14 พ.ย. 2021 เวลา 09:24 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
" ร่างทรง " ปรากฏการณ์ ความเชื่อหรือเรื่องจริง ?
1
ผมออกจากโรงหนังและครุ่นคิดหลายประเด็นเกี่ยวกับหนังเรื่อง" ร่างทรง "
.
ประเด็นแรก : คิดว่าหนังได้รับอิทธิพลจากหนังสยองขวัญชื่อดังอย่างน้อย 3 เรื่อง คือ The Exorcist , Paranormal Activities และ REC (หนังสัญชาติสเปน)
แม้รู้สึกแบบนั้นแต่ก็ชื่นชมในการนำเอาอิทธิพลเหล่านั้นมาปรับใช้กับหนังไทยที่ผนวกเข้ากับความเชื่อเรื่องภูติผีวิญญาณและร่างทรงได้อย่างกลมกลืน นักแสดงกับบทคือส่วนผสมที่ทำให้เรื่องราวน่าสนใจและสมจริงจนตราตรึงผู้ชมให้สนใจใคร่รู้ว่า " มิ้งค์ " ถูกสิ่งใดเข้าสิง
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มมาจากทีมทำสารคดีที่ตามติดชีวิตของป้านิ่ม ร่างทรงย่าบาหยันที่สืบทอดกันมาผ่านตระกูลของเธอ แต่แล้วในงานศพงานหนึ่ง หลานสาวของป้านิ่มก็มีอาการผิดปกติคล้ายกับว่าถูกวิญญาณเข้าสิง
อาการแปลกๆที่เกิดกับมิ้งค์ทำให้ทีมถ่ายทำสารคดีตัดสินใจตามติดชีวิตของมิ้งค์เพื่อถ่ายทอดช่วงเวลาสำคัญของการเปลี่ยนถ่ายร่างทรง แต่เหตุการณ์อาจไม่เป็นดังที่ทุกคนคิดเพราะอาการของมิ้งค์ดูวิปริตผิดเพี้ยนไปมากกว่า " ร่างทรง " ทั่วๆไป และนำไปสู่โศกนาฎกรรมที่เกินจะคาดเดา
สำหรับผม " ร่างทรง " คือหนังสยองขวัญที่พยายามหากลวิธีใหม่ๆในการเล่าเรื่อง ประกอบกับการร่วมมือกับทีมงานเกาหลี เราจึงได้หนังสยองขวัญที่กล้าฉีกเรื่องราวออกไปจากเดิม จนอาจจะทำให้ผู้ชมรู้สึกผิดธรรมชาติไปบ้าง เพราะหนังนำเสนอในรูปแบบสารคดีที่ดูสมจริงแต่บางจุดก็ออกจะโอเว่อร์ไปสักหน่อย
ประเด็นที่สอง : หนังไม่ได้สรุปปมทั้งหมด เมื่อดูจบแล้วผู้ชมต้องตีความบางเรื่องราวด้วยตนเอง
ส่วนนี้ก็ตรงกับความเชื่อเรื่องร่างทรง ที่สุดแล้วแต่ว่าใครจะตีความไปทางไหน
และนี่คือประเด็นที่ผมอยากจะนำเสนอในบทความนี้ เพื่อช่วยกันขบคิดเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง " ร่างทรง " ในมุมมองทางพุทธศาสนาที่น่าจะเป็นไปได้
ในมุมของคนที่ศึกษาศาสนาพุทธมาระดับหนึ่ง ต้องบอกว่า " ร่างทรง " นั้นจะว่าจริงก็มี ไม่จริงก็มี ตรงนี้ผมขออธิบายเพิ่มเติม (เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ)
ในส่วนของร่างทรงจริง แบ่งเป็น ร่างทรงที่มีกรรมสัมพันธ์กับเทพเทวดานั้นๆโดยสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ ถ้ามีการสื่อสารระหว่างกันและสารนั้นถูกนำมาเผยแพร่ก็ถือเป็นร่างทรงทั้งสิ้น
กรณีนี้นับรวมคนที่มีสติรู้ตัวแต่สื่อสารได้โดยตรงเพราะเป็นการสื่อสารผ่านญาณทัศนะส่วนบุคคล เป็นการสื่อสารผ่านจิตที่จูนคลื่นให้ตรงกับพลังงานต่างภพภูมิที่อยู่เหนือมนุษย์ขึ้นไป
ในกรณีนี้ร่างทรงจะไม่ขาดสติ พวกเขาเป็นเพียงสะพานเชื่อมการสื่อสารระหว่างเทพกับมนุษย์ ซึ่งการแยะแยะว่าใครคือของจริงให้พิจารณา 3 อย่าง คือ
.
หนึ่ง : สารที่สื่อต้องยกระดับผู้ฟัง ไม่ให้อยู่ในภาวะของความโลภ โกรธ หลง
สอง : สารที่สื่อต้องเกิดประโยชน์ เป็นไปในทางกุศล
และสุดท้าย สารนั้นต้องไม่เป็นไปเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน ไม่มอมเมาให้ผู้คนหวังพึ่งพาแต่อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ต้องชี้แนะเพื่อเตือนสติให้ใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา
2
อีกประเภทหนึ่งคือร่างทรงที่ถูกประทับทรงจริงๆ ผมมองว่าอาจมีจริง แต่ " ของจริง " นั้นน้อยมาก ซึ่งจะแยกแยะอย่างไรให้พิจารณาโดยใช้หลักสามข้อเป็นเกณฑ์ คือ ไม่ว่าอย่างไรการทรงร่างนั้นต้องเป็นไปเพื่อทางกุศลมิใช่งมงาย
1
ที่ว่าของจริงมีน้อยเพราะส่วนใหญ่เป็นการประทับทรงหลอกที่เกิดจากความผูกพันและศรัทธาในตัวเทพต่างๆ จนเข้าใจผิดคิดว่าเทพเหล่านั้นมาเข้าร่าง ซึ่งแท้จริงสิ่งที่เข้ามาในร่างอาจไม่มีจริง มีแค่ภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่นอันเกิดจากภาวะชี้นำในจิตตน
หรือ จริงๆแล้วอาจมีดวงจิตอื่นมาเข้าร่างแต่ที่เข้านั้นไม่ใช่ตัวจริง ถ้าร่างทรงองค์ไหนแนะนำวิธีแก้ปัญหาด้วยมิจฉาทิฐิหรือเรียกรับผลประโยชน์แล้วล่ะก็ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่าเป็นของปลอม
จริงๆแล้วแก่นหลักของพระพุทธศาสนา สอนให้มนุษย์พึ่งพาตนเอง เราจึงต้องฝึกสติให้มีจิตที่ตั้งมั่นจนเกิดปัญญามองเห็นความจริงและความไม่เที่ยง จนจิตคลายออกจากความถือมั่นที่เหนี่ยวนำให้เกิดความทุกข์
ถ้าจิตเข้มแข็งก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาหรือโน้มนำจิตอื่นเข้ามาในตน หรือถ้าอยากเชื่อมโยงตนเองเข้ากับองค์เทพที่มีบุญสัมพันธ์ต่อกันก็ทำได้ง่ายๆเพียงระลึกถึงคุณธรรมของเทพองค์นั้นและน้อมนำมาปฎิบัติอย่างต่อเนื่อง เราก็จะได้อานิสงส์จากการปฏิบัติดีมาเป็นมงคลให้กับชีวิตโดยไม่ต้องอาศัยอำนาจลึกลับใดๆเลย เพราะเป็นอำนาจที่เกิดจากการกระทำของตนเองโดยสมบูรณ์
ถ้าทำได้เช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องหาร่างทรง หรือไปเป็นร่างทรงให้ใครอีกต่อไป ถ้าจิตเข้มแข็งพอ พลังก็จะทรงอยู่ทั่วร่างและทำให้เราผ่านพ้นปัญหาได้ หรือถ้าปัญหานั้นแก้ไม่ได้ เราก็จะอยู่กับความทุกข์อย่างมีสติโดยไม่ทำให้ตนเองถลำลึกไปในทางที่ผิด
สำหรับผม " ร่างทรง " มีจริงด้วยการน้อมนำความดีของเทพมาปฎิบัติ และเช่นเดียวกันหากเราน้อมนำความชั่วมาสู่ตน เราก็จะกลายเป็นร่างทรงปีศาจได้เช่นกัน
1
ถ้าอ่านจนจบ แล้วเชื่อตามที่ผมเขียนทั้งหมด ก็เป็นไปได้ว่า " ผมอาจจะเข้าไปสิงอยู่ในจิตใจของคุณแล้ว "ก็ได้
เพราะความเชื่อนั้นมักจะทำให้สิ่งที่ไม่มีมีอยู่จริง มีตัวตนขึ้นมาได้
โฆษณา