'สิงคโปร์' จากโคลนตมสู่ประเทศอัจฉริยะ
สิงคโปร์ ใช้เวลาไม่ถึง 60 ปีในการเปลี่ยนตัวเองจากเกาะเล็กๆ ที่ยากจน เป็นประเทศมั่งคั่ง และเป็นศูนย์กลางการเงินและเศรษฐกิจที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก
หลังได้รับเอกราชจากอังกฤษ และต่อมาถูกขับออกจากสหพันธรัฐมาเลเซียในปี 1965 สิงคโปร์มีสภาพเป็นโคลนตม ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติที่มีมูลค่า ผู้คนยากจน อาศัยกันแออัดอยู่ในสลัม ไม่มีไฟฟ้า-น้ำประปา มีความขัดแย้งรุนแรงทางเชื้อชาติ แต่สิงคโปร์ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การวางรากฐานระบบการศึกษาที่ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก การขจัดปัญหาคอร์รัปชั่นในระบบราชการ และการมุ่งไปที่อนาคตศึกษาเพื่อหาโอกาสพาประเทศไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของคลื่นเทคโนโลยีลูกใหม่
จีดีพีเฉลี่ยของประชากรสิงคโปร์เพิ่มขึ้นจาก16,000 บาทต่อหัวต่อปีในทศวรรษที่ 1960 มาอยู่ที่เกือบ 2 ล้านบาทในปี 2020 และสิงคโปร์มีสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุน มีบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำกว่า 80 บริษัทมาตั้งสำนักงานที่สิงคโปร์ เช่น เฟซบุก ลิงก์อิน ไมโครซอฟท์ กูเกิล แกร๊บ ไดสัน นอกจากนั้น ยังมีบริษัทสตาร์ทอัพอีกจำนวนมากที่ได้รับการสนุบสนุนทั้งเงินทุนและเทคโนโลยีจากรัฐบาล รวมทั้งมีองค์กรภาครัฐที่ตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง หรือ deep tech เพื่อมุ่งสู่การเป็นประเทศอัจฉริยะ
สิงคโปร์ที่เปรียบขนาดของตัวเองเป็นจุดแดง หรือ red dot บนแผนที่โลก แต่กลับมีศักยภาพมากกว่าขนาดของประเทศเป็นอย่างมาก และสามารถพัฒนาตัวเองจากเกาะที่ยากจน มีสภาพโคลนตม มาสู่ประเทศอัจฉริยะในเวลาเพียงหนึ่งชั่วอายุคน แต่กระนั้น สิงคโปร์ก็มีความท้าทายเรื่องความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่มากที่สุดในบรรดาประเทศพัฒนาแล้วที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข
- 6
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
