21 พ.ย. 2021 เวลา 18:40 • ประวัติศาสตร์
ดินแดนไร้พ่าย!? เผยรายชื่อ 5 ประเทศ ที่กล่าวกันว่าไม่มีประเทศใดในโลกสามารถยึดดินแดนของพวกเขาได้ (ภาคสาม)
ความเดิมจากตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงรายชื่อประเทศที่ยากต่อการรุกรานและยึดครอง ซึ่งในตอนนี้เป็นบทสรุปสุดท้ายของไตรภาคนี้ กับกลุ่มประเทศที่เรายังไม่ได้กล่าวถึง ส่วนจะมีประเทศใดนั้น ลองมาติดตามกันดูครับ
1
ท่านสามารถติดตามตอนเก่าได้จากลิงค์ด้านล่างครับ
1. แคนาดา
ชาวแคนาดามีนิสัยรักสงบ พวกเขาชอบเทศกาลคริสมาสต์มากกว่าเรื่องสงครามนองเลือด แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นประเทศที่อ่อนแอหรือไม่มีทางสู้แต่อย่างใด แคนาดาเป็นประเทศที่มีเนื้อที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก และที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เปรียบเสมือนปราการธรรมชาติ ทำให้ประเทศแห่งนี้ยากต่อการรุกราน
ประเทศแคนาดาล้อมรอบด้วยน่านน้ำแข็งทั้งสามด้านจากมหาสมุทรแอตแลนติกและมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็งถึง -30 องศาเซลเซียส ด้วยสภาพอากาศที่เหน็บหนาวขนาดนี้และพายุหิมะก็เป็นสิ่งที่จะคอยขัดขวางไม่ให้กองทัพใดก็ตามบุกเข้ามาถึงแผ่นดินแม่ของประเทศแคนาดาได้
แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทาง วิธีการบุกแคนาดาได้อย่างสะดวกที่สุดคือต้องบุกจากทางตอนใต้ ซึ่งต้องผ่านประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเราได้เคยกล่าวเอาไว้ในตอนก่อน ๆ ว่านี่คือประเทศที่มีแสนยานุภาพทางทหารมากที่สุดในโลก และที่สำคัญ สหรัฐฯ และแคนาดามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน จนแทบเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเปิดฉากรุกรานประเทศแคนาดา
2
2. สวิตเซอร์แลนด์
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์มีชื่อเสียงโด่งดังด้วยสามสิ่ง ได้แก่ 1.ช็อคโกแลตสวิส 2.นาฬิกาสวิส และ 3.ความเป็นกลางท่ามกลางกระแสการเมืองที่รุนแรงในโลก สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศที่ไม่มีศัตรู และเป็นประเทศที่ชาติมหาอำนาจทุกประเทศมีข้อตกลงที่ดีร่วมกับสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้สหประชาชาติ (United Nation) มีสำนักงานใหญ่อีกแห่งที่เมืองเจนีวา ของสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศแห่งนี้อาจไม่เคยมีส่วนร่วมในความรุนแรงที่เคยเกิดขึ้น แต่พวกเขาก็มีอำนาจและมีอิทธิพลที่สุดอีกประเทศบนโลกใบนี้
ชาติมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศส เยอรมนี สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา ฯลฯ ล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อสวิตเซอร์แลนด์ โดยชาติมหาอำนาจเหล่านี้ล้วนมีสินทรัพย์ทางการเงินส่วนใหญ่ฝากเอาไว้ที่สวิตเซอร์แลนด์ ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลเลยว่าจะมีประเทศใดกล้ารุกรานสวิตเซอร์แลนด์ เพราะการทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเป็นการประกาศสงครามกับชาติมหาอำนาจเหล่านี้ไปด้วยนั่นเอง
1
และถึงแม้จะไม่มีชาติมหาอำนาจคอยช่วยเหลือ แต่สวิตเซอร์แลนด์ ก็รู้วิธีที่จะป้องกันประเทศของตัวเองได้เป็นอย่างดี พวกเขามีแผนป้องกันที่ถูกเรียกว่า Swiss National Redoubt ที่ถูกร่างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1880 ที่ว่าด้วยการวางแนวป้อมปราการบนแนวภูเขาสูงภายในประเทศ เพื่อป้องกันการรุกรานจากต่างประเทศมาตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 จนทำให้กล่าวได้ประเทศแห่งนี้เปรียบเสมือนกับป้อมปราการในตัวของมันเอง
3. ออสเตรเลีย
ประเทศออสเตรเลียมีภูมิศาสตร์ที่เปรียบเสมือนกับปราการจากธรรมชาติที่ช่วยในการสกัดกั้นการรุกรานจากผู้รุกราน ด้วยลักษณะภูมิประเทศที่เป็นเกาะขนาดใหญ่ และพื้นที่กว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประเทศแห่งนี้ ถูกปกคลุมไปด้วยชนบทอันห่างไกล ทะเลทรายอันแห้งแล้งที่ทอดยาวไปทั่วประเทศ จนแทบไม่เห็นพืชหรือสัตว์กินระยะทางหลายพันกิโลเมตร ศัตรูที่ใกล้เคียงที่สุดที่จะเป็นผู้รุกรานประเทศออสเตรเลียคือญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดยทั้งสองประเทศถูกกั้นกลางโดยมหาสมุทรแปซิฟิกที่กินระยะทางกว่า 11,000 กิโลเมตร
ญี่ปุ่นในขณะนั้นมีความคิดและแผนการที่จะรุกรานประเทศออสเตรเลียอยู่เหมือนกัน เพียงแต่สุดท้ายสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น ด้วยหลายปัจจัย เช่น ระยะทางระหว่างสองประเทศที่ห่างไกลจนเกินไป ญี่ปุ่นยังไม่สามารถพิชิตจีนแผ่นดินใหญ่ได้สำเร็จ พวกเขาเปิดแนวรบไว้หลายด้าน ทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรที่จำเป็นในการนำมาใช้เพื่อทำสงครามไม่เพียงพอ
สมมุติว่าถ้าญี่ปุ่นสามารถบุกถึงแผ่นดินแม่ของประเทศออสเตรเลียได้ ก็ไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะสามารถพิชิตดินแดนแห่งนี้ได้หรือไม่ เพราะพวกเขาจะต้องพบกับสภาพภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยทะเลทราย ชนบทที่ห่างไกลไม่มีที่สิ้นสุด และพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากกลุ่มนักรบชนเผ่าต่าง ๆ ที่จะใช้ความได้เปรียบจากภูมิประเทศทำสงครามกองโจรกับฝ่ายญี่ปุ่นประสานกับกองทัพออสเตรเลีย ซึ่งเข้าใจได้ว่ากองทัพญี่ปุ่นในขณะนั้นพวกเขามีความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญมากเพียงใด แต่พวกเขาไม่น่าจะยึดครองออสเตรเลียได้อยู่ดี
2
4. เวียดนาม
ในภูมิภาคอาเซียนยังมีอีกประเทศหนึ่ง ที่ถูกขนานนามว่าเป็นประเทศที่ยากต่อการรุกรานและยึดครอง ได้แก่ เวียดนาม ประเทศแห่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามใหญ่ ๆ มาตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 13 พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการรุกรานจากกองทัพจักรวรรดิมองโกลของกุบไลข่าน ที่พยายามจะเข้ามายึดครองดินแดนแห่งนี้ถึงสามครั้งสามครา แต่พวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ
เวียดนามสามารถรักษาความเป็นเอกราชจากการรุกรานและครอบงำจากจักรวรรดิจีนมาได้อย่างยาวนาน จนกระทั่งในปี ค.ศ.1858 พวกเขาถูกเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสเปิดฉากรุกราน และตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสเรื่อยมาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าอาณานิคมรายใหม่อย่างจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เข้ามามีอิทธิพลในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แน่นอนว่าในช่วงเวลาดังกล่าว ถึงแม้ว่าเวียดนามจะตกอยู่ภายใต้การปกครองของชาติมหาอำนาจอย่างฝรั่งเศสและญี่ปุ่น แต่ชาวเวียดนามยังคงต่อสู้เพื่อขับไล่ข้าศึกออกไปจากเวียดนาม จนกระทั่งญี่ปุ่นยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สองและถอนกำลังทหารออกมา และพวกเขาได้ขับไล่เจ้าอาณานิคมเดิมอย่างฝรั่งเศส จนสามารถเอาชนะพวกเขาได้ในยุทธการที่เดียนเบียนฟู จนได้รับเอกราช แต่ประเทศก็ถูกแบ่งเป็นสอง
1
ต่อมาพวกเขาได้ผนวกรวมดินแดนเวียดนามใต้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง และได้ทำสงครามกับชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่แม้กองทัพของพวกเขาจะมีแสนยานุภาพเทียบไม่ได้กับกองทัพสหรัฐฯ แต่ด้วยความชำนาญในภูมิศาสตร์ และมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการรวมแผ่นดิน จนทำให้ภายหลัง สหรัฐฯ ได้ถอนตัวออกจากเวียดนามไปในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าเวียดนามเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงและป่าดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทำให้กลายเป็นข้อได้เปรียบของชาวเวียดนามในการทำสงครามแบบกองโจร ที่กล่าวได้ว่าถึงแม้ว่ากองทัพชาติมหาอำนาจจะสามารถยึดเวียดนามได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะปกครองดินแดนแห่งนี้ได้โดยไม่ถูกต่อต้านอยู่ดี ดังเช่นที่ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ได้ประสบพบเจอมาแล้ว
1
5. อิสราเอล
อิสราเอลเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ในดินแดนที่รายล้อมไปด้วยคู่กรณีจากชาติมุสลิมมากมาย และพวกเขามีส่วนร่วมในการทำสงครามกับกลุ่มประเทศมุสลิมมากถึง 8 ครั้งตลอดระยะเวลากว่า 69 ปี และที่สำคัญ พวกเขาไม่เคยแพ้สงครามเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ด้วยความที่ประเทศเพื่อนบ้านของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยประเทศคู่กรณีมากมาย เลยทำให้กองทัพอิสราเอลมีกำลังพลราว 176,000 นาย และพลเมืองทั้งชายและหญิงทุกคนในประเทศจะต้องถูกเกณฑ์ทหาร โดยผู้หญิงจะต้องเข้ารับการฝึกเป็นเวลา 24 เดือน ส่วนผู้ชายจะต้องเข้ารับการฝึกทหาร 36 เดือน ซึ่งหมายความว่าชาวอิสราเอลเกือบหนึ่งล้านคนที่ได้รับการฝึกทหารแล้ว พร้อมเข้าสู่สนามรบได้ทันทีถ้าหากรัฐบาลต้องการพวกเขา
นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีระบบป้องกันประเทศที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในโลกอย่าง 'Iron Dome' ระบบป้องกันภัยทางอากาศทุกลมฟ้าอากาศเคลื่อนที่ ที่ถูกพัฒนาโดยบริษัท Rafael Advanced Defense Systems ที่เป็นระบบขีปนาวุธที่ถูกออกแบบมาเพื่อขัดขวางและทำลายจรวดพิสัยใกล้และระเบิดปืนใหญ่ที่ยิงมาจากระยะ 4 – 70 กิโลเมตร ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อต้านสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
และเหนือสิ่งอื่นใด อิสราเอลมีความใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก ซึ่งกล่าวได้ว่าถึงแม้ว่าอิสราเอลจะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ก็มีกองทัพที่มีความพร้อมสูง ระบบป้องกันประเทศที่มีประสิทธิภาพ และอิทธิพลทางการเมืองบนเวทีโลกในระดับสูงอีกด้วย
ข้อมูลจาก : BUDDYMANTRA.COM, WONDERSLIST.COM, WIKIPEDIA
โฆษณา