26 พ.ย. 2021 เวลา 11:38 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ในจักรวาลมีทั้งหมด 10 มิติ แต่ทว่าน่าเสียดายที่มนุษย์เราสามารถรับรู้ได้เพียงแค่ 3 มิติ
blogspot.com
เมื่อเรากล่าวถึงมิติเวลาที่แตกต่าง ในทางทฤษฎีเราจะพบว่าข้างหน้าเรา และรอบๆตัวเรานั้นมีสิ่งที่เกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ที่อาจจะมองไม่เห็น เป็นข้อจำกัดการสัมผัส และรับรู้ของมนุษย์ คลื่นแสงหลายชนิด เช่น อินฟราเรด มนุษย์นั้นไม่สามารถมองเห็นได้ แต่สัตว์บางชนิดสามารถมองเห็น ภาพทิวทัศน์เราอาจจะมองเป็นสีสัน แต่สัตว์บางชนิด จะมองเป็นสีขาวดำเท่านั้น
มนุษย์เรานั้น ได้มีการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไปไม่ถึงสิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาจนสามารถรับรู้ และสัมผัสได้ทั้ง 10 มิติ
แล้วทั้ง 10 มิติที่ผมพูดมาตั้งแต่ต้นเรื่องมันมีอะไรกันบ้าง เราจะไปรู้ด้วยกันครับ
มิติที่ 1
คือ เส้นความยาวระหว่างจุดสองจุด ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากเส้นตรง
มิติที่ 2
คือ การเพิ่มเส้นอีก 1 เส้น ต่อจากมิติที่ 1 ตัวอย่างเช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสในลักษณะแบน
มิติที่ 3
คือ การเพิ่มเส้นที่ 3 เพื่อให้เกิดมิติที่ลึกขึ้น เราจะเห็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กลายเป็นรูปทรงกล่อง 3 มิติ อย่างที่มนุษย์คุ้นชิน และเข้าใจได้ไม่ยาก
และ ทั้ง 3 มิติ ทั้งหมดนี้ คือมิติที่มนุษย์เราสามารถมองเห็นได้ตามปกติ
ส่วนอีก 7 มิติ ต่อมาจะเป็นมิติที่มีแต่สิ่งมีชีวิตที่ทรงภูมิปัญญาเท่านั้น ที่จะสามารถรับรู้ได้ จะมีอะไรกันบ้างนั้นเราไปดูกันเลยดีกว่าครับ
มิติที่ 4
คือ เวลา (ไอน์สไตน์ เป็นคนที่นำเสนอแนวคิดที่ว่า สถานที่และเวลา มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็น กาลอวกาศ หรือ Space-time สถานที่ ไม่อาจแยกจากเวลาได้ และเวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ โดยวัตถุใดๆยิ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าไหร่ เวลายิ่งเดินช้าลงเท่านั้น ซึ่งจะเดินหน้า และไม่มีการถอยหลัง เปรียบเสมือนชีวิตของเราบนโลก
ที่ถูกล้อมรอบไปด้วย มิติที่ 1 มิติที่ 2 และ มิติที่ 3 รวมเข้ากับเวลา เป็น 4 มิติ
นั้นเอง
jenseitswelt.eu
มิติที่ 5
คือ ความคิด หรือโอกาสที่เป็นไปได้ เราสามารถที่จะจินตนาการถึงการมองเห็นวัตถุที่อยู่ข้างหน้า มีจำนวนมากขึ้น และอาจทับซ้อนกันอย่างหลากหลาย เพราะมีปัจจัยของกาลเวลา เข้ามาเป็นตัวแปร
ดั่งในตัวอย่างหนังเรื่อง The Interstellar
2
The Interstellar
มิติที่ 6
คือ การมองเห็นภาพรวมทั้งจักรวาลที่เกิดขึ้น และสามารถเปรียบเทียบ และตั้งตำแหน่งจักรวาลทั้งหมดที่เป็นไปได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างที่จะซับซ้อนสำหรับมนุษย์ แต่ถ้าหากเราสามารถเข้าควบคุม มิติที่ 6 ได้เราจะสามารถเดินทางย้อนเวลากลับไปในอดีต หรือเดินทางสู่อนาคตได้ เพราะกาลเวลาในอวกาศเชื่อมโยงกันอย่างผูกพันธ์
มิติที่ 7
คือ ที่ที่มีความแตกต่างจากจักรวาลของเราโดยสิ้นเชิง มีการแตกต่างทั้งจุดกำเนิดจักรวาล และโอกาสการเกิดจุดจบของจักรวาลทุกรูปแบบ แน่นอนว่า รวมถึงกฏฟิสิกส์ต่างๆในจักรวาลนี้ก็แตกต่างจากเราด้วย การขยายความ มิติที่ 7
อาจคล้ายอภินิหาร ในการล่องลอยไปในกาลเวลาของอวกาศตามอำเภอใจ
และได้พบเจอลายละเอียด ของจักรวาลมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความลึกซึ้งทั้งอดีต และอนาคตมากยิ่งขึ้น
1
มิติที่ 8
คือ เป็นการเห็นอย่างไม่รู้จุดจบ และไม่มีขอบเขตแตกกิ่งก้านแยกออกไปเป็นอนันต์ และยังลงลึกในลายละเอียดมากขึ้นๆ อาจเป็นข้อพิสูทธิ์ที่สำคัญว่าทั้งหมดไม่ได้มีเพียงเอกภพเดียว
มิติที่ 9
เราสามารถเห็น และเปรียบเทียบประวัติจักรวาลทั้งหมด ที่ดำรงอยู่ในอดีต และอนาคต เราสามารถพับให้จักรวาลทั้ง 2 จักรวาล หรือ 3 จักรวาล มาอยู่ในจุดจุดเดียวกัน ทำให้เราสามารถเคลื่อนที่อีกจากจักรวาลหนึ่ง ไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ในทันที
1
มิติที่ 10
คือ เรามาถึงจุดที่ทุกอย่างเป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ มีจุดที่เป็นอนันต์จำนวนมากมาย และไม่มีที่สิ้นสุด และเราสามารถเดินทางไปยังจุดอนันต์ใดๆก็ได้ เพราะจุดอนันต์ทั้งหมดรวมลงมาเป็นจุดเดียว ครอบคลุมถึงที่มาทั้งหมดของจักรวาล
หากคุณชอบเรื่องราวแปลกๆ ทั้งในโลก และนอกโลก อย่าลืมกดติดตามเพจ Another World เพื่อที่จะได้ไม่พลาดบทความใหม่ๆจากเพจเรา
References:
โฆษณา