25 พ.ย. 2021 เวลา 04:13 • ประวัติศาสตร์
พระสูตร “เป่า เชี่ย อิ้น ถัว หลัว หนี”
(พระสูตรว่าด้วยพระบรมธาตุทั่ววรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์)
สรฺว ตถาคตา ธิษฺฐาน หฤทย คุหฺย ธาตุ ครณฺฑ มุทฺราธารณี สูตฺร
ข้าพเจ้าได้สดับมาดังนี้ สมัยหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาค ได้ประทับที่เมืองมคธในสระรัตนภาโบกขรณีภายในวิมลาอุทยาน พรั่งพร้อมไปด้วยมหาโพธิสัตว์และมหาสาวกเทพยดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค มนุษย์และอมนุษย์ทุกหมู่เหล่า จํานวนนับร้อยนับพันพ้นประมาณแวดล้อมพระพุทธองค์อยู่ตลอดเบื้องหน้าและเบื้องหลัง
ในครั้งนั้น ณ ท่ามกลางหมู่ชน มีมหาพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ “วิมลสุภา”เป็นผู้พหูสูต ฉลาดหลักแหลม ทั้งเป็นที่ยินดีแก่ผู้ได้ประสบ เป็นผู้ดำเนินทศกุศลจริยาอยู่เสมอ ศรัทธายึดมั่นพระรัตนตรัยเป็นสรณะ เป็นผู้มีจิตยิ่งในกุศล มีปัญญาญาณสุขุมคัมภีรภาพ ปรารถนาให้สรรพสัตว์ทั้งปวงได้สมบูรณ์ซึ่งประโยชน์อันดีงามและถึงพร้อมในมหาธนรัตนสารสมบัติทั้งปวงอยู่เนืองนิตย์
กาลนั้น วิมลสุภาพราหมณ์ได้ลุกขึ้นจากอาสนะ เข้าไปถวายบังคมพระพุทธองค์ยังที่ประทับ แล้วประทักษิณาวัตรเจ็ดรอบ น้อมถวายมวลบุปผชาติและสุคันธชาติเป็นเครื่องสักการะแด่พระโลกนาถเจ้ายังน้อมถวายอาภรณ์ สร้อยเกยูรรัตนศิราภรณ์อันประมาณค่ามิได้เพื่อประดับยังพระพุทธสรีระน้อมศีรษะนมัสการที่พระบาททั้งสองของพระศาสดา แล้วมายืนอยู่ด้านหนึ่งทูลอาราธนาว่า “ข้าแต่พระโลกนาถเจ้าผู้ประเสริฐ พร้อมด้วยมหาสาวกทั้งปวงในยามรุ่งพรุ่งนี้ขอพระองค์โปรดเสด็จยังเรือนของข้าพระองค์ เพื่อรับการถวายสักการะด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
สมัยนั้น พระโลกนาถเจ้า ทรงดุษณียภาพนิ่งอยู่โดยอาการ ครั้นเมื่อพราหมณ์ทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับนิมนต์แล้ว จึงรีบกลับเรือนในทันที ตลอดราตรีได้ปรุงโภชนาหาร อันเป็นภัตคือเครื่องขบฉัน เครื่องดื่มนานาชนิด ขัดล้างเคหสถาน ประดับธงทิวแลร่มฉัตรจนถึงเพลาอรุโณทัย ครั้นแล้วจึงพร้อมด้วยครอบครัวบริวาร ต่างถือบรรดาเครื่องหอมและมวลมาลีพร้อมกับเครื่องสังคีตดนตรีทั้งปวง ไปยังสำนักแห่งพระตถาคตเจ้าแล้วกราบทูลว่า “ถึงเพลาแล้วขอพระองค์เสด็จเถิดพระเจ้าข้า”
บัดนั้น พระโลกนาถเจ้าได้ตรัสตอบวิมลสุภาพราหมณ์ แล้วทรงประกาศแก่มหาชนอันประกอบด้วยพระสาวกว่า“ พวกเธอควรไปยังเคหสถานแห่งพราหมณ์ เพื่อรับการสักการะเถิดซึ่งจะเป็นเหตุให้พราหมณ์นั้นได้รับประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่”
ครั้นแล้ว พระโลกนาถเจ้าจึงทรงลุกขึ้นจากบัลลังก์อาสน์ ทันทีที่ทรงลุกจากอาสนะ พระวรกายได้เปล่งรัศมีสว่างไสวนานัปการวิจิตรงดงามอันหามิได้ในโลก ส่องสว่างไปในทิศทั้งสิบทำให้โลกธาตุทั้งหลาย) ได้รู้ถึงนิมิตมงคลจากนั้นก็ได้เสด็จพุทธดำเนิน
ครั้งนั้น พราหมณ์ก็ถือเอาเครื่องหอมและดอกไม้ขึ้นด้วยความเลื่อมใสพร้อมกับบริวาร เทพเจ้า นาค และสัตว์ในคติทั้งแปด ท้าวสักกะพรหมราช และท้าวจตุโลกบาล เทวราชได้นำเสด็จล่วงหน้าไปเพื่อจัดแจงทางพระดำเนินของพระตถาคตเจ้า
เมื่อพระโลกนาถเสด็จไปไม่ไกลนักถึงอุทยานแห่งหนึ่งชื่อ มหาธนะ ในอุทยานนั้น มีกองสถูปโบราณที่พังทลายลงแล้วปกคลุมไปด้วยขวากหนามต้นไม้ต้นหญ้าเศษกระเบื้องจนมีลักษณะคล้ายเนินดิน
พระโลกนาถเจ้าได้เสด็จไปยังสถูปนั้น บัดนั้นเบื้องบนของสถูปได้เปล่งแสงรัศมีสว่างไสว แล้วมีเสียงจากเนินดินนั้นว่า “สาธุ สาธุ พระศากยมุนี วันนี้พระองค์จะได้กระทำจริยาอันเป็นกุศลที่ประเสริฐสุดและพราหมณ์ในวันนี้เธอจักได้รับกุศลและประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่”
บัดนั้น พระโลกนาถเจ้า จึงสักการะซากสถูป โดยประทักษิณสามรอบ ทรงเปลื้องจีวรแล้วห่มให้สถูปนั้น ทรงหลั่งน้ำพระเนตร แล้วแย้มสรวลในสมัยนั้น บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งปวงในทศทิศที่ทอดพระเนตรเหตุการณ์นี้อยู่ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรเช่นกัน แล้วทรงเปล่งรัศมีมายังสถูปนี้ บรรดามหาชนก็พากันตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็ปรารถนาจะรู้ถึงปริศนาประการนี้
ครั้งนั้น บรรดาพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ก็ล้วนหลั่งน้ำตา ผู้รุ่งเรืองด้วยเปลวเพลิงถือวัชราวุธกวัดแกว่งไปมา เข้ามาถวายบังคมพระพุทธองค์ยังที่ประทับแล้วทูลว่า “ข้า แต่พระโลกนาถด้วยเหตุปัจจัยเช่นไร จึงปรากฏแสงสว่างขึ้นเช่นนี้ เหตุใดหนอดวงพระเนตรแห่งพระตถาคตจึงหลังพระอัสสุชลปานนี้ เช่นไรหนอบรรดาพระพุทธเจ้าในทิศทั้งสิบ จึงเปล่งพระรัศมีเช่นนี้ ขอพระตถาคตโปรดประทานไขข้อกังขาแก่มหาชนด้วยเถิดพระเจ้าข้า”
เมื่อนั้น พระพุทธองค์ตรัสกับพระวัชรปาณีว่า “นี้คือรัตนสถูปที่รวบรวมแห่งพระบรมธาตุทั่ววรกายของพระพุทธเจ้าจำนวนประมาณพระองค์มิได้ หฤทัยธารหยมุทราอันเร้นลับสำคัญยิ่งจำนวนนับโกฏิก็ประดิษฐานอยู่ภายใน
ดูก่อนวัชรปาณี เพราะมีพระธรรมที่สำคัญอยู่ภายใน แต่สถูปกลับพังทลาย ทับถม ไร้ผู้ไยดี ประดุจเมล็ดงา พึงทราบเถิดว่า วรกายของพระพุทธเจ้า จำนวนร้อยพันโกฏิพระองค์ ก็เป็นดุจเมล็ดงาเช่นกันนี้ พระบรมธาตุทั่วพระวรกายของพระตถาคตเจ้า 3 จำนวนร้อยพันโกฏิ ก็รวบรวมไว้ในที่แห่งนี้ตลอดจนธรรมขันธ์ทั้งแปดหมื่นสี่พันก็ประดิษฐานอยู่ภายในเช่นกัน “พระอุษณีษะของพระพุทธเจ้า จำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ก็ประดิษฐานอยู่ภายในด้วยความวิเศษเช่นนี้ สถานทั้งปวงที่สถูปนี้ได้ก่อตั้งขึ้น จะมีฤทธานุภาพมาก สามารถยังให้ความเป็นมงคลมีอยู่ทั่วโลกธาตุทั้งปวง”
ครั้งนั้น เมื่อบรรดามหาชนได้ยินพระวจนะนี้แล้ว จึงได้ไกลจากกิเลสธุลีปทาน สิ้นความเศร้าหมองแห่งจิต ได้บรรลุธรรมจักษุบริสุทธิ์ครั้งนั้น เพราะมหาชนมีพีชะต่างกัน จึงได้เสวยผลต่างกัน มีโสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหันตผล ปัจเจกพุทธมรรค และโพธิสัตวมรรค เป็นโพธิสัตว์ผู้ไม่ถอยกลับ ซึ่งต่างก็ได้บรรลุหนึ่งในทั้งหมดนี้ บ้างก็บรรลุปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตราบถึงทศภูมิ บ้างก็ได้สมบูรณ์พร้อมซึ่งปารมิตาหกประการ พราหมณ์นั้นก็ได้ไกลจากกิเลสธุลี ได้บรรลุเบญจอภิญญา
ในสมัยนั้น เมื่อพระวัชรปาณีได้พบเหตุการณ์ประหลาดและหาได้ยากยิ่งนี้แล้ว จึงกราบทูลพระโลกนาถเจ้าว่า “น่าอัศจรรย์ยิ่งนักๆ เพียงได้ยินเรื่องราวนี้ ก็ทำให้สำเร็จกุศลที่วิเศษเช่นนี้แล้ว จักประสาใดกับการได้ยินข้อความที่ลึกซึ้งจนเกิดจิตศรัทธาแล้วได้บรรลุถึงกุศลนั้นอีกเล่า
มีรับสั่งว่า“ เธอจงสดับเถิดวัชรปาณี ในอนาคต เบื้องหน้า กุลบุตร กุลธิดาและพุทธบริษัทสี่หมู่อันเป็นสานุศิษย์แห่งเราได้บังเกิดจิตศรัทธา จารึกพระธรรมสูตรนี้ แม้เพียงหนึ่ง ก็เหมือนได้จารึกพระธรรมสูตรทั้งปวง ที่พระพุทธตถาคตจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิ ได้แสดงแล้วทั้งได้ปลูกฝังกุศลมูลต่อพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏินั้น ด้วยซึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้นจักอภิเษกและคุ้มครอง เหมือนรักษาดวงตาอันเป็นที่รัก ประดุจมารดาที่รักและดูแลบุตรฉะนั้น
หากมีผู้สาธยายพระธรรมนี้ ก็เหมือนได้สาธยายพระธรรมของพระพุทธเจ้าในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ตรัสไว้ เหตุนี้พระบรมธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ที่ถูกละทิ้งดุจเมล็ดงาที่ทับถมอยู่นี้จักปรากฏพุทธกายเพื่ออภิเษกให้บุคคลนั้นตลอดกลางวันและกลางคืน พระพุทธเจ้าทั้งหลายจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาที่นับจำนวนพระองค์มิได้ นี้ก็ยังคงรวมกันอยู่มหายไป จะเสด็จมาเป็นกลุ่มมิขาดสาย ในขณะเดียวก็เสด็จมาเพิ่มขึ้น ดุจเม็ดทรายในกระแสน้ำวนที่เชี่ยวกรากมิหยุดนิ่งเวียนวนไปมา
หากมีบุคคลนำเครื่องหอม ดอกไม้ เครื่องทําหอม พวงมาลา อาภรณ์แพรพรรณ สิ่งของวิจิตรประณีตทั้งปวง ถวายสักการะต่อพระสูตรนี้ ย่อมเหมือนการบูชาพระพุทธเจ้า จำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิ ด้วยของหอม และดอกไม้อาภรณ์ และสิ่งของอลังการที่เป็นทิพย์ ประกอบด้วยรัตนะทั้งเจ็ด เหมือนการนำเอาเขาสุเมรุถวายทั้งหมดการปลูกฝังกุศลมูลก็เป็นเช่นนี้
ครั้งนั้น บรรดาเทพ นาค และสัตว์ในคติแปด มนุษย์และอมนุษย์ทั้งปวง ที่ได้ฟังพระพุทธวจนะเช่นนี้ ต่างมีมนสิการว่า“ น่าอัศจรรย์ยิ่งแล้ว เนินดินนี้เพราะมีอานุภาพแห่งพระตถาคตเจ้าอภิเษกอยู่ จึงมีอิทธิฤทธิ์อย่างนี้”
พระวัชรปาณีทูลว่า“ ข้าแต่พระโลกนาถเจ้า ด้วยเหตุปัจจัยใดหนอที่สัปตรัตนสถูปนี้ จึงปรากฏเป็นเพียงเนินดินพระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “นี่หาใช่เนินดินไม่ แต่คือมหารัตนสถูปอันวิเศษ เพราะกรรมวิบากของสรรพสัตว์ เป็นเหตุให้พระสถูปปิดเส้นไว้ ไม่ปรากฏเพราะพระสถูปปิดเส้นไว้เป็นเหตุพระวรกาย(พระบรมธาตุ) ของพระตถาคตเจ้าจึงมิถูกทำลาย กายของตถาคตเป็นวัชรครรภ์จักทำลายได้อย่างไร หากตถาคตปรินิพพานแล้ว ในอนาคตเมื่อถึงยุคที่พระธรรมเสื่อมสูญ หากมีสรรพสัตว์ประพฤติสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมจะต้องตกนรก เมื่อไม่ศรัทธาพระรัตนตรัย ไม่ปลูกฝังความดีงาม ด้วยเหตุปัจจัยนี้พุทธธรรม จึงซ่อนเร้นอยู่เหมือนสถูปนี้ที่ยังแข็งแกร่งมิเสื่อมสลายเพราะพลานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลายรักษาอยู่ สรรพสัตว์ที่ไร้ปัญญาญาณ มีกิเลสเป็นเครื่องปิดกั้น จึงละเลยซึ่งสิ่งล้ำค่ายิ่งนี้ให้ศูนย์ ซึ่งคุณประโยชน์ ด้วยเหตุนี้ตถาคตจึงหลั่งน้ำตาและพระตถาคตทั้งหลายก็เช่นกัน”
จากนั้นตรัสกับพระวัชรปาณีว่า “หากสรรพสัตว์จารึกพระสูตรนี้ บรรจุในสถูป สถูปนั้นจะคือวัชรครรภ์ สถูปของพระพุทธเจ้าทั้งปวง คือสถูปแห่งธารณีของพระพุทธเจ้าทั้งปวง คือสถูปแห่งพระพุทธเจ้าจำนวนเก้าสิบเก้าร้อยพันหมื่นโกฏิ คือสถูปที่ประดิษฐานกระดูกส่วนบนสุดของศีรษะ และดวงตาของพระพุทธเจ้าทั้งปวง อันพระพุทธเจ้าทั้งปวงปกป้องรักษาอยู่
หากว่าภายในพุทธปฏิมา หรือสถูป มีธรรมสูตรนี้บรรจุอยู่ ปฏิมานั้นจะดุจสร้างขึ้นด้วยรัตนะทั้ง ๗ มีความศักดิ์สิทธิ์ความปรารถนาจะสำเร็จทุกประการ
หากสร้างฉัตร ชาลมาลา ร่มกันน้ำค้าง ประดับด้วยกระดิ่งกังสดาล ก่อเสาด้วยศิลาหรือสร้างฐานขั้นบันได ถวายสถูปนั้นตามกำลังที่ทำได้ แม้สร้างด้วยดิน ไม้ ศิลาฤ ด้วยอิฐ เพราะอำนาจของพระสูตรนี้ จักทำให้สำเร็จเป็นรัตนะ ๗ ประการพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็ทรงอภิเษกอำนาจให้แก่พระสูตรนี้ ได้ตรัสเป็นสัจจะว่าจะตามอภิเษกอยู่มิขาดสิ้น
หากมีสรรพสัตว์สามารถสักการะบูชาสถูปนี้ ด้วยของหอมเพียงหนึ่ง หรือดอกไม้เพียงหนึ่ง อกุศลกรรมในสังสารวัฏ จำนวนแปดสิบโกฎิกัลป์ จะสิ้นไปในคราเดียว หากถือกำเนิดจะปราศจากเคราะห์ภัย เมื่อสิ้นชีพจะเกิดในพุทธสถาน หากควรตกอเวจีมหานรก เมื่อนมัสการหรือประทักษิณสถูปหนึ่งรอบ ทวารแห่งนรกจะปิดลง หนทางแห่งความรู้แจ้งจะเปิดออก ไม่ว่าสถูปหรือปฏิมาประดิษฐานที่แห่งใด พลานุภาพของพระพุทธเจ้าทั้งปวง จักคุ้มครองที่แห่งนั้น ต้องพบอันตรายจากพายุร้าย หรือฟ้าร้อง ฟ้าผ่า หรือถูกอสรพิษ แมลง หนอนพิษ และสัตว์มีพิษร้ายทำร้าย ไม่ต้องถูกสิงโต ช้าง เสือ สุนัขป่า ผึ้งป่าทำร้าย มิถูกยักษ์รากษส ปีศาจ ภูตผีต่างๆ ทำให้ตื่นตระหนกไม่ต้องเป็นโรคจากอากาศร้อนและหนาว รวมทั้งโรคเรื้อนผิวหนังเปื่อยเน่า หลังโกง ฝีฝักบัว ฯลฯ
หากผู้ใดพบเห็นสถูปนี้เพียงชั่วขณะ ภยันตรายทั้งปวงจะถูกกำจัดหมดสิ้น มนุษย์และสัตว์เลี้ยงหกชนิด บุตรชาย บุตรหญิง ไม่ต้องรับทุกข์ทรมานจากโรคระบาดกาฬโรค มิต้องมรณะก่อนเวลาอันควร มิต้องเป็นผู้มีชาตะสั้น มิถูกทำร้ายด้วยศาตราวุธ ของมีคม และไฟ มิถูกกรรโชก แย่งชิง มิถูกปองร้ายจากศัตรู แลมิต้องทุกข์ เพราะความยากจนอาถรรพ์ และเวทย์มนตร์ มิอาจทำอันตรายได้
เทวราชทั้ง ๔ พร้อมบริวารจะตามอารักขาตลอดกลางวันและกลางคืน เทพแห่งดวงดาวทั้งยี่สิบแปดกลุ่ม มหายักษ์เสนาบดี สุริยเทพ จันทรเทพ เบญจดาราเทพ กลุ่มเมฆาและดาวหางก็จักตามปกปักดูแลตลอด บรรดานาคราชทั้งปวงจักยิ่งบันดาลฝนตกตามฤดูกาล เทพเจ้าและเทพชั้นดาวดึงส์จะลงจากทิพยพิมานวันละสามครั้ง เพื่อบูชาบรรดาวิทยาธรทั้งปวง ก็จะประชุมกันวันละสามครั้ง เพื่อขับร้องสดุดีและบูชา ท้าวสักกะพร้อมด้วยเทพธิดาทั้งหลาย ทั้งสามเวลาก็เสด็จลงมา เพื่อสักการะเพราะสถานที่นั้นพระตถาคตเจ้าทั้งปวงทรงอภิเษกและตามระลึกถึงอยู่ เพราะมีการน้อมรับในพระธรรมสูตรและพระสถูปนี้
หากผู้ก่อสร้างสถูปด้วยหินศิลา ไม้ ทอง เงิน ทองแดง ตะกั่ว แล้วจารึกธารณีนี้บรรจุไว้ภายใน เมื่อธารณีนี้บรรจุไว้แล้ว สถูปนั้นจะประดุจสร้างด้วยรัตนะ ๗ ประการ ทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง ขั้นบันได ร่มฉัตรที่กางกั้นน้ำค้าง กระดิ่งกังสดาล เสาค้ำก็ล้วนคือรัตนะ ๗ ประการ ทิศทั้ง ๔ ของสถูปจะปรากฏกายของพระพุทธเจ้า เพราะพระธรรมนี้เป็นเหตุพระพุทธเจ้าทั้งปวงจึงประทับรักษาอยู่ตลอดกลางวันและกลางคืน
พระวัชรปาณีทูลว่า “เพราะเหตุปัจจัยใดพระสูตรนี้ จึงมีกุศลที่วิเศษยิ่งนักพระเจ้าข้า” ตรัสว่า “เป็นเพราะฤทธานุภาพของรัตนครัณฑมุทราธารณีมนตร์นี้ทูลว่า“ ขอพระตถาคตเจ้า โปรดเมตตาหมู่ข้าพระองค์ ตรัสธารณีมนตร์นี้เถิด พระเจ้าข้า”
ตรัสว่า“ จงสดับและตรึกตรองไว้ในจิตอย่าได้เลือน พระพุทธเจ้าทั้งปวงในปัจจุบันและอนาคตได้แบ่งกายมาสถิตอยู่ก่อนแล้ว พระบรมธาตุทั่ววรกายของพระพุทธเจ้าในอดีตก็ประดิษฐานอยู่ในรัตนณฑมุทราธารณีมนตร์ทั้งสิ้น ตรีกาย ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประดิษฐานอยู่ภายในเช่นกัน”
ครั้งนั้น พระพุทธโลกนาถ ทรงแสดงธารณีมนต์ดังนี้
นมัสะ ตรัยะ-ธวิกานาม สะรวะ ตถาคตานาม โอม ภุวิ-ภวนะ วเร ว-จเร ว-จเต จุล-จุล ธระ-ธระ
สรวะ ตถาคะตะ ธาตุ ธเร ปัทมามัม ภวติ ชยะ วเร มุจุเล สะมะระ ตถาคะตะ ธัมมะ จักระ ประ-วะ รัตนะ วัชเรโ พธิ-มัณฑะ อลัมการะ อลัมกฤเต
สะรวะ ตถาคะตะ-อธิษฐิเต โพธายะ-โพธายะ โพธิ-โพธิ พุทธะยะ-พุทธะยะ สัมโพธะนิ-สัมโพธะยะ
จะละ-จะละ จลันตุ สะรวะ อาวรณานิ สะรวะ ปาปะ วิคะเต หุรุ หุรุ สะรวะ โศกะ วิคะเต
สะรวะ ตถาคะตะ หฤทัยะ วัชะริณี สัมภะระ สัมภะระ สะรวะ ตถาคะตะ คุหะยะ ธารณี มุทเร
พุทเธ สุพุทเธ สะรวะ ตถาคะตะ อธิษฐิตะ ธาตุ คระเภ สวาหา สะมะยะ อธิษฐิเต สวาหา
สะรวะ ตถาคะตะ หฤทัยะ ธาตุ มุทเร สวาหา สุ-ประดิษฐิตะ สถูเป ตถาคะตะ-อธิษฐิเต หุรุ หุรุ หูม หูม สวาหา
โอม สะรวะ ตถาคะตะ อุษณีษะ ธาตุ มุทราณิ สะรวะ ตถาคะตะนาม สะธาตุ วิภูษิตะ อธิษฐิเต หูม หูม สวาหาฯ
เมื่อพระพุทธองค์ตรัสธารณีมนตร์นี้แล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประดิษฐานในเนินดินทรงสรรเสริญว่า “สาธุ สาธุ พระศากยมุนีโลกนาถ ผู้ทรงพ้นจากโลกแห่งอบายแลความเสื่อม เพื่อยังหิตานุทิตประโยชน์แก่สรรพสัตว์ผู้ไร้ที่พึ่ง พระองค์ได้แสดงคัมภีรธรรมเช่นนี้ เพื่อให้พระธรรมคงอยู่ในโลกธาตุตลอดไป เพื่อยังประโยชน์สุขไพบูลย์ให้บังเกิด ความผาสุก และความเกษมเป็นอันมาก”
พระพุทธองค์ตรัสกับพระวัชรปาณีว่า “จงฟังๆ ธรรมนี้มีฤทธานุภาพไม่มีประมาณ สามารถยังประโยชน์สุขได้ไร้ขอบเขต อุปมาแก้วจินดามณีที่ยอดเกตุแห่งธวัชธงชัยที่โปรยปรายสายฝนแห่งรัตนะอยู่เป็นนิจ ทำให้ปณิธานทั้งปวงสมบูรณ์พร้อมตถาคตแสดงได้โดยย่อเพียงหนึ่งในหมื่นส่วนเท่านั้น เธอจึงจำทรงไว้ในใจ เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์เถิด
หากมีคนชั่วที่สิ้นชีพแล้ว ย่อมตกนรกภูมิรับทุกขเวทนามิได้หยุดพัก การนิรโทษหลุดพ้นนั้น ก็ไม่มีกําหนด หากบุตรหลานเรียกชื่อผู้มรณะ พร้อมกับสวดธารณีนี้เจ็ดจบ กระทะทองแดงและเหล็กเพลิงร้อน จะเปลี่ยนเป็นสระโบกขรณีที่อุดมด้วยอัฐฏางคิกวารีทันที ดอกบัวจะผุดขึ้นรองรับใต้ฝ่าเท้า รัตนฉัตรจะกางกั้นอยู่เบื้องบน ทวารแห่งนรกจะพินาศไป หนทางแห่งความรู้แจ้งจะเปิดออก แล้วบัวทิพย์นั้นจะลอยไปยังสุขาวตีโลกธาตุ จะรู้แจ้งปัญญาญาณทั้งปวงได้เฉพาะตน มีปฏิภาณไม่สิ้นสุด และเกี่ยวเนื่องกับการเกิดอีกครั้งเดียว ก็จะสำเร็จพุทธภูมิ
สรรพสัตว์ที่มากด้วยวิบากกรรมเป็นเหตุให้ร่างกายประชุมด้วยโรคนับร้อยประการ ในจิตก็ทุกข์ทรมาน จงสวดธารณีนี้ยี่สิบเอ็ดจบ โรคทั้งร้อยประการและความทรมานหมื่นประการจะมลายสิ้นไปในคราเดียว จะมีอายุยืนยาวมีกุศลบารมีไม่สิ้นสุด
หากบุคคลที่มีกรรมเพราะตระหนี่ถี่เหนียว ละโมบโลภมาก ทำให้ไปเกิดในครอบครัวที่อัตคัต ยากจน ปราศจากอาภรณ์ปกปิดกาย และไร้โภชนาหารประทังชีวิต สังขารซูบผอม อ่อนแอ ผู้นี้จึงสำนึกละอายแล้วเข้าป่าเด็ดเอาดอกไม้นานาชนิด บดเป็นผงหอมแล้วนำเครื่องหอมนั้นไปยังสถูป นมัสการด้วยเศียรเกล้า ประทักษิณเจ็ดรอบ แล้วหลั่งน้ำตา เพราะสำนึกผิดในอดีตด้วยอำนาจของธารณีและสถูป จักทำให้ความยากจนมลายสิ้น มีความมั่งคั่งทันที รัตนะทั้ง ๗ จะโปรยปรายดุจสายฝน ความอดอยาก ยากเข็ญหมดไปในเวลานี้ จงตอบสนองพระคุณของพระพุทธเจ้าและพระธรรม ด้วยการบริจาคทานแก่ผู้ยากไร้ หากว่าเกิดจิตตระหนี่แหนหวงแล้วไซร้ รัตนธนสารก็จะหมดสิ้นอย่างรวดเร็ว
หากมีผู้จะปลูกฝังกุศลมูล พึงสร้างสถูปตามกำลัง แม้ว่าสร้างด้วยดิน โคลน หรืออิฐตามความสามารถที่จะกระทำได้ ให้มีขนาดใหญ่ปานอาศรม หรือสูงเพียงองคุลี ได้จารึกธารณีบรรจุภายในแล้ว สักการะด้วยของหอมและดอกไม้ น้อมศีรษะอภิวาท บูชาแล้วไซร้ ด้วยอำนาจแห่งธารและจิตศรัทธา ทำให้สถูปองค์เล็กนั้น เกิดควันหอมกลุ่มใหญ่ ส่งกลิ่นหอมและเปล่งรัศมีสว่างไปทั่ว ธรรมธาตุปรากฏเป็นรัศมีเรืองรอง ทำพุทธกิจได้อย่างไพบูลย์ เมื่อบรรลุกุศลเบื้องต้นนี้แล้ว เมื่อหวังสิ่งใดที่เป็นสาระ ก็จะสมปรารถนาทุกประการ หากในยุคท้ายปลายกัลป์ พุทธสาวกทั้งสี่ จำพวกกุลบุตร กุลธิดาที่ปรารถนาพระอนุตรสัมมามรรค ซึ่งสร้างสถูปอย่างสุดกำลังแล้ว บรรจุธารณีมนตร์นี้ไว้ภายใน ก็จะได้อานิสงค์ที่กล่าวพรรณนาได้ไม่จบสิ้น
หากบุคคลปรารถนาวาสนาบุญญาธิการ จงไปที่สถูปนั้นแล้วนมัสการสักการะด้วยดอกไม้ และเครื่องหอมเพียงสิ่งละหนึ่งอย่าง และประทักษิณาวัตร ด้วยอานิสงค์นี้จะส่งให้รุ่งเรืองในยศศักดิ์เอง มิต้องวอน ขออายุขัยยืดยาวเอง มิต้องวอนขอเหล่าศัตรูจะสยบไปเอง อาถรรพ์คุณไสยมิอาจให้โทษ ภัยจะหวนคืนสู่ที่มากาฬโรคและอากาศพิษจักสลายไปเอง จะได้คู่ครองหญิงชายที่ดีงาม แม้มิวอนขอก็จะได้รับเป็นบุรุษ ย่อมได้เป็นปราชญ์เมธี ผู้เป็นสตรีย่อมมีสิริลักษณ์โสภาง มิต้องวอนขอจะสําเร็จได้เอง ความปรารถนาจะสําเร็จทุกประการ
หากมีนกกา นกกระจอก นกพิราบ นกเค้าแมว หมาใน ยุง มด แมลงต่างๆเข้ามาใต้ร่มเงาของสถูป ได้ใช้เท้าสัมผัสลานหญ้านั้น เพียงชั่วครู่ วิบากกรรมที่เศร้าหมองจะสิ้นไป ได้รู้แจ้งตื่นจากอวิชชา เหมือนเข้าสู่พุทธเคหะแล้วหยิบฉวยเอาธรรมสมบัติได้ตามใจ จักประสาใดที่บุคคลเหล่านั้น ได้เห็นรูปลักษณ์ของสถูป หรือได้ยินเสียงระฆังหรือได้ยินนามแห่งสถูป หรืออยู่ใต้ร่มเงาของสถูป กรรมวิบากจักหมดสิ้น สมปรารถนาในทุกสิ่ง ปัจจุบันชาติจะผาสุก อนาคตชาติย่อมไปอุบัติที่สุขาวตีพุทธเกษตร หากผู้ใดมีกำลังเพียงนำดินโคลนหนึ่งก้อนมาชโลมสถูป หรือพอกเป็นกำแพง หรือลำเลียงศิลาหนึ่งกำมือ พยุงค้ำยันมิให้สถูปโอนเอนทลายลง อานิสงค์จะส่งผลให้มีวาสนาและอายุขัยยืนยาว เมื่อสิ้นชีพแล้วจะได้กำเนิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ
หากตถาคตปรินิพพานแล้ว บรรดาพุทธบริษัทสี่ ที่จะอนุเคราะห์โลกให้พ้นจากทุกข์จึง บูชาสถูปนี้ด้วยเครื่องหอมและดอกไม้ตั้ง ปณิธานด้วยความจริงใจ แล้วสาธยายธารณีนี้ โดยแต่ละอักษรและประโยคจะเปล่งรัศมีสว่างไปในอบายภูมิสาม เครื่องทรมานจะถูกกำจัดสิ้นไป ทำให้สรรพสัตว์ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ พุทธโคตรรุ่งเรืองไพบูลย์สามารถเลือกไปอุบัติยังวิศุทธภูมิต่างๆในทศทิศได้ตามใจปรารถนา
หากมีผู้อยู่บนยอดเขาสูง แล้วสาธยายธารณีด้วยความตั้งใจ ได้ทอดสายตามองออกไปในโลกธาตุทั้งใกล้ ไกล ในหมู่เขาพนาสณฑ์ ป่าไพร ชลธาร แม่น้ำ มหาสมุทรหมู่สัตว์ต่างๆในที่เหล่านั้น ที่มีขนปกคลุมกาย มีปีก มีเกล็ด มีกระดองทั้งปวง จะหมดสิ้นจากความทุกข์ ได้รู้แจ้งตื่นจากอวิชชา พุทธภาวะสามประการ จะปรากฏขึ้น ซึ่งสรรพสัตว์มีอยู่แต่เดิมแล้ว ได้เข้าถึงมหาปรินิพพานในที่สุด
หากผู้อื่นได้คบหา หรือสัญจรบนหนทางเดียวกัน หรือสัมผัสกระแสลมที่กระทบอาภรณ์ หรือเหยียบบนรอยเท้า หรือเพียงพบหน้า หรือสนทนาชั่วขณะกับบุคคลผู้นี้แล้วไซร้ อกุศลกรรมหนักของบุคคลทั้งปวงนี้ จะลดน้อยจนหมดสิ้นไป ได้บริบูรณ์ในสิทธิ”
ครั้งนั้น พระพุทธองค์มีพระดำรัสกับพระวัชรปาณีว่า “ธารณีสูตรที่ลึกลับนี้ ตถาคตขอมอบให้พวกเธอทั้งหลายๆ พึงเคารพยำเกรงและธำรงรักษาไว้ จงเผยแผ่ไปในโลกธาตุ จงถ่ายทอดแก่สรรพสัตว์อย่าให้ขาดสิ้น”
พระวัชรปาณีทูลว่า “ข้าพระองค์น้อมรับพระพุทธบัญชา ขอให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ตอบแทนพระคุณอันใหญ่หลวงของพระโลกนาถเจ้า ตลอดทิพาราตรีกาล จะตามธำรงแลรักษาไว้ จะกล่าวแสดงไปทั่วโลกทั้งปวง หากมีสรรพสัตว์ใดจารึก จดจํา ระลึกอยู่ในจิตมิขาดหายแล้วไซร้ ข้าพระองค์พร้อมด้วยท้าวสักกะ พรหม จตุโลกบาล เทวราช นาคา เทพเจ้า และสัตว์ในคติทั้งแปด จักตามอารักขาดูแลอยู่ตลอดกลางวันและกลางคืน มิไกลห่างแม้ชั่วขณะเลย
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ดีแล้ว วัชรปาณี เพราะเธอจะยังประโยชน์สุขที่ยิ่งใหญ่ให้สรรพสัตว์ในอนาคต จึงได้รักษาพระธรรมนี้ ไม่ให้อวสานไป ครั้นแล้วในสมัยนั้น เมื่อพระโลกนาถเจ้าตรัสแสดงรัตนครัณฑมุทราธารณีนี้ เพื่อกระทำพุทธกิจให้อุโฆษไพศาลแล้ว จากนั้นจึงเสด็จพุทธดำเนินไปยังเรือนแห่งพราหมณ์ เพื่อรับการสักการะนานาประการ ทำให้เวลานั้นหมู่มนุษย์และเทวดาได้รับอานิสงค์มหาศาลแล้วจึงเสด็จกลับ
ในครั้งนั้นบรรดามหาชนทั้งปวง มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพเจ้า นาคา ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหราค มนุษย์และอมนุษย์ทุกหมู่เหล่าล้วนบังเกิดโสมนัสยินดี น้อมรับปฏิบัติสนองพระพุทโธวาทสืบไป
พระอโมฆวัชระมหาเถระ ตรีปิฎกธราจารย์ชาวอินเดียเหนือ แปลจากสันสกฤตพากย์สู่จีนพากย์
พระวิศวภัทร วัดเทพพุทธาราม (จ. ชลบุรี) แปลจากจีนพากย์ไทยพากย์ เมื่อพระพุทธายุกาลล่วงแล้ว ๒๕๔๙ ปี ๗ เดือน ๑๕ วัน
โฆษณา