18 พ.ย. 2021 เวลา 16:45 • บันเทิง
Album Review
Taylor Swift
“Red (Taylor’s Version) (2021)” (90/100)
การเดินทางในเส้นทางดนตรีอาชีพที่แสนท้าทาย กลับมาบรรจบอีกครั้งเมื่อ 9 ปีผ่าน จากสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ‘RED’ สู่การเกิดใหม่อีกครั้งของงาน re-record ลำดับที่สองของศิลปินหญิงคันทรี่/ป๊อปสตาร์สาวสามทศวรรษ ‘Taylor Swift’ ภายใต้ไตเติ้ลเรียบง่ายแต่ยังแฝงนัยความเก๋ ‘Red (Taylor’s Version)’ ที่ยกเครื่องอัดใหม่ร่วมรวมเพลงเก่าและเพลงใหม่ซึ่งก็คือเพลงเก่าที่หยิบมาจากคลังเพลงของเธอที่รังสรรค์ไว้ในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วยกันอย่างจุใจถึง 30 แทร็ค บรรจุในอัลบั้มที่กลับมาเปิดตัวอีกครั้งในปลายปี 2021 นี้อย่างร้อนแรง โดยเปิดตัวด้วยยอดผู้ฟังในช่องทางonline straming ที่สูงติดอันดับต้นๆ และทุบสถิติผู้ฟังรายวัน (90.8 ล้านครั้งการฟังต่อวันบน spotify เทียบกับสถิติ 80.6 ล้านครั้งจากอัลบั้ม folklore ที่เธอครองสถิติเดิมไว้) ชนิดที่ว่าไม่เคยมีศิลปินหญิงท่านใดมาถึงจุดนี้ได้มาก่อน
จากเหตุผลเรื่องลิขสิทธิ์ในงานสตูดิโอ 6 อัลบั้มแรกนั้นทำให้เธอตัดสินใจลุกขึ้นสู้ด้วยการหวนกลับมาจับไมค์สร้างเวอร์ชั่นใหม่มาสู้กับของเดิม โดยที่เธอจะกลายมาเป็นเจ้าของเพลงที่เธอแต่งเองหรือมีส่วนร่วมแต่งได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยเหนือไปกว่าเรื่องของเม็ดเงิน นี่คือการทวงคืนถึงสิทธิ์ของความเป็นผู้ประพันธ์ โดยงาน re-record ชิ้นนี้อิงจากงานต้นฉบับอย่างอัลบั้ม RED (2012) ที่มีการเลือกโปรโมทซิงเกิ้ลจากอัลบั้มในจำนวนที่มากกว่าครึ่งหนึ่งนับใน Standard Edition ไล่มาตั้งแต่ We Are Never Ever Getting Back Together, Begin Again, I Knew You Were Trouble, 22, Everything Has Changed ft.Ed Sheeran, Red และ The Last Time ft.Gary Lightbody บ่งชี้ถึงความเป็นที่นิยมของงานชุดนี้ได้เป็นอย่างดี
ยังไม่รวมถึง Promotional Single อย่าง State Of Grace ที่ถูกปล่อยมาในช่วงพรีวิวอัลบั้มซึ่งก็มีความยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ส่งผลให้ยอดขายอัลบั้ม Red ในส่วนของต้นฉบับนั้นพุ่งทะยานไปถึงกว่า 4.49 ล้านชุด (ข้อมูลจากสิ้นปี 2020)
อัลบั้ม Red นั้นเดิมทีจัดเป็นอัลบั้มในหมวดแนวเพลง Pop, Country Pop และ Pop Rock ผสมผสานกัน แต่ในงานที่ re-released นั้น จัดไปในทาง Pop โดดเด่นที่สุดโดยมีกลิ่นของดนตรีคันทรี่แทกเสริมเข้ามาในบางช่วงบางแทร็คเฉกเช่นเดียวกับพาร์ทของ Rock และ Alternative ที่เธอเริ่มชิมลางและสนุกกับแนวทดลองของเธอ รวมถึงเพลงที่รื้อทำใหม่อย่าง Girl At Home เพลงพิเศษใน Deluxe edition ของงานเดิม ที่มาในแนว electropop จึงจัดว่าเป็นอัลบั้มที่ผสมผสานไปด้วยภาคดนตรีที่หลากหลายแนว สิ่งที่ชัดที่สุดจากการ re-record งานชุดนี้ คือเนื้อเสียงของเธอที่เปลี่ยนไปอย่างสังเกตได้ชัด โดยมีความทุ้มและมีความเป็นผู้ใหญ่สูงขึ้น รวมไปถึงอารมณ์เพลงที่ผ่านการถ่ายทอดจากผู้หญิงวัย 31 ปี เทียบกับช่วงวัย 22 ปีในต้นฉบับซึ่งอาจสะท้อนมุมมองของตัวบุคคลที่หนึ่งอย่างเธอในการเล่าเรื่องชีวิตของเธอผ่านเพลงในมุมมองที่ต่างออกไปแม้จะคงไว้ซึ่งเนื้อร้องแบบเดิม
รวมถึงเพลงที่ไม่เคยถูกบรรจุลงในอัลบั้มจำนวน 11 แทร็ค ซึ่งมีที่มาแตกต่างกัน บางแทร็คเคยถูกปล่อยออกมาแล้วแบบ non-album เช่น Ronan บางเพลงเคยถูกหยิบไปตัดเป็นซิงเกิ้ลของศิลปินท่านอื่น เช่น Better Man (Little Big Town), Babe (Sugarland) ซึ่งประสบความสำเร็จในคลื่นวิทยุคันทรี่ทั้งสองเพลง รวมถึงแทร็คพิเศษที่ขยายมาจากเพลงหลัก ได้แก่ State Of Grace (Acoustic Ver.) และแทร็คที่ทุกคนรอคอยอย่าง All Too Well (10 Minutes) ก็จะคงเหลือเพลงใหม่เอี่ยมสิริรวม 6 เพลง นี่คือ 30 แทร็คที่เธอบรรจงคัดมาบรรจุไว้ในงานชุดนี้รอให้ท่านเข้ามาพบกับความบันเทิงอย่างจุใจ
State of Grace (4.5/5)
Track01ที่เหมาะเจาะกับการเปิดอัลบั้มที่สุดตลอดกาลของเธอ กับครั้งนี้ที่มากับความ Fresh ยิ่งขึ้น ดนตรีที่โปร่งขึ้นเสมือนเล่นอยู่ในสเตเดียมขับให้มีความรู้สึกที่ใหญ่ของสถานที่มากขึ้น โหมโรงให้ทุกคนวอร์มอัพพร้อมที่เข้าสู่โหมดเกมรักเกมร้อนใน state of RED ที่ต้องมาลุ้นกันอีกทีว่า คุณยังเลือกที่จะทำตามกฏกติการักษาน้ำใจหรือจะระเริงไปอย่างไรกฏเกณฑ์ จัดเป็นหนึ่งเพลงคูล ๆ ของเธอในไม่กี่ขวบปีแรกบนเส้นทางบันเทิง
Red (4.5/5)
เพลงที่ทำใหม่แล้วออกมาดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทั้งดนตรีที่หนักแน่นขึ้น และเสียงร้องที่ mature ขึ้น ร่วมถึงเนื้อหาของเพลงซึ่งมีความอุปมาอยู่เดิมนั้นเสริมให้ผลลัพธ์ของเพลงผลิผลออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะพอดีคำ มีการไล่กราฟอารมณ์เรียงจากท่อนสะสมพลังงานและท่อนปล่อยของที่ชัดเจน ทำให้ถึงอารมณ์คลั่งรักร้อนแรงมากขึ้นในฉากเข้มข้น
Treacherous (4.5/5)
หนึ่งในเพลงที่อ่อนไหวที่สุด ออกตัวก่อนว่าเป็นเอฟซีเพลงนี้ตั้งแต่เวอร์ชั่นแรก เพราะรู้สึกว่าเทย์แต่งไว้ดีมากด้วย lyrics ที่กระชับลงสัมผัส Sync. กับดนตรีแบบฉับๆ เปรียบเหมือนคำกลอนร้อยเรียงไปพร้อมกับการไล่อารมณ์เพลงพร้อมบรรยายภาพการดำเนินเรื่องควบรวมการตัดสินใจกระทำการใด ๆข องตัวเธอออกมาเป็นฉาก ๆ เรียงไปจนถึงจุดไคลแมกซ์ ทำให้เราเชื่อว่าความรู้สึกนี้มันมีอยู่จริง นั่นคือความยอดเยี่ยมของเพลงนี้ ในส่วนของการทำใหม่นั้น passion ของเพลงอ่อนลงส่วนหนึ่ง มองว่าจากมุมมองของวัยที่มากขึ้นนั้นเห็นจะไม่เร่าร้อนหรือมุทะลุเท่าเทียบกับยุคสาวน้อยที่กล้าได้กล้าเสียกว่า ในวัยที่ยังพร้อมเสี่ยงทุ่มเทเพื่อความรักนำหน้าตรรกะเหตุผลอื่นใด
I Knew You Were Trouble (5/5)
บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าชอบเวอร์ชั่นใหม่มาก เพราะเนื้อเสียงเทย์แน่นขึ้นมาก ๆ เสริมกับเนื้อหาที่เข้มข้นอยู่แล้วผนวกกับจังหวะเร้าอารมณ์ที่ส่งให้ไฟของนางแค้นที่อยากจะออกไปตะโกนใส่หน้าคนเฮงซวยที่เข้ามาในชีวิตนั้น ถูกพ่นออกไปได้อย่างมิหวั่นเกรง ต้นฉบับเสียงหวานของความแซ่บกว่าพริก 20 เม็ด และเป็นหนึ่งในเพลงฮิตตลอดกาลและประหนึ่งใบเบิกทางเข้าสู่วงการป๊อปของเธออย่างเป็นทางการ ในช่วงที่เพลงถูกปล่อยออกมาเป็นซิงเกิ้ลในปลายปี 2012 นั้นได้รับความนิยมสูงที่สุดของเธอนับตั้งแต่ยุค You Belong With Me เลยทีเดียว
All Too Well (4.5/5)
เพลงนี้เปรียบเสมือนคนเคยรักที่ยังผูกพันของเรายืนหนึ่งในคลังมาสเตอร์พีซของเธอ โดยที่การกลับมาทวงผ้าพันคอผืนน้อยของเธอในครั้งนี้นั้นดำเนินไปอย่างสุขุมขึ้น ด้วยเนื้อเพลงและดนตรีที่บรรยายถึงเหตุการณ์ระหว่างที่เริ่มสานสัมพันธ์รักจนถึงบทแตกหักอันเป็นตำนานที่ล้วนส่งอารมณ์เพลงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามเรากลับรู้สึกว่าเนื้อเสียง ดีไซน์การร้องและอารมณ์เพลงในครั้งนี้ยังทำได้ไม่ถึง ด้วยอินเนอร์ที่พร่องไปทำให้เธอไม่อาจสามารถนำพาผู้ฟังไปได้สุดถึงที่หมาย จนสุดท้ายเราต้องมานั่งตั้งคำถามว่าเธอ Remember it All Too Well สาสมใจแน่แท้แล้วจริงหรือ?
22 (4/5)
ถ้าถามว่าวัย 22 มันสนุกแค่ไหน มันจักจี้ที่จะตอบว่า อุ้ย ใช่ สนุกแน่นอน แซ่บปังเลยละ แต่เพลงจังหวะอัพบีทที่ต้องใช้พลังงานสูงเช่นนี้กลับเนือยและหน่วงลงในงานชุดปัจจุบัน ลด energy ลงกลายเป็นฟีลงานคืนสู่เหย้า รำลึกความหลังครั้งอดีตของวัยผู้ใหญ่ตอนต้นมากกว่าที่จะลงไปแดนซ์ดีดดิ้นเหมือนอย่างเคย ๆ
I Almost Do (5/5)
ถึงกับต้องเอาศอกไปกระทุ้งคนข้าง ๆ ด้วยเสียงอันตื่นเต้นสั่นระริกว่า เฮ้ย นี่เพลงอะไรอ้ะ สวยมากๆๆๆ ดูดีขึ้นแบบผิดหูผิดตาแบบหงายไปเลย ความที่เสียงของเธอผู้ใหญ่สุขุมขึ้นทำให้เพลงนี้นำพาเราไปสุดถึงจุดที่เปราะบางที่สุดในความเด็ดเดี่ยวของการ move on จากความสัมพันธ์ครั้งนี้ได้อย่างเด็ดขาด เพลงนี้อธิบายความอัดอั้นและเบื้องหลังของการเก็บงำความรู้สึกที่ระคนกันระหว่างสิ่งที่คิดอยู่ในหัวหลังม่านและสิ่งที่ต้องทำต้องแสดงออกมาหน้าม่านได้อย่างไม่ขาดไม่เกิน คำถามที่ค้างไว้คือ เธอสามารถอัดเพลงนี้อย่างไรให้จบได้โดยที่ไม่เผลอกรี๊ดออกมากลางคัน โอ๊ย อินมาก
We Are Never Ever Getting Back Together (4/5)
ลีดซิงเกิ้ลจากงานต้นฉบับ แบบจิก ๆ แย๊บ ๆ แสบ ๆ คัน ๆ กับอดีตคนรักที่มาตามง้อ แต่เธอยืนกรานเซย์ โน กับจังหวะสนุกๆโยกได้ ในเรื่องของความติดหูนั้นเพลงนี้ทำได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความพร่องในส่วนของอินเนอร์ของความสวยเริ่ดเชิ่ดผู้ชายต้องมาง้อที่สัมผัสกลิ่นได้แรงมากในงานเดิมที่ถูกลดทอนไปในเวอร์ชั่นนี้จนดูเสียทิศทางที่มั่นคงทำให้เสน่ห์ของเพลงนั้นดร็อปลงไปอย่างน่าเสียดาย
Stay Stay Stay (3/5)
นอกจากจังหวะที่น่ารักแก่นแก้วสนุกสนานและเนื้อเรื่องบรรยายการจับเข่าคุยของคู่รักถึงช่วงชีวิตขม ๆ กลายเป็นหวานกุ๊กกิ๊กอวยกันเองแล้ว เราไม่ได้จดจำแทร็คนี้มากไปกว่าการฟังผ่านไป ฟิ้วว
The Last Time ft.Gary Lightbody (5/5)
น่าจะเป็นเพลงจาก 16 แทร็คหลักที่เห็นการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดแล้ว เหมือนได้ฟังเพลงใหม่เลย พาร์ทของพี่แกรี่ที่อัดใหม่มีความนุ่มนวลขึ้น ส่งให้ท่อนร้องและอารมณ์ทั้งสองสอดประสานกันมากขึ้น ทำให้ความรู้สึกที่ได้นั้นเหมือนย้ายพวกเรามาชมละครทีวีแทนที่ละครเวทีในแบบต้นฉบับ ความเล่นใหญ่ที่ลดลงทำให้ภาพรวมนั้นกลมกล่อมขึ้นแม้จะไม่ได้สั้นกระชับตัดฉับหมือนหนังจอเงินก็ตาม แต่ก็เป็นหนังจอแก้วที่ไม่ต้องไปตัดต่อเสริมตอนออนแอร์เพิ่มให้ยืดยาวในภาคนี้ แต่อาจต้องติดตามภาคต่อหรือไม่ หรือความสัมพันธ์จะมีอีกหลายภาคแค่ไหน ใครจะทราบ
Holy Ground (4/5)
การได้นั่งทอดถอนอารมณ์ถึงห้วงความทรงจำในอดีตกับเพลงที่เร่งจังหวะกลองชวนให้ออกมาเต้นโลกลืม คิดถึงวันเก่าๆที่ได้รู้จัก อินกับห้วงอารมณ์คลั่งรัก ออกไปทำอะไรบ้าๆกับเธอ แม้วันนี้มันจะกลายเป็นแค่อดีต หงอย ๆ หน่อย แต่ความทรงจำเหล่านั้นมันมีคุณค่ามากๆ เพ้อมากไปจนลืมรีวิว อ่อ แทร็คนี้เข้ากับเสียงและอารมณ์จากมุมมองจากยุค Taylor’s version อันใหม่นี้มากๆ เสียงร้องที่แข็งแรงขึ้นสู้กับดนตรีได้สนุกขึ้น สบายๆ
Sad Beautiful Tragic (2.5/5)
ถ้าถามว่าโหมดเพลงเศร้าจะคาดหวังให้มันเศร้าให้มันซึมแค่ไหน ตัวผู้ถามเองคงจะคาดหวังคำตอบจากปากผู้ตอบแบบหลากหลายหรือลึกซึ่ง แต่กับเธอคนนี้ในเพลงนี้ คงตอบออกมาอย่างแผ่วๆว่า “อืม เ ศ ร้า” เรียบ ๆ ตอบเสร็จก็หลับไปเลย
The Lucky One (4/5)
ใครๆก็อยากจะเป็นดาว พลิกดินสู่ดาว แล้วหัวใจคนเป็นดาวล่ะ มีใครไหนบ้างมาเข้าใจไหม หรือว่าคุณหลอกดาว แต่ในเมื่อเพลงนี้ถูกรีเรคในช่วงล็อคดาวน์ เธอคงได้คำตอบแล้วนะน้องดาว ว่าหากเทียบชื่อเสียงและคำวิจารณ์กับช่วงทศวรรษที่ผ่าน การเดินทางสู่เส้นทางดาวของดาวนั้นไม่เหนื่อยป่าว อาจมีบางช่วงมาแนวรำวงด๊าวด่าว ประเดี๋ยวประด๋าว มีข่าวคาว แต่นั่นไม่ได้ลดคุณค่าของดาวลงไปเลย ถ่ายทอดอารมณ์ตัวเองได้ดีขนาดนี้ แม้จะร้องซ้ำๆจนเทปยาน แต่เบนซ์ให้สามผ่านค่ะ
Everything Has Changed ft.Ed Sheeran (4.5/5)
อีกหนึ่งเพลงโปรดขึ้นหิ้ง เดิมเป็นงานคอลแลบของสองศิลปินที่เราชอบมากอยู่แล้ว ยิ่งทำให้คลั่งไคล้มากขึ้นไปอีก ฟังจนเทปยานยืดยังไม่เบื่อทั้ง album version และ remix (Pop Radio edit) เนื่องจากดนตรีที่กล่อมอารมณ์ให้รู้สึกอบอุ่น ในเนื้อความถึงความรู้สึกกำลังตกหลุมรักคนใหม่ที่เพิ่งได้พบเจอ ตามมาด้วยความตลบอบอวลด้วยเมฆหมอกความฉงนสงสัยในตัวเธอลอยฟุ้งเหมือนวิ่งอยู่ในฝันในวิมาน อยากจะรู้จักเธอคนนี้ให้มากและมากยิ่งไปกว่านี้ แต่เวอร์ชั่นอัดใหม่นี้เสมือนถูกปู้ยี่ปู้ยำด้วยเสียงคลอของพี่เอ็ดที่ดังโดดขโมยซีนมากๆและไม่ได้มีความเข้ากันกับเพลงเลย พลอยทำให้ผีเสื้อที่บินอยู่เต็มท้องเราในการตกหลุมรักครั้งนี้ที่กล่าวไว้ในตอนแรกนั้นพร้อมใจกันบินหนีแตกรังกระเจิงออกนอกพุงกันไปแบบวุ่นวายเลยทีเดียว ใครแกงใครนี่ให้โอกาสสารภาพออกมา!
Starlight (3.5/5)
เพลงที่อบอุ่น ให้vibesที่แสดงความรู้สึกเชิงบวกที่สุดในอัลบั้ม ทั้งแสงดาว แสงเหนือ ดาวเหนือ ดาวตก ผีพุ่งใต้ใด ๆ ดนตรีเจ๋ง ๆ(ดนตรีในเส้นเรื่อง) ช่วยขับกล่อมบรรยากาศให้สิ่งมหัศจรรย์ในบทกวีนี้เป็นจริง ได้แก่อะไรบ้างล่ะ เพลงนี้เสียงร้องดูดีขึ้นแต่ภาคดนตรีถูกลดมิติลง จึงยังรู้สึกคนจะคลั่งรักก็รักแบบอั้น ๆ กั๊ก ๆ ไม่สุดติ่งเท่าใดนัก
Begin Again (4/5)
เพลงที่สวยงามที่สุดเพลงหนึ่งในอาชีพของเธอ กลิ่นคันทรี่อ่อนๆ กับความประทับใจผู้ชายคนใหม่ กับลิสต์ข้อดีของเขาที่ใช้เวลาสาธยายเป็นวันก็ไม่จบไม่สิ้น เพลงบรรเลงในบรรยากาศสบายๆ เรียบชิล จึงทำให้ต้องพึ่งพา vocal performance พอสมควร ซึ่งมองว่าในเวอร์ชั่น re-release ยังขาดอารมณ์เพลงไปซึ่งส่งผลให้กระทบถึงภาพรวมพอสมควร
The Moment I Knew (5/5)
พายุอารมณ์ที่โหมกระหน่ำพัดเอาเค้กวันเกิดก้อนใหญ่ที่ถูกเข็นเข้ามาในงานวันนี้แหลกเหลวเป็นผงกระจุยกระจาย นั่นคือผลจากความผิดหวังอันรุนแรงที่สุดจากการคาดหวังที่มากที่สุดในงานที่สำคัญที่สุดจากคนที่สำคัญอันดับหนึ่งที่ทำเฉยชาต่อวันสำคัญนี้ สำหรับบางคนบางความสัมพันธ์แล้วการบอกกันตรง ๆ อาจเจ็บน้อยกว่าการทำเช่นนี้ ความรู้สึกของคนที่รักหมดใจที่มีต่อคนที่ใจหมดรักนี้ถูกบรรเลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เลอค่า น่าชื่นชม ทุกองค์ประกอบดนตรีมีฉากที่ตัวเองได้ผลัดออกมาโลดแล่นโดดเด่น ตามไทม์ไลน์ของเพลงจนถึงจุดพีค ดีงามจนถึงท่อนขมวดปมตอนสุดท้าย ขนาดที่ว่าได้ยินได้ฟังแล้วยังหน้าชาแทน จะร้องไห้ร่วมแต่ร้องไม่ออก เกิดเป็นอารมณ์ดิ่งแทน Bravo
Come Back…Be Here (4/5)
สาวขี้เหงา รอหนุ่มสุดยุ่งกลับมาเอาใจ สุดท้ายก็ต้องดูแลตัวเอง จะนิวยอร์คหรือลอนดอนก็เน้นฟังเพลินๆ ไปก่อนเบาๆ เนื้อหาไม่ซับซ้อนคิดเยอะ เป็นเพลงที่ย่อยง่ายที่สุดในอัลบั้ม
Girl At Home (4.5/5)
เพลงที่ร้ายที่สุด เพลงเก่าที่แอบปลอมตัวเป็นเพลงใหม่ หนอย จากสาวคันทรี่บ้านนาอยู่บ้านล้างจากซักผ้ากลายเป็นสาวคลับแดนซ์อิเล็กโทรพอพร่วมสมัยชนิดที่ว่างงหงายจำบ้านเลขที่ไม่ได้กันไปข้างเลย แต่ในภาพรวมแล้ว การรื้อทำใหม่ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จมาก พลิกโฉมจากเพลงเรียบ ๆ เป็นไฮไลท์ของอัลบั้มนี้ไปเลย เนื่องจากตัวละครในเพลงคือเป็นผู้หญิงสาวสวยใสแต่ฉลาดทันคน ที่สำคัญเป็นคนดีมีศีลธรรม มีประสบการณ์ชีวิตมาบ้าง ต้องมอบโล่ห์รางวัลให้เธออย่างงาม
Ronan (4/5)
เพลงที่เธอมอบให้แม่ของน้อง Ronan ที่เสียไปด้วยโรคมะเร็งตั้งแต่อายุ 4 ขวบ ทำให้เธอกลั่นเพลงนี้ออกมาจากใจลงปลายปากกา และรายได้จากยอดดาวน์โหลดเพลงนี้นำเข้าการกุศลทั้งหมด ดนตรีอคูสติกบรรเลงกับเสียงร้องดิบๆในเวอร์ชั่นนี้คือคำตอบสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมาก รับรู้กันด้วยใจ
Better Man (4.5/5)
เธอเคยมอบเพลงนี้ให้กับ Little Big Town ในปี 2015 จากนั้นถูกปล่อยเป็นซิงเกิ้ลและได้รับความนิยมทั้งบนชาร์ตและคำวิจารณ์ ครั้งนี้เธอจับเพลงนี้มาทำใหม่ในรสชาติที่ต่างออกไป ให้อารมณ์ของสาวนุ่มนวล มีความยืดหยุ่นให้แก่ชีวิตคู่ แต่ความแตกหัก การทำร้ายกันทางอารมณ์และคารมกันล้วนสะสมเป็นเหมือนระเบิดเวลา จนกระทั่งวันที่เธอตัดสินใจเลือกที่จะ วิ่ง วิ่งหนีความสัมพันธ์ออกไป พร้อมกับพรรณนาถึงคนรักที่เธอรักมาก เพียงเพราะอยากจะเห็นเขาในเวอร์ชั่นที่เป็นคนและไม่ใช่คนไม่ใช่คนแบบทุกวันนี้ ต่างจากเวอร์ชั่นต้นฉบับที่เป็นผู้หญิงเด็ดเดี่ยว มุ่งมั่นตัดสินใจเฉียบขาด ของน้องเทย์คืออ่อนไหวอ่อนหวาน เหมือนปลดแอกพันธนาการ ร่างพร้อมลอย หรืออีกนัยคือ กูไม่อยู่แล้วจ้า
Nothing New ft.Phoebe Bridgers (4/5)
แต่ละขวบปีที่ผ่านไป ความสวยสาว ความป๊อป ความสามารถใด ๆ ก็เริ่มโรยราตามกาล ดังฟ้าชังหรือสวรรค์แกล้งให้สองคนนี้มาจับเข่าดีดกีตาร์ใต้แสงสลัวๆของแสงเทียนเพิ่มบรรยากาศความละมุนให้เคลิบเคลิ้มระคนเคว้งคว้างกับอนาคตข้างหน้าเราจะกลายเป็นแบบไหน สรุปก็คือกลัวแก่กันทั้งนั้นแหละ
Babe (4.5/5)
ความมนุษย์เมียโผงผางโกยทุกอย่างของผู้ชายออกจากบ้านไปให้หมด หลังจากฉากที่เธอรับบทสายลับจับบ้านเล็ก อีกฝ่ายถึงกับต้องร้องว่า งานเข้า ออกมาดังๆ ความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่มีความหวังดีของมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ถูกถ่ายทอดออกมาในเพลงที่ไม่ซับซ้อนบริโภคง่ายซึ่งครั้งหนึ่ง (2018) เคยเป็นผลิตผลจากอัลบั้มของ Sugarland ที่ตัวเทย์เองรับเชิญไป featured พร้อมพ่วงรับบทนางร้ายเอ็มวีให้อีกด้วย งานนี้ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา
Message In A Bottle (2.5/5)
เพ้อรักถึงหนุ่มที่ห่างไกลอีกซีกโลกอีกแล้ว ได้แต่ฝากข้อความไว้ในโหลแก้วสักวันเธอจะอ่านเมื่อผ่านมาเห็น แหม ช่างเปรียบเปรย รู้สึกว่าธรรมดามากๆทั้งเนื้อหาและมิติเพลงที่เรียบสนิท
I Bet You Think About Me ft.Chris Stapleton (4.5/5)
นานแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ได้จงใจตัดซิงเกิ้ลลงคลื่นวิทยุคันทรี่ น่าจะย้อนไป 8-9 ปีนู่นเลย และนี่คือซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้ From the vault เพลงหลอกหลอนแกมจิกกัดอดีตคนรักเก่า ชายชั้นสูงผู้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดในเบเวอร์ลี่ฮิล ถึงอดีตช่วงเคยคบและตอนนี้เมื่อเลิกกันแล้วตอนนี้เธอต้องนั่งนอนคิดถึงฉันที่มีดีทั้งสาว สวย อยู่เป็นแน่แท้ ความมั่นนี้ ส่วนผสมทั้งหมดในเพลงนี้บวกกับกลิ่นบ้านนาลอยฟุ้ง ทำให้ภาพรวมออกมาลงตัวมากๆ ชอบบ
Forever Winter (4.5/5)
พอจบเพลงนี้ก็คือเป็นทุกอย่างให้เธอแล้ว งานนี้รับบทนางเดอะแบก รับปรึกษาปัญหาชีวิตตั้งแต่เรื่องเล็กน้อยจุกจิกกวนใจไปจนถึงขั้นปลอบประโลมในประเด็นล่อแหลมชวนคิดมากหรืออาจถึงขนาดคิดสั้น ฉันจะเป็นดวงตะวันข้างเธอตลอดไป แต่หากหาไม่มีเธอแล้ว มันจะกลับกลายเป็นฤดูหนาวอันหนาวเหน็บตลอดกาล และนอกจากเนื้อหาแล้วจังหวะบวกกับสไตล์การร้องก็ใส่สุดเร้าใจไม่แพ้กัน ใส่มาเต็มที่ใส่สุดไม่มีเกียร์ถอยขนาดนี้ก็ฟาดคะแนนไปเลยสิจ้ะ
Run ft.Ed Sheeran (2.5/5)
เพลงแรกที่แท้จริงของการร่วมงานของเธอกับเฮียหมีเท็ดดี้เบสท์เฟรนด์ ก่อนที่ภายหลังเขาและเธอจะเขียน everything has changed ตามมา และเลือกเอาเพลงหลังเข้าแทร็คลิสต์หลักของอัลบั้มไป เพลงอบอุ่นเรียบง่ายจนเรียบเกินไปไม่มีอะไรเลย อาจทดลองเขียนร่วมกันครั้งแรก ทำให้ภาษาเพลงยังจูนไม่เข้ากัน
The Very First Night (2.5/5)
เพลงป็อปธรรมดาใสๆเพ้อถึงความรักที่เพิ่งจบไป กับความรู้สึกที่ได้พบกับเธอในคืนแรกและการได้แลกรัก เปื่อยๆแปะๆ ล่องลอยไร้ทิศทาง
All Too Well (4.5/5)
All Too Well เวอร์ชั่นในตำนานที่ทุกท่านรอคอย มาครั้งนี้พร้อมกับหนังสั้นที่เธอกำกับเอง ไม่ต้องปล่อยให้แฟนคลับมโนไปถึงฉากรักใด ๆ เธอจัดหามาให้ตามไทม์ไลน์เนื้อเพลงมาให้อย่างเรียบร้อย เวอร์ชั่นนี้ทำภาคดนตรีได้ดี โดนการค่อย ๆ เดินเครื่องเลี้ยงอารมณ์เพลงละเลียดไปอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป ด้วยตัวเนื้อหาค่อนข้างลึกซึ้งหายห่วงอยู่แล้ว แต่จุดติคือภาคเสียงร้องของเทย์เองที่อินเนอร์อ่อนเกินไปและพาร์ทท้าย ๆ ของเพลงนั้นยืดยาวเกินความจำเป็น จนอาจไม่ดึงดูดให้กลับมาหยิบฟังบ่อยๆ หากจงใจเลือกมาปิดอัลบั้มไปแบบสวย ๆ ที่เป็นเหตุที่เข้าใจได้ แต่แน่นอนว่าตำแหน่งอยู่ไม่นาน แต่ตำนานจะอยู่ตลอดไป คือนานตั้งแต่ความยาวเพลงแล้วจ้า สุดท้ายเพลงนี้ก็แมสอย่างน่าอัศจรรย์ตามแผนอันแยบยล
เดินทางกันมาไกลมากขอสรุปแบบรวบรัด อัลบั้มอัดมาอย่างจุใจ 30 แทร็ค ในเวอร์ชั่นไวนิลจัดมาถึง 4LP จุกๆ จึงไม่แปลกที่แต่ละท่านก็จะมีเพลงโปรดที่โดนใจตนเองไม่เพลงใดก็เพลงหนึ่งถ้าชอบหน่อยก็อาจมีหลายเพลง ถ้าคลั่งไคล้มากก็ชอบหมดหรือเกือบหมด เพลงเดิม 16+3+1 เพลง นั้นลงตัวมากๆอยู่แล้ว ภาพรวมของเพลงกลุ่ม unreleased /from the vault ทั้ง 1+9 แทร็คนั้นก็อยู่ในระดับที่สุดแบบคัดมาแล้วเช่นกัน สำหรับเนื้อหาเพลง มีรสชาติหลากหลายไม่จำเจ สามารถกล่อมให้ฟังรวดเดียวจบได้แม้รันไทม์จะยาวกว่า 2 ชั่วโมงประหนึ่งดูหนังเรื่องยาว 1 เรื่องก็ตาม แม้เนื้อหาอาจไม่ได้เติบโตหรือ mature เท่ากับงานในอัลบั้มหลังๆ
แต่การ re-record ด้วยเสียงของเธอในเวอร์ชั่นปัจจุบันที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น สุขุมขึ้น ส่งให้บางเพลงทรงพลังและดูดีขึ้นแบบไม่คาดคิด แต่กับบางเพลงเช่นเพลงอัพบีทที่ต้องการ energy ที่สูง หรือเพลงที่เคยทำไว้ได้ดีมากกลับเนือยและดรอปลงไปบ้าง ประหนึ่งปรับสมดุลให้อัลบั้มมีบาร์ของอารมณ์ความรู้สึกในแต่ละแทร็คต่อเนื่องแทร็คไล่เรียงกัน ไม่โดดไปหรือด้อยไปในแต่ละกราฟเวลา จากนี้คงต้องจับตามองกันต่อว่าเธอจะ re-record อัลบั้มไหนเป็นอัลบั้มถัดไปจากกลุ่ม Taylor Swift 2006, Speak Now, 1989 หรือ reputation และการโปรโมทงานชุดนี้ที่โหมออกสื่อมากกว่ายุค folklore, evermore และ Fearless (Taylor’s Version) สาม era รวมกันเสียอีก บ่งชี้ว่าเธอตั้งใจเป็นอย่างมากกับการสร้างมันขึ้นมาใหม่กับมืออีกครั้ง และความพยายามนี้กำลังผลิผลงดงามอย่างมากทั้งในแง่กระแสตอบรับเชิงพาณิชย์และคำวิจารณ์ รอลุ้นยอดขาย อันดับชาร์ตและรางวัลต่าง ๆ ได้เลย
ติดตามงานรีวิวชิ้นอื่นได้ที่ FB page: Punchkano
โฆษณา