24 พ.ย. 2021 เวลา 03:50 • ธุรกิจ
ทำไม “ช้างดาว” ถึงเป็น รองเท้าเเตะในตำนาน มากว่า 6 ทศวรรษ
รองเท้าแตะพื้นสีขาว หูหนีบสีน้ำเงิน
บอกแค่นี้หลายคนอาจจะเดาได้ทันทีว่านี่คือ รองเท้าแตะตรา “ช้างดาว”
แม้ว่าจะเป็นสินค้าเรียบง่ายและแสนจะธรรมดา
แต่รู้หรือไม่ว่า สินค้านี้อยู่คู่กับคนไทยมานานกว่า 6 ทศวรรษ..
กลยุทธ์ของ รองเท้าแตะช้างดาว ที่สามารถทำธุรกิจมานานกว่า 60 ปี เป็นอย่างไร ?
THE BRIEFCASE จะสรุปให้ฟัง
1. จากลูกจ้างขายเหล็ก สู่เจ้าของธุรกิจซื้อมาขายไป
จุดเริ่มต้นของรองเท้าแตะตราช้างดาว เกิดจากเด็กชายชาวจีน ซู ถิง ฟาง หรือ คุณวิชัย ซอโสตถิกุล ผู้ที่ออกเดินทางจากเมืองจีนพร้อมครอบครัว เพื่อมาแสวงหาโอกาสในชีวิตที่ดีกว่าเดิม โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ “แผ่นดินสยาม”
คุณวิชัย เริ่มต้นทำหน้าที่ขายเหล็กในโรงงานของคุณอาที่เดินทางมาตั้งรกรากก่อน ก่อนที่จะเปลี่ยนไปทำงานในโรงไม้ จนสุดท้ายมาเริ่มทำธุรกิจซื้อมาขายไปเป็นของตัวเอง
แต่ในช่วงที่เขาทำธุรกิจซื้อมาขายไปเป็นของตนเองนั้น กลับเป็นช่วงที่ประเทศไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตาม เขาและครอบครัวก็พยายามประคับประคองธุรกิจซื้อมาขายไป จนพ้นจากภาวะสงคราม
หลังจากนั้น จึงเริ่มติดต่อทำธุรกิจกับนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ เพื่อนำรองเท้าผ้าใบแบรนด์ “หนำเอี๊ย” มาขายในประเทศไทย
2. จากธุรกิจซื้อมาขายไป สู่ธุรกิจผลิตสินค้า
แม้ช่วงแรกที่นำรองเท้าผ้าใบหนำเอี๊ยมาขาย ขายไปก็จะยังขาดทุน แต่เมื่อเวลาผ่านไป รองเท้าผ้าใบหนำเอี๊ย ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในหมู่คนไทยมากขึ้น
คุณวิชัย จึงตัดสินใจที่จะหันมานำเข้ารองเท้าผ้าใบอย่างเดียว และเปลี่ยนชื่อรองเท้าหนำเอี๊ยที่รับมาขายในไทย ให้มีความเป็นสากลมากขึ้นว่า “หนันยาง” ซึ่งคนไทยเรียกต่อ ๆ มาเรื่อย ๆ ก็กลายเป็น “นันยาง”
และภายหลังก็พร้อมทั้งจดทะเบียน “นันยาง ตราช้างดาว” ขึ้นในปี 2492
เมื่อมั่นใจว่า ธุรกิจรองเท้าผ้าใบจะไปได้สวย และกิจการก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาจึงตัดสินใจ ซื้อกิจการและวิธีการผลิตจากสิงคโปร์ แล้วก่อตั้ง บริษัท ผลิตยางนันยาง (ไทย) จำกัด เพื่อผลิตรองเท้าผ้าใบนันยาง
3. จากรองเท้าผ้าใบ สู่รองเท้าแตะพันล้าน
หลังจากผลิตและจำหน่ายรองเท้าผ้าใบไปแล้ว ในปี 2499 คุณวิชัย ตัดสินใจผลิต “รองเท้าแตะ” ออกสู่ตลาด
เพราะมองว่า รองเท้าแตะ น่าจะเข้าถึงวิถีชีวิตคนไทยที่มักจะเดินทางไปไหนมาไหน และถอดรองเท้าบ่อย ๆ ทำให้การใส่รองเท้าแตะ เกิดความสะดวกและตอบโจทย์ตรงจุดนี้ได้
คุณวิชัยจึงทำธุรกิจรองเท้าแตะที่มีชื่อว่า “รองเท้าแตะตราช้างดาว”
แล้วจุดเด่นของ รองเท้าแตะตราช้างดาว ที่ทำให้คนไทยต่างติดใจ คืออะไร ?
นับจากตั้งแต่วันแรกที่รองเท้าแตะตราช้างดาวถูกผลิตขึ้น รูปทรงของรองเท้าแตะนั้น แทบไม่เคยเปลี่ยนไปกว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมา
โดยในช่วงแรกนั้น กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของรองเท้าแตะหูหนีบตราช้างดาว มักจะเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน คนทำงาน ผู้ที่มีรายได้ไม่สูง และต้องการเลือกซื้อรองเท้าแตะที่มีความทนทานและคุ้มค่า
พูดง่าย ๆ ว่าจุดเด่นของ รองเท้าแตะตราช้างดาว นั่นคือ
1. ความทนทาน ผลิตมาจากยางพาราธรรมชาติ 100% และราคาที่เอื้อมถึงได้ คือจุดเด่นของรองเท้าแตะตราช้างดาว โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เปิดตัวใหม่ ๆ
ทั้งนี้ การใช้ยางพาราธรรมชาติ 100% ไม่เพียงแต่ช่วยเรื่องความทนทานเท่านั้น แต่นับเป็นการสนับสนุนธุรกิจยางพาราของเกษตรกรไทย
ปัจจุบัน รองเท้าแตะตราช้างดาว ยังมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, จีน และประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วย
2. การปรับตัวตามยุคสมัย
แม้ว่า รองเท้าแตะตราช้างดาว จะมีภาพลักษณ์สินค้าที่คนไทยต่างจำได้
แต่โอกาสสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ตามยุคสมัยใหม่ ก็เป็นเรื่องสำคัญของธุรกิจยุคนี้เช่นกัน
ผู้บริหารรุ่นต่อมาของนันยางมองว่า รองเท้าแตะตราช้างดาว จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย
เราจึงเริ่มเห็นการพัฒนารองเท้าแตะให้มีหลายสีสัน ปรับภาพลักษณ์สินค้าให้เข้ากับคนรุ่นใหม่ได้ เพื่อให้มีความเป็นแฟชั่นมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับตัวตามโอกาสที่เกิดขึ้นของผู้บริโภค ไม่ว่าจะเป็น
- การผลิตรองเท้าแตะสีเหลือง น้ำตาล รุ่นสำหรับพระสงฆ์
- การผลิตรองเท้า “KHYA” (ขยะ) ซึ่งเป็นการนำขยะจากทะเลมาผ่านกระบวนการผลิตให้กลายเป็นรองเท้าแตะคู่ใหม่ รับกระแสปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมที่สังคมกำลังให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ
จากเรื่องราวกว่า 6 ทศวรรษที่ผ่านมาของ รองเท้าแตะตราช้างดาว
ไม่เพียงจะเห็นถึงความสำคัญของ “คุณภาพของสินค้า” แต่ยังรวมไปถึง “การมองเห็นโอกาส” เพื่อปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยอย่างต่อเนื่อง
หากวันนี้เรากำลังทำธุรกิจอะไรอยู่ ลองดูรองเท้าแตะตราช้างดาวเป็นกรณีศึกษาเพื่อนำแนวคิดและกลยุทธ์ไปปรับใช้
ไม่แน่ว่า วันหนึ่งเราก็อาจประสบความสำเร็จเหมือนอย่างรองเท้าแตะตราช้างดาว ก็เป็นได้..
References
โฆษณา