20 พ.ย. 2021 เวลา 10:52 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Friends That Break Your Heart - James Blake
มิตรรักขมขื่น
[รีวิวอัลบั้ม] Friends That Break Your Heart - James Blake
-จำได้ว่าผมเคยแปล interview ท่านเทพ James Blake อยู่ครั้งนึงที่แกเผยถึงมุมมองการทำเพลงต่อๆไปนี้ว่า แกจะยอมลดความฟังยากในบทเพลง แล้วปรับจูนให้คนฟังส่วนใหญ่เก็ตได้ ว่าง่ายๆคือแกอยากแมสเนี่ยแหละ จากผลงานชุดที่แล้ว Assumes Form เราได้เห็นความพยายามดังกล่าวในเบื้องต้นแล้ว แกพยายามบาลานซ์ตัวตนหม่นๆในแบบที่เคยเป็นเสมอมา มันเลยเป็นงานเพลงกึ่งสงบกึ่งขมที่มีภาพของคนที่กำลังนั่งจมอยู่ในห้องมืดๆ พยายามอย่างเต็มที่ในการขึ้นจากหลุมดำจากโรคซึมเศร้าด้วยการพยายาม appreciate กับสิ่งรอบข้างให้มากกว่านี้
-แน่นอนว่านักฟังเพลงสายแมสนี่อาจจะยังไม่คุ้นชินกับการรับอะไรที่ personal จัด ซึ่งก็โคตรจะ James Blake เลย แต่พอกลับมาคราวนี้ก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วยที่พี่แกหาทนทางบาลานซ์แนวเพลงแกจนมันฟังง่ายกว่าชุดที่แล้วมากๆ ตอนแรกรู้สึกแปลกๆชักไม่แน่ใจว่าผมจะชอบอัลบั้มน้อยกว่ามั้ย สรุปชอบมากกว่า รักเฉยเลย ทางลงที่แกต้องการมันควรจะเป็นแบบนี้แหละ
-Friends That Break Your Heart ชื่ออัลบั้มยังคงความขมขื่นในแบบที่สาวกพี่เจมส์ต่างคุ้นเคย เป็น break-up album ที่ตัดสลับในมุมมองของสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่จำเป็นต้องร้างลา แยกทางกันในที่สุด ชีวิตรักส่วนตัว Jameela Jamil ก็ไม่มีปัญหา แถมลิสท์ให้เธอเป็น co-producer ด้วย สิ่งนึงที่สังเกตได้คือ ภายใต้วิกฤติการณ์ Covid-19 ทำให้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปจริงๆ แม้กระทั่งความสัมพันธ์กับคนรอบข้างที่ใกล้ชิดถูกทำให้ห่างเหินทันที นี่อาจจะเป็นอัลบั้มที่ว่าด้วยการเผชิญหน้ากับการพบพาลากจาก การพยายามบาลานซ์ความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ถ้ามันบาลานซ์ใครไม่ได้ก็คงต้องปล่อยเลยไป
-ถึงจะมาจากคนที่มีมุมมองเสียเพื่อน ไม่เสียแฟนก็ตาม แต่แกแต่งเพลงในลักษณะจงใจให้คลุมเครือเพื่อที่จะให้คนฟังสามารถคิดไปได้หลายทาง ตั้งแต่แทร็คเปิดอัลบั้ม Famous Last Word ที่คิดได้ทั้งการเลิกรากับคนรักกับการแยกทางกับเพื่อนก็ได้ การเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครบางคนที่ดันมามีอิทธิพลในตัวเราโดยไม่รู้ตัว แต่พอเปลี่ยนก็รู้สึกห่างไกลจากเขาเป็นไมล์อยู่ดีในเพลง Life Is Not The Same ในเพลงนี้มี Take a Daytrip และ Joji มาช่วยแต่งช่วยโปรดิวซ์ด้วย
-คอนเซปท์เพลง Funeral แทร็คที่ 4 น่าซื้อจริงๆ แกแต่งเพลงด้วยสถานการณ์พาไป จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเรากลับไม่มีตัวตน มีชีวิตที่ไม่มีใครได้ยิน กังวลว่าจะมีใครมายอมแพ้กับคุณได้โดยง่ายรึเปล่า ท่วงทำนองมาแบบเงียบสงัด I'll be the best I can be / Don't give up on me เป็นประโยคที่โคตรหนักแน่น แล้วแกก็ใช้ภาพงานศพเป็นตัวแทนของคนที่ตายไปแล้วที่ตะโกนสื่อสารยังไงใครก็ไม่ได้ยิน มันเลยเป็นที่มาของชื่อเพลง
-แขกรับเชิญก็มีไม่กี่คน และบางคนก็ดูเหมือนจะห่างเหินกับเจ้าตัว แต่กลับทำให้อัลบั้มดันมีสีสันที่เข้ามาตัดรส personal ไม่ให้ลึกจนยากเกินเข้าถึงเกินไป SZA ที่มาแจมในเพลง Coming Back เป็นตัวช่วยที่เข้ากันกับแกได้อย่างน่าประหลาดมากๆ ใครจะไปเชื่อว่าสาย ambient มาเจอกับนักร้องสาวอาร์แอนด์บีเจื้อยแจ้วจะออกมาได้ลงตัวขนาดนี้ การ blend style เป็นไปได้อย่างเฉียบคมตั้งแต่ต้นยันจบเพลง สุ้มเสียงของเพลงนี้ก็ล้ำสมัยมากด้วย ชอบเทคนิคการทำให้เสียงของ SZA มันเอคโค่เข้ามาตีไปตีมากับเสียง ambient ของแกในท่อนสุดท้าย เป็นการประชันกันโดยไม่ต้องมาเชือดเฉือนด้วยน้ำเสียงอะไรมาก มันไม่ใช่แพทเทิร์นเดิมๆที่เราเห็นในเพลงดูเอ็ททั่วๆไป มันคือลูกเล่นทางเทคนิคล้วนๆของนักร้องสายโปรดิวเซอร์ที่ arrange เลเยอร์ของเสียงจนมันส์มืออ่ะครับ
-Frozen ที่ได้ SwaVay และ JID มาร่วมฟีทด้วย มาในแนวอัลเทอเนทีฟ-ฮิปฮอปบีทวูบวาบ ลูกเล่นหวือหวา อย่าลืมว่าพี่เจมส์เคยโปรดิวซ์เพลง ELEMENT. และเพลงฮิปฮอปอีกหลายเพลง จึงไม่ใช่หน้าใหม่ที่จะมาแตะฮิปฮอปแล้ว ทั้งนี้แกปล่อยให้ JID แร็ปยาวๆคูลๆด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเป็นเอกลักษณ์ โดยเจ้าของเพลงแบ็คอัพโหยหวน มีการใช้ออโต้จูนสุด weird ที่เราคุ้นเคยในสไตล์เก่าๆของแก (ซึ่งมีแค่เพลงเดียวเท่านั้น) ส่วน SwaVay มาแว๊บเดียว แต่ก็เสริมความ weird ของเจ้าของเพลงได้ดี เป็นฮิปฮอปที่บีทมันส์เลยล่ะ ในขณะที่ Foot Forward ก็ได้ Metro Boomin’ มาร่วมงาน ไอ้ผมก็แอบอิหยังวะเหมือนกัน ปกติจะคุ้นชินสไตล์ดาร์คมู้ดเย็นๆ ไม่คิดว่า Young Metro จะมามู้ดสว่างขนาดนี้ และเนื้อหาก็มาแนว positive ไม่ได้ย้อนแย้งเสียด้วย
-ยังมีเพลงที่ชวนระลึกถึงความเติบโตในชีวิตของคนรักเก่าของแกในเพลง Show Me ที่เป็นการดูเอ็ทร่วมกับนักร้องสาว Monica Martin ที่ทำออกมาได้อย่างโรแมนติกจนนึกว่าเป็นเพลงรักเยียวยาอะไรบางอย่างรึเปล่า สรุปว่าไม่ใช่ มันคือเพลงของคนที่มูฟออนจากความสัมพันธ์เก่า แล้วดันมาแชร์สารทุกข์สุขดิบในช่วงเวลาที่แยกทางกันด้วย ผิดกับเพลง I’m So Blessed You’re Mine ที่มีท่วงทำนองแอบใส่ความหลอนตีม horror หน่อยๆ แต่ก็ไม่ tense จนเกินไป มีความขี้เล่นด้วย ให้อารมณ์ภาคภูมิใจจากมุมมองคนแปลกแยกที่ดันได้เธอมาครอง
-Say What You Will เป็นตัวอย่างเพลงช่างแม่งชื่อเสียงที่โคตรดีและงดงามเกินบรรยาย ชอบตรงที่แกพยายามจะช่างแม่งพวกค่ายเพลงที่มักจะไม่ค่อยโปรโมทผลงานแกเท่าที่ควร อีกอย่างต่อให้คนมาดูคอนเสิร์ตแกน้อย แกก็ยังเห็นสายตาของคนดูได้ทั่วถึงเสียอีก ไม่ดังแล้วไง กูสามารถทำตัวปกติได้ ใครจะพูดอะไรก็พูดไปเหอะ เป็น best song so far สำหรับผมเลยล่ะ ภาคดนตรีก็ทำออกมาได้ peaceful ลุ่มลึก เสียงร้องของพี่เจมส์นี่ปลดปล่อยไปไกลมากในช่วงท้าย lift up ดียิ่งยวด เป็นไฮไลต์เด็ดประจำเพลงเลย Lost Angel Nights ก็เคลิ้บเคลิ้ม ลูกเล่นบีทสุด alert ขับเคลื่อนด้วยพลังบวกเหมือนกัน เป็นการพยายามใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวของตัวเอง โดยที่ไม่ต้องไปวิ่งไล่ตามใคร มีสิ่งดีๆให้ตามเก็บในชีวิตอีกเยอะ โดยที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับใคร
-มาถึงไตเติ้ลแทร็คอคลูสติคโทนหม่นแบบคืบคลาน Friends That Broke Your Heart ที่ไม่ได้ลงดีเทลถึงเบื้องลึกเบื้องหลังความบาดหมางกับเพื่อนตัวดี แต่บอกเล่าความรู้สึกที่ยังฝังใจอยู่แทน หลักๆของอัลบั้มนี้เลยก็คือแกจะไม่ทำเพลงอกหักในเชิงความสัมพันธ์ฉันท์แฟน แต่เป็นมุมมองของมิตรภาพแหลกสลายที่สุดท้ายก็ต้องยอม ปล่อยให้มันเป็นอดีตไป ปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลงที่แกให้นิยามว่า apocalyptic love song อย่าง If I’m Insecure ที่ปล่อยลูกเล่นอิเล็กทรอนิกส์ร่ายรำได้งดงามราว สร้างโมเมนต์นับถอยหลังที่ทุกสิ่งอย่างเริ่มปะทุขึ้นเรื่อยๆ โดยความรู้สึกของพี่เจมส์ยังคงหนักแน่นมั่นคงอยู่ไม่จาง แล้วก็ปล่อยให้เงียบลง ถ้าได้ลองฟังจนจบเพลงจริงๆ จะได้ยินเสียงกลองอิเล็กทรอนิกส์หรืออะไรซักอย่างดังทุ้มหนึ่งตึงตอนจบเพลง เป็นจุดสิ้นสุดในบริบทเพลงด้วย
-พี่เจมส์กลับมาคราวนี้น่าจะทำให้แฟนเพลงส่วนใหญ่พึงพอใจ เผลอๆอยากจะร่อนใบสมัครเพิ่มเลยล่ะ ไม่ได้ยากเกินจะเข้าถึง ไม่ได้หม่นจนขมปี๋ ไม่ได้สว่างจ้าจนเจือจาง ถึงชื่ออัลบั้มจะออกแนว negative หรือ creepy พอๆกับปกอัลบั้ม แต่นี่คือการเราได้เห็นพี่เค้าเริ่มที่จะหาจุดบาลานซ์ในชีวิตและบทเพลงไปพร้อมๆกันด้วย สอดแทรกมุมมอง self-worth ภายใต้การสูญเสียมิตรภาพที่ฟังดูเลวร้าย สุดท้ายก็ต้องยอมรับความขมขื่นของการจากลาอยู่ดี
-จะดีกว่ามั้ยถ้าก้าวต่อไปข้างหน้าแล้วอย่ายึดติดกับใครบางคนจนเกินไปให้ทุกข์ระทมเสียเปล่า ผมคิดว่าพี่เจมส์ได้สอดแทรกแง่มุมนี้อยู่ทุกอณูเหมือนกัน แกไม่ได้ทำเพลงเพื่อเยียวยาตัวเอง แกอยากให้คนฟังเยียวยาและปรับมุมมองไปพร้อมๆกับแกด้วย มันเลยเป็นแง่มุมที่งดงามเลยทีเดียว ดีใจที่ได้เห็นพี่เจมส์มีมุมมองบวกทั้งการทำเพลงที่เริ่มเปิดกว้างกับคนฟัง เรื่องชีวิตที่เริ่มค้นพบแง่มุมดีได้อย่าชาญฉลาด จริงๆแกเทพในการรังสรรค์เพลงอยู่แล้ว ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงถึงเส้นทางใหม่ที่แกเลือกจะเดินต่อจากนี้
เก่งที่สุดคือต้องบาลานซ์ให้เป็น
Top Tracks : Famous Last Word, Life Is Not The Same, Coming Back, Funeral, Frozen, Show Me, Say What You Will, Lost Angel Night, Friends That Broke Your Heart, If I’m Insecure
Give 8.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา