12 พ.ย. 2021 เวลา 12:44 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Blue Banisters - Lana Del Rey
ระเบียงรักในวันวาน
[รีวิวอัลบั้ม] Blue Banisters - Lana Del Rey
-ผมชื่นชอบในสิ่งที่ Lana Del Rey เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างน้อยเราก็ไม่ได้เห็นช่วงชีวิตตึงๆอย่างที่เธอเคยเป็นในยุคอัลบั้มแรกๆซะเท่าไหร่ ความหม่นหมองทั้งหลายที่ผ่านมาเริ่มเข้าสู่ความคลี่คลายทางความคิดของคนที่พยายามจะหลบเลี่ยงชีวิตชื่อเสียงที่สุดเท่าที่เป็นได้ นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้สองอัลบั้มล่าสุดทั้ง Norman Fucking Rockwell ! และ Chemtrails Over The Country Club คืองานเพลงที่แฟนเพลงหรือนักฟังทั่วไปแทบจะทุกคนละทิ้งภาพจำความเป็นสาวผู้มองฝันร้ายกลายเป็นจริงได้อย่างสนิทใจ ละทิ้งอดีตแสนขมขื่น มุ่งหน้าสู่เส้นทางชีวิตที่ค่อนข้างมีความหวังตามที่ตัวเธอเองพยายามจะมองมันมาโดยตลอด
-จุดร่วมที่ทำให้เธอคิดจะดำเนินเส้นทางราบเรียบนี้ได้คงเป็น “มิตรภาพ” ที่เธอคอยสอดแทรกในเนื้อหาโดยตรงหรือเบื้องลึกเบื้องหลังกับ Jack Antonoff ก็ตาม สองอัลบั้มดังกล่าวจึงมีกลิ่นของมิตรภาพหอมหวนเลยทีเดียว เป็นการฉายภาพอีกมุมมองนึงที่เริ่มเป็นมิตรกับคนฟังราวกับเจอเพื่อนคนๆนึงที่ทำหน้าหยิ่งถมึงทึงมาโดยตลอด พอได้มาทำความรู้จักจริงๆก็ไม่ได้อึดอัดอย่างที่คิดนี่หว่า
-ดูเหมือนว่าการที่ร่วมงานกับ Jack นั้นทำให้เธอขี้เล่นมามากพอแล้ว เธอพยายามหาหนทางในการจัดสรรสไตล์ดั้งเดิมที่เธอเคยทำให้เห็นตั้งแต่แรกเป็นการเซอร์วิสแฟนเพลงเดนตายของเธอบ้าง ความคิดที่เริ่มเปลี่ยนไปจะให้ negative ตามก็เหนื่อยที่จะรื้อฟื้น ในชุดล่าสุดซึ่งเป็นชุดที่สองประจำปีนี้เราได้เห็นความพยายามบาลานซ์ระหว่างมู้ดในอดีตกับความคิดความอ่านในปัจจุบัน จัดให้แฟนเพลงยุคแรกๆของเธอรู้สึกดื่มด่ำเต็มที่ไปกับ Blue Banisters เป็นการกลับในรอบเกือบ 7 เดือนที่สุมไปด้วยบทกลอนพรรณนาทั้งหลายที่เธออยากจะพรั่งพรูออกมา สั่งสมจากช่วงที่ไม่ได้มีโอกาสออกทัวร์ มวลรวมอารมณ์จึงมีแต่การพร่ำเพ้ออดีตรัก ถ้าไม่เหงาก็พรรณนาไปเรื่อยเนี่ยแหละ
-เปิดอัลบั้มด้วย Text Book นับว่าพอเข้าทีเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนโทนเพลงไปมา เดี๋ยวก็ดุ่มๆเดี๋ยวก็โหมโรง หยิบยืมเทคนิคจากอัลบั้มชุดก่อนมาใช้ ต่อให้ Jack ไม่ได้โปรดิวซ์เพลงนี้ ไม่ได้มีส่วนใดๆในอัลบั้มนี้ก็ตาม อาศัยความคุ้นชินในสไตล์เพลงอัลบั้มก่อน ทำให้คนฟังที่ยังมูฟออนไม่ทันรู้สึกไม่เร่งรัดที่จะปรับตัว ในขณะที่นิยามของชื่อเพลงทำให้นึกถึงบันทึกเล่มหนานั่นคือสิ่งที่เราจะเจอต่อจากนี้ บทเพลงที่อัดแน่นไปด้วยการพรรณนามากเป็นพิเศษ เหงาแหละดูออก
-หลังจากที่จินตนาการว่าจะให้ใครซักคนมาเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ท่ามกลางการเรียกร้องทางสังคม Black Lives Matter ร้อนระอุ เจ๊แกก็พรรณนาถึงความเนื้อน้อยต่ำใจที่ทำไมผู้ชายที่ Oklahoma ถึงไม่ทำตามสัญญาว่าจะทาสีรั้วด้วยกันในไตเติ้ลแทร็ค Blue Banisters ซึ่งเริ่มจะฟังยากกันตั้งแต่เนิ่นๆเลย การเดินเพลงที่ค่อนข้างเนิบนาบ ฮุกไม่ตายตัวด้วย
-น่าสังเกตอย่างนึงตรงที่เธอมักจะใช้สีฟ้าเป็นตัวสื่อในหลายๆเพลงที่ผ่านมา ในความหมายของสีฟ้าเป็นตัวแทนแห่งความเศร้าระทม (blue) ถือเป็นแม่สีหลักที่เธองัดเอามาเปรียบเปรยเสมอมา ในความหมายของเพลงนี้ถือเป็นสื่อโดยนัยยะถึงผู้ชายแห่ง Oklahoma ที่ดันให้ลางแบบแปลกๆว่าจะไปตกแต่งบ้าน ทาสีรั้วเป็นสีฟ้าให้ แต่กลับไม่มาดั่งฝัน ต่อให้ไม่มา ความ Blue ดังกล่าวถูกทิ้งไว้ในใจเธอไปแล้วเรียบร้อย อย่างไรก็ตามเธอก็แทรกเรื่องราวมิตรภาพผ่านตัวละครที่หนึ่งในนั้นเคยร่วมงานกับเธอมาในอัลบั้มก่อน ซึ่งก็คือ Nikki Lane มาเยี่ยมที่บ้านเธอแล้วมาทาสีรั้วให้ด้วย ไม่ใช่สีฟ้า แต่เป็นสีเงินแทน
-จากไตเติ้ลแทร็คที่พอบอกภาพรวมในอัลบั้มว่าเราจะต้องเจอความ blue โทนเพลงอึมครึม ปกคลุมด้วยความเหงาเว้าวอนซะส่วนใหญ่ ความหวือหวาที่พอจับต้องได้ก็คงจะเป็นน้ำเสียงที่ emotional แหลมเด่นขึ้นมาเหนือโทนเพลง อาทิเช่น Arcadia ที่ถ่ายทอดน้ำเสียงได้งดงามมากๆ สาแก่ใจคนที่อยากเห็นการเค้นเสียงแบบที่เห็นในเพลง Video Game ในความงดงามที่เห็นพ้องต้องกันจนนึกว่านี่คือเพลงประกอบการ์ตูนดิสนี่ย์ก็ไม่ปาน กลับทำให้เรามองข้ามการเปรียบเปรยสุดอีโรติก สยิวกิ้ว สามารถคิดไปทางกิจกรรมเข้าจังหวะหรือไม่ก็สำเร็จความใคร่เสียเองก็เป็นไปได้ Beautiful และ Sweet Carolina ก็ใช้เทคนิคหลบเสียงซะเต็มที่ Dealer ที่ได้ Miles Kane แห่ง The Last Shadow Puppets มาร่วมดูเอ็มด้วยน้ำเสียงสุดกระมิดกระเมี้ยนเข้ากับบริบทวินเทจเหลือเกิน การเค้นเสียงที่เชือดเฉือนสุดๆของเจ้าของเพลงก็ทำให้คนที่แอบหลับระหว่างอัลบั้มสะดุ้งตื่นได้
-ที่พูดไปเมื่อกี้ไม่ได้แซวเกินจริงสำหรับประสบการณ์ในอัลบั้มนี้ ลองนึกสภาพดูว่าการได้ฟังเพลงทำนองบัลลาดด้วยน้ำเสียงสุดแช่มช้าของเธอลากยาวไปประมาณหนึ่งชั่วโมง จำเป็นต้องใช้เวลาซึมซับได้นานแต่ไหนเชียว นี่อาจเป็นเหตุผลนึงที่การพรั่งพรูอะไรที่มากมายขนาดนี้อาจเกิดปัญหาต่อความอดทนของคนฟังเพลงยุคนี้พอสมควร ซึ่งนั่นก็ทำให้อัลบั้มนี้ยังทำงานในแง่ความรื่นรมย์ทางอารมณ์ไม่ดีเท่าสองอัลบั้มก่อนมากเท่าไหร่นัก เท่าที่ดูที่มาที่ไปของเพลงแทบจะเอาเพลงเก่าที่ไม่ได้บรรจุอยู่ในอัลบั้มชุดก่อนที่แล้วมา ประหนึ่งอัลบั้มรวม unreleased track ยังไงยังงั้น นี่คงทำให้ชื่ออัลบั้มไม่ชวนน่าค้นหาเท่ากับชื่ออัลบั้มก่อนๆเลยด้วยซ้ำ ช่วงครึ่งหลังอัลบั้มมันเลยเจอจุดที่เริ่มจะซ้ำๆกันจนได้ ซึ่งจุดนี้ผมขอละไว้ไม่พูดถึงอย่างทั่วถึงทุกแทร็คนะครับ
-อย่างไรก็ตามทักษะความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนของเธอยังคงมโนได้ตั้งร้อยแปดพันเก้าไม่เคยจาง If You Lie Down with Me ที่เล่นกับคำพ้อง Lie ที่แปลว่าโกหก กับ lying down อันแปลว่าทอดตัวลงนอน เป็นการเปรียบเปรยถึงการพยายามหาข้ออ้างหักห้ามใจให้ลืมต่างๆนาๆ แต่ก็หนีพ้นการหลอกตัวเองไม่ได้จนโดนจับได้อยู่ดี Thunder เพลงบัลลาดท่วงทำนองที่เข้มข้นหน่อย แต่แอบมีความละเหี่ย เป็นการเปรียบเปรยคนรักที่เคยผ่านมาให้ได้ตื่นเต้นชั่วคราวราวกับฟ้าผ่า แล้วหายตัวไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
-น่าเสียดายที่การกลับมาในรอบ 7 เดือนนั้นเร็วไปหน่อย เป็นความขยันที่เกิดจากความอยากปลดเปลื้องความเหงาส่วนตัวด้วยแหละ ดันลืมคำนึงถึงการบาลานซ์ทางอารมณ์ มู้ดเพลงที่ยังคงที่เกินไป วนเวียนอยู่กับห้วงอารมณ์เหงานานพอสมควร เราจึงไม่ได้เห็นแง่มุมที่หลากหลายเท่าสองอัลบั้มก่อนที่ต่อให้ไม่หวือหวาจัดจ้านทางอารมณ์ แต่ก็ทำให้คนฟังเพลิดเพลินตลอดรอดฝั่งได้ อย่างไรก็ดีภายใต้อารมณ์อึมครึมดังกล่าวสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่พอโอเค ยอมปลงกับความสัมพันธ์เก่าๆ โดยที่ tense น้อยลง นี่คงเป็นสิ่งที่ทำให้ผมและผู้ฟังคนอื่นๆรู้สึกสบายใจที่ลานาเริ่มหาจุดที่สงบสติ มั่นคงทางอารมณ์มากขึ้น การฟังอัลบั้มนี้จึงสบายใจด้วยประการเช่นนี้
ถ้าราบเรียบไปหน่อยก็กร่อยเหมือนกัน
Top Tracks : Text Book, Arcadia, If You Lie Down with Me, Dealer, Thunder
Give 6.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา