23 พ.ย. 2021 เวลา 03:14 • นิยาย เรื่องสั้น
ต่อจากตอนที่เเล้ว👇🏻👇🏻
เล่าขานสืบต่อกันมาว่า เคยมีหนุ่ม 2 คน สมมุติว่าชื่ออ้ายแก้ว กับอ้ายคำ เป็นเพื่อนกัน เวลาไปแอ่วสาวที่ไหนก็ไปด้วยกัน จนกระทั่งมีช่วงหนึ่ง พอออกจากหมู่บ้านไปได้สักระยะ จะถึงทางแยกเข้าป่าละเมาะรกร้าง ถึงตรงนั้นเมื่อไหร่ อ้ายคำก็จะบอกว่า ให้อ้ายแก้วล่วงหน้าไปก่อน แล้วจะตามไป หลังจากนั้น ก็มีเหตุการณ์แบบเดิมเกิดซ้ำๆ คือพอมาถึงที่ดังกล่าว อ้ายคำก็จะขอแยกไปทำธุระก่อน จนอ้ายแก้วนึกสงสัย เพราะเมื่อเลียบเคียงทางบ้านผู้หญิงว่าเพื่อนตนไปแอ่วหาผู้หญิงทางใด ก็ไม่มีใครพบปะสักรายในละแวกนั้น จนวันหนึ่ง เพราะสงสัยจนทนไม่ไหว อ้ายแก้วจึงลอบสะกดรอยตามอ้ายคำ และก็พบว่า เมื่อเดินลึกเข้าไปในป่าละเมาะ ท่ามกลางความมืดของยามราตรี มีกลิ่นเหม็นเน่าสาบสางโชยมา และพอปรับสายตาชินกับความมืดทีละน้อยก็ได้เห็นอ้ายคำกำลังแลบลิ้นเลียกินน้ำเลือดน้ำหนองจากซากกะโหลกหัวควายอยู่ เมื่อเห็นดังนั้น อ้ายแก้วก็ตกใจมาก
วันต่อมาจึงไปปรึกษากับครูบาอาจารย์ว่า อ้ายคำถูกผีพรายเข้าสิงหรือไร ปู่จารย์กลับแนะนำว่า ถ้าอยากจะว่าอะไรเป็นอะไร ให้เอาพริกไปทากะโหลกหัวควายไว้ แล้วให้เอาไข่ไก่เสกติดตัวไป หากถูกใครไล่ ให้โยนไข่ให้เขาทีละฟอง แล้วรีบเข้าเรือน เมื่อถึงเรือน ให้ยกกะไดบ้านเปลี่ยนสลับหัวล่างเสีย หมายเหตุอีกนิดว่า ในบ้านเรือนคนเหนือสมัยก่อน มักยกพื้นสูงไม่มาก เพื่อป้องกันเสือสางเข้าบ้าน ตกค่ำคืนก็จะนิยมชักกะไดเก็บกันและแล้ว เหตุการณ์ลำดับต่อมาก็คือ เมื่ออ้ายคำเข้าไปกินซากหัวควายก็เจอความเผ็ดรุนแรงอย่างไม่คาดฝัน พอเผ่นโผนออกมาก็เจอกับอ้ายแก้วที่ยืนตะลึงอยู่ ข้างอ้ายแก้วไม่รอช้า รีบออกวิ่งทันที อ้ายแก้ววิ่งจนสุดฝีเท้า แต่ราวอ้ายคำเป็นอีกคนหนึ่งไปแล้ว ตาแดงเป็นแสงไฟ วิ่งไล่ตามมาติดๆ นึกได้ถึงคำอาจารย์ว่า อ้ายแก้วจึงรีบคว้าไข่ไก่ในถุงย่ามสะพายโยนใส่
ปรากฏว่า พอไข่ตกถึงพื้น อ้ายคำก็ถลาลงไปกอบไข่ดิบกินอย่างมูมมาม กินหมดก็ผุดลุกขึ้นและกระโจนเข้าไล่ต่อ อ้ายแก้วเห็นดังนั้นจึงโยนไข่ให้เป็นช่วงๆ ถ่วงเวลาจนกระทั่งเข้าถึงบ้านตนเองเมื่อกระโดดขึ้นบนบ้านแล้ว อ้ายแก้วไม่รอช้า รีบชักบันไดขึ้นสลับด้านเสีย แล้วขึ้นไปซ่อนตัวอยู่ในเรือน มองผ่านความมืดลงมา เห็นอ้ายคำงุ่นง่านโกรธจัด เดินวนรอบเรือน พลางพูดซ้ำๆ ว่า
“บ้านใช่ บันไดไม่ใช่” “บ้านใช่ บันไดไม่ใช่” ว่าใบหน้าและหัวเป็นของอ้ายคำ แต่ลำตัวเป็นม้า ตกรุ่งเช้า ที่ลานดินรอบบ้าน ก็ปรากฏเป็นดั่งรอยตีนม้าย่ำแวดล้อม และพอรวบรวมสติได้ อ้ายแก้วก็รีบไปบอกญาติพี่น้อง พากันไปยังบ้านอ้ายคำ ถึงตรงนี้ บางสำนวนก็เล่าว่า ได้พบอ้ายคำนอนตายกลายเป็นศพอยู่บนที่นอนน้ำลายฟูมปากจากการกินไข่คาถาเข้าไปแต่บางสำนวนก็ว่า เห็นเป็นม้าตัวย่อมๆ นอนตายอยู่ในเรือนนั้น
สำหรับที่บ้านเรานั้น เรื่องของผีม้าบ้องก็เป็นหนึ่งในนิทานที่เล่าต่อจากรุ่นสู่รุ่น เวลาตกกลางค่ำกลางคืน สมัยที่บันไดยึดติดถาวรแล้ว ก็ยังมีคำสอนว่า ระวังจะลงไปเจอผีม้าบ้องซุ่มอยู่และว่ากันว่า ผีม้าบ้องยังมักจะออกมาเที่ยวเล่นในคืนเดือนดับและเดือนออก (เดือนเพ็ญ) และถ้าได้พบเห็นอย่าได้ทักถามพูดจา ไม่เช่นนั้นจะถูกทำร้ายได้สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ตอนยังเด็กๆ นั้น พ่อกับแม่ก็เล่าตำนานเรื่องผีม้าบ้องนี้ให้ฟังอยู่ พลางว่าเป็นเรื่องที่เขาเล่าต่อกันมา แต่ว่า แม่กับยายมีประสบการณ์ได้เจอผีม้าบ้องด้วยตนเอง !
แม่เล่าว่า ในตอนที่แม่เป็นสาว ยุคนั้นหมู่บ้านยังไม่มีไฟฟ้าใช้ แถบแถวหมู่บ้านเรานั้นผู้คนยังนิยมปลูกต้นฝ้ายปั่นเอาด้าย และใช้นุ่นมายัดหมอน ยัดฟูกนอน ในบางคืนจึงจะไปช่วยกันเป็นหมู่ๆ ตามบ้านเพื่อนมีคืนหนึ่ง แม่นัดเพื่อนว่าจะไปช่วยกันปั่นด้าย (ปัจจุบัน ที่ตั้งของบ้านหลังนั้นก็ยังอยู่)
แม่เล่าว่า เป็นคืนเดือนหงาย ฟ้าแจ้งกระจ่าง แสงเดือนงามตา แม่ออกจากบ้านที่อยู่กับยาย เดินขึ้นไปตามถนนเพียงลำพัง เพราะแม่ไม่ใช่คนกลัวผีสางอะไรแต่ขณะที่เดินไปได้สักครึ่งทางใกล้ถึงบ้านเพื่อน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้า เหมือนมีม้ากำลังควบมาทางข้างหลัง แต่พอเหลียวหลัง ก็ไม่เห็นอะไรสักอย่างแม่คิดว่าตัวเองอาจจะหูฝาด จึงออกเดินต่อ แล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนม้าควบมาจากข้างหน้าอีก แต่เพ่งมองไป ก็ไม่มีอะไรบนถนนจนสักพักหนึ่งก็ถึงบ้านเพื่อน แต่ทันทีทันใด ขณะกำลังจะเดินเข้าประตูรั้วบ้าน ก็ได้ยินเสียงควบม้าอีก แล้วมีแรงลมปะทะตัวแม่ เหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดผ่านตัวไปแม่ว่า นั่นคือเวลาที่แม่คิดได้อย่างเดียวว่า นั่นน่าจะเป็นผีม้าบ้อง เพราะลำพังได้ยินแต่เสียงก็ยังว่าตัวเองอาจจะหูฝาดได้ แต่แรงลมอุ่นๆ และการเจอสัมผัสในระยะประชิด ที่ผ่านแผ่นหลังแม่ไป แม่ว่า ด้วยสติสัมปชัญญะครบถ้วน
สิ่งนั้นปราศจากตัวตน แต่มีอยู่จริงแม่ได้เล่าเรื่องให้เพื่อนๆสิ่งนั้นปราศจากตัวตน แต่มีอยู่จริงแม่ได้เล่าเรื่องให้เพื่อนๆฟังในคืนนั้น และถัดจากนั้นก็กลับมาเล่าให้ยายฟังที่บ้าน ยายบอกแม่ว่า อย่าแปลกใจไปเลย นั่นคือผีม้าบ้อง และยายก็เจอเห็นตัวเป็นๆ มาแล้วอย่างไรก็ดี ประสบการณ์เรื่องเล่าจากแม่และยาย ก็ยังดูเป็นเรื่องดึกดำบรรพ์ เพราะผ่านมาหลายสิบปี นานเหลือเกิน
ติดตามตอนต่อไป☺️😊
โฆษณา