็พยายามจะลาออก แต่โดนพวกเขมรแดงจับตัวไว้ขังในวัง อำนาจจึงตกอยู่กับพลพตโดยสมบูรณ์
ในปี 1975 นี้เอง เวียดนามเหนือรบชนะเวียดนามใต้ รวมประเทศกันสำเร็จ แต่กลับมีปัญหากับเขมรแดง
เอกสาร Black Paper: Facts and Evidence of the Acts of Aggression and Annexation of Vietnam against Kampuchea ของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาได้ระบุไว้ในปี 1978 ว่า ตอนนั้นเกิดปัญหาขึ้นในสามประเด็นสำคัญ...
ภาพแนบ: แต่ก่อนรัสเซียกับจีนจับมือกัน เพราะเป็นชาติคอมมิวนิสต์เหมือนกัน แต่ภายหลังสตาลินตายก็แตกกัน
1) ความพยายามแผ่ขยายอิทธิพลของเวียดนามไปยังประเทศอื่นๆในอินโดจีน เพื่อคานอำนาจกับประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าอย่างจีน ขณะฝ่ายจีนก็สนับสนุนให้กัมพูชาเป็นรัฐกันชนของตนเพื่อปิดล้อมเวียดนามด้านภูมิรัฐศาสตร์ เพราะเวียดนามมีสถานะเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของสหภาพโซเวียตที่เป็นคู่แข่งรายสำคัญ
2) ความไม่ลงรอยระหว่างสองประเทศจากพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดน เมื่อเวียดนามพยายามตั้งฐานใกล้กับชายแดนของกัมพูชา จนรัฐบาลเขมรแดงกังวลว่าตนอาจถูกรุกรานหรือแทรกแซงให้เกิดรัฐประหารภายใน หลังเกิดเหตุปะทะประปรายหลายครั้งบริเวณชายแดนบ่อยครั้ง
3) พอลพตที่ไม่ต้องการเจรจากับเวียดนามตามคำแนะนำของจีน ทำให้ฝ่ายจีนลดความช่วยเหลือด้านการทหารลง แต่ก็ยังสนับสนุนทางการทูตในฐานะพันธมิตรกัมพูชาอยู่เพื่อบีบให้พอลพตยอมรับข้อเสนอดังกล่าว
ภาพแนบ: เฮงสัมริน
ต่อมาในปี 1977 กลุ่มเขมรแดงเกิดแตกคอกัน บ้างว่าสาเหตุมาจากการแย่งชิงอำนาจภายใน แต่บ้างก็ว่าเพราะกัมพูชาสู้แพ้เวียดนามแล้วต้องถอยร่น ทำให้พลพตไม่พอใจ สั่งลงโทษทหารที่ล่าถอยไปเข้าคุกทรมาน ทหารเขมรที่หนีมาจากการไปรบเวียดนามเลยลุกฮือต่อต้านรัฐบาลขึ้นมา
ทั้งนี้ทหารกบฏจำนวนหนึ่งหนีเข้าเวียดนาม รวมทั้งคนระดับหัวหน้าอย่าง “เฮงสัมริน” ที่ภายหลังได้ก่อตั้ง “แนวร่วมสามัคคีประชาชาติกู้ชาติกัมพูชา” ขึ้นมาต่อต้านพลพต
ภาพแนบ: ฮุนเซนวัยหนุ่ม
...หนึ่งในคนที่ไปเข้ากับ เฮงสัมริน คือ “ฮุนเซ็น” คนเดียวกับที่เป็นนายกกัมพูชาตอนนี้ ...ตอนวัยรุ่น เขาก็เป็นสมาชิกเขมรแดงที่มีความดีความชอบมากคนหนึ่ง แต่พอแตกกับพลพตเลยต้องหนีไปเวียดนามด้วย
นอกจากกลุ่มเฮงสัมรินแล้ว เขมรแดงยังแตกออกไปอีกหลายก๊ก มีพวกที่เข้ามาบุกปล้นไทยด้วยเช่นกัน
1
ภาพแนบ: ธงสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา
*** กัมพูชาใต้เวียดนาม (ค.ศ. 1978-1989) ***
ตามที่เล่าไป ตั้งแต่ช่วงปี 1977 เกิดการปะทะกันระหว่างเวียดนามและเขมรแดงขึ้นบ่อยครั้ง แม้ทางจีนจะพยายามเข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ก็ไม่มีใครยอมใคร
จุดแตกหักมาถึงในวันคริสต์มาสปี 1978 ทัพเวียดนามพร้อมกำลังของเฮงสัมรินได้บุกกัมพูชา!
พวกเขาใช้เวลาเพียงสองอาทิตย์ก็ล้มรัฐบาลพลพตได้สำเร็จ ก่อตั้งรัฐใหม่ “สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา” หรือ “สาธารณรัฐประชามานิตกัมพูชา”
3
ภาพแนบ: ชาวเขมรอพยพเข้าไทย
เมื่อรัฐบาลล่ม ได้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว ชาวเขมรนับแสนรีบหนีตายออกนอกประเทศ ทั้งที่หนีสงครามของเวียดนาม หนีการกดขี่อันยาวนานของเขมรแดง รวมไปหนีถึงลัทธิคอมมิวนิสต์… ประเทศใกล้เคียงก็เหลือแต่ไทยที่ยังไม่เป็นคอมมิวนิสต์ ดังนั้นจุดหมายของพวกเขาจึงเป็นประเทศไทย
ประชาชนกัมพูชาเดินเท้าฝ่าป่า หลบหลีกเจ้าหน้าที่ทหาร รวมไปถึงกับระเบิดนับล้านๆ ลูก ที่มาจากทั้งเขมรแดงฝังกันคนออก และที่ไทยฝังกันศัตรูเข้า รวมถึงระเบิดที่ชาติอื่นๆ ทิ้งไว้ตอนสู้รบ เพื่อหนีไปตายเอาดาบหน้า
ภาพแนบ: เด็กๆ ภายในค่ายเขาอีด่าง ค่ายนี้ถือว่ามีความสะดวกสบายค่อนข้างมาก เพราะได้รับการสนับสนุนทั้งสาธารณูปโภคและกำลังคนจากทั่วโลก
รัฐบาลไทยในยุคนั้น นำโดย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ (ค.ศ. 1977 - 1980 หรือ พ.ศ. 2520 - 2523) ได้ตัดสินใจ “เปิดประตู” ต้อนรับชาวกัมพูชาที่หนีเข้าประเทศมา และได้ตั้งค่ายอพยพขนาดใหญ่ให้
ที่แรกอย่างเป็นทางการและที่ๆ มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ “เขาอีด่าง” ณ อำเภอตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (ปัจจุบันอยู่ในจังหวัดสระแก้ว) โดยไทยได้รับการสนับสนุนจาก UN และองค์กรระหว่างประเทศมากมาย จนกลายเป็นค่ายที่สามารถรองรับผู้อพยพนับแสนคน ในพื้นที่ 2.3 ตารางกิโลเมตร นอกจากนี้ยังมีค่ายเล็กๆ กระจายไปตามชายแดนอีกมากกว่า 60 แห่ง
ภาพแนบ: ชาติชาย ชุณหะวัณ
สถานการณ์ในภูมิภาคอินโดจีนเวลานั้นค่อนข้างตึงเครียด เขมรแดงที่ยังเหลือก็พยายามทำสงครามกองโจรกับเวียดนามอยู่เรื่อยๆ แม้อ่อนล้าเต็มที เพราะขาดการสนับสนุนจากต่างชาติเช่นแต่ก่อน
ในเวลานั้น นายกชาติชาย ชุณหะวัณ (ค.ศ. 1988 - 1991 หรือ พ.ศ. 2531 - 2534) ได้ผลักดันนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า” เพราะเล็งเห็นว่า ถ้าเกิดความสงบทั้งภูมิภาครวมถึงไทยจะเจริญ
เขาได้จัดการเจรจาเขมรซึ่งตอนนั้นแตกเป็น 4 ฝ่าย (ฝ่ายเขมรแดง, ฝ่ายแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติประชาชนเขมร เป็นกลุ่มที่ไม่ชอบรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่คอมมิวนิสต์, ฝ่ายสีหนุ, และฝ่ายฮุนเซน) รวมทั้งกับเวียดนาม ...ถือเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญที่ช่วยให้เวียดนามยอมถอนทัพจากกัมพูชาไปในที่สุด นับว่าสิ้นสุดความตึงเครียดตลอดหลายปีที่ผ่านมา
1
ภาพแนบ: พลพตวัยชรา
*** เรื่องราวหลังจากนั้น ***
พลพตเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลวในปี 1998 ซึ่งก่อนหน้านั้น เขามีโรครุมเร้ามากมาย และเป็นอัมพาตครึ่งซีก ต้องหนีลูกน้องที่ทรยศหัวซุกหัวซุนเพราะเสื่อมบารมี สุดท้ายก็โดนจับขังในบ้านหลังหนึ่ง
นักข่าวอเมริกัน เนท เธเยอร์ แห่งสำนักข่าว Far Eastern Economic Review ได้เข้าพูดคุยกับพลพตในบ้านนั้น ซึ่งพลพตได้กล่าวกับผู้มาเยือนว่า “ผมอยากให้คุณรู้ว่าทุกสิ่งที่ผมทำไปนั้น ทำเพื่อประเทศ” และ “ที่ว่าคนตายเป็นล้านมันเยอะไป (...) คุณรู้ไหม คนอื่นๆ พวกทารก พวกเด็กๆ ผมไม่ได้สั่งให้ฆ่าเลย”
ภาพแนบ: หลุมศพพลพต
แม้ทางการจะตัดสินว่าความตายของพลพตเป็นเพราะโรคหัวใจ แต่ก็ยังมีบางกระแสกล่าวว่าโดนลูกน้องเก็บ หรือฆ่าตัวตายเพื่อหนีการถูกส่งตัวไปตัดสินโทษ
...ครับ พลพตตายโดยที่ยังไม่ได้รับโทษอะไรเลย...
หัวหน้าเขมรแดงส่วนใหญ่ตายเองเพราะชรา คนที่ยังมีชีวิตและกำลังอยู่ในกระบวนการตัดสินพิจารณาคดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จนถึงตอนนี้เหลือเพียงคนเดียวคือ เขียว สัมพัน ซึ่งพยายามคัดค้านคำพิพากษา และเพิ่งขึ้นศาลครั้งล่าสุดไปเมื่อ 16 สิงหาคมที่ผ่านมานี้เอง
ภาพแนบ: ร่องรอยกระสุนบนผนังนครวัด
ปัจจุบัน แม้กัมพูชาจะพัฒนาไปมาก มีตึกรามบ้านช่องสมัยใหม่เกิดขึ้นมาก แต่ก็ยังมีร่องรอยความเสียหายหลายอย่างปรากฏให้เห็น โบราณสถานต่างๆ เช่นนครวัด ได้ถูกทำลายไปมาก รูปปั้นถูกตัดเศียร กำแพงยังมีรอยกระสุนฝัง
คนที่ได้รับผลกระทบจากช่วงเขมรแดงปกครองที่ยังมีชีวิตก็มากมาย ทั้งคนกัมพูชา คนไทย รวมถึงชาวต่างชาติอื่นๆ ที่เคยใช้ชีวิตอยู่ในประเทศช่วงนั้น
...ภาพของความโหดร้ายเกินมนุษย์ยังติดค้างอยู่ในใจพวกเขา ยากจะลบเลือน…
ถึงการต่อสู้จะจบลงไปนานหลายสิบปีแล้ว แต่ปัจจุบันก็ยังมีผู้เสียชีวิตหรือพิการจากความขัดแย้งครั้งนี้เพิ่มอยู่เรื่อยๆ เพราะทุ่นระเบิดที่ฝังไว้ตามชายแดนตั้งแต่ช่วงสงครามระอุยังไม่ได้รับการเก็บกู้หมด
จากสถิติปี 2017 โดยองค์กร Landmine and Cluster Munition Monitor กล่าวว่า บริเวณที่มีระเบิด ทั้งทุ่นระเบิด และระเบิดชนิดอื่นๆ ในกัมพูชานั้นอาจกว้างถึง 1,884 ตารางกิโลเมตร (จากพื้นที่ทั้งหมด 181,035 ตร.กม.)
3
...ประวัติศาสตร์เรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างใหม่ เป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่ถึงชั่วอายุคนและมีบาดแผลหลงเหลืออยู่เยอะ
มันถือเป็นบทเรียนสำคัญ ที่เราทุกคนควรเรียนรู้ เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำสอง ไม่ว่าจะกับใคร ฝ่ายไหน ประเทศใดก็ตาม...
::: อ้างอิง :::
- หนังสือ "สี่ปีนรกในเขมร" โดย ยาสึโกะ นะอิโตะ แปลไทยโดย ผุสดี นาวาวิจิต
- หนังสือ "เมื่อพ่อของฉันถูกฆ่า" โดย หลงอึ้ง แปลไทยโดย นรา สุภัคโรจน์
- Khmer Rouge: Cambodia's years of brutality bbc (ดอต) com/news/world-asia-pacific-10684399
- Cambodia Mine Action the-monitor (ดอต) org/en-gb/reports/2019/cambodia/mine-action
- ทุ่งสังหาร…มิใช่ตำนาน… แต่เป็นเรื่องจริง matichon (ดอต) co (ดอต) th/columnists/news_1670256
- ค่ายผู้ลี้ภัยเขาอีด่าง Khao I Dang refugee camp (1979-1993) youtu (ดอต) be/UTqxdeAadyI
- เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า สุดยอดนโยบายเศรษฐกิจไทยที่หลายคนหลงลืม investerest (ดอต) co/economy/battlefield-to-trade-field/
ท่านที่สนใจอ่านเรื่องราวแปลกๆ จากรอบโลกสามารถสมัครเข้ากลุ่ม illumicorgi
อนึ่งกลุ่มนี้เป็นกลุ่ม exclusive ผมจะใช้ลงบทความพิเศษ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกกว่าที่ลงในเพจ The Wild Chronicles และบทความส่วนใหญ่ในกลุ่มจะเกี่ยวกับธีมของหนังสือที่ผมกำลังเขียน
ผู้ที่ต้องการสมัครเข้ากลุ่มให้ทำดังนี้เลยนะครับ
(1) กดสมัคร Line OA ของ The Wild Chronicles มาทาง link นี้ https://lin.ee/fNEO1jr
(2) กด add เป็นเพื่อน
(3) กด chat
(4) จากนั้น พิมพ์ชื่อที่ท่านใช้ใน Facebook มาทางช่องแชทของ Line OA เพื่อให้ทีมงานบ่งชี้ได้ว่าบัญชีของท่านสมัครมาแล้ว
(5) จากนั้นจะมีแอดมินมาคุยกับท่าน ให้แจ้งประเภทสมาชิกที่ท่านต้องการสมัคร แอดมินจะส่ง link เพื่อชำระค่าสมาชิก และแนะนำวิธีการเข้ากลุ่มต่อไป
::: ::: :::
ประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตาม เพจ The Wild Chronicles ได้เลยนะครับ https://facebook.com/pongsorn.bhumiwat
โฆษณา