29 พ.ย. 2021 เวลา 12:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
หนังทำเงินอเมริกาเหนือ 19-21 พฤศจิกายน: ‘Ghostbusters: Afterlife’ ออกตัวสวยด้วยตัวเลข 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วน ‘King Richard’ เริ่มต้นแบบแผ่ว ๆ
รายงานหนังทำเงินอเมริกาเหนือ 19-21 พฤศจิกายน จาก วาไรตี้: ภาคต่อหนังไซ-ไฟ, เบาสมองจากยุค 1980s ‘Ghostbusters: Afterlife’ เปิดตัวอันดับ 1 ด้วยรายได้ 44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 4,315 จอ ซึ่งดีกว่าที่คาดกันและถือเป็นสัญญาณที่ดีว่า กลุ่มครอบครัวน่าจะกลับเข้าโรงภาพยนตร์ หากมีงานที่สร้างความบันเทิงสำหรับทุกคนในบ้าน โดยช่วงโรคระบาดที่ผ่าน ๆ มา ผู้ชมกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่ค่อยเข้าโรงหนัง แต่เมื่อการฉีดวัคซีนกระจายเป็นวงกว้าง เด็ก ๆ ปลอดภัยมากขึ้น สถานการณ์น่าจะเปลี่ยนแปลง แต่หนังของผู้ชมผู้ใหญ่ยังต้องดิ้นรนกันต่อ เมื่อ ‘King Richard’ เปิดตัวได้ไม่ดี
ในตลาดต่างประเทศ ‘Ghostbusters: Afterlife’ ทำเงินไป 16 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 31 ประเทศ ทำให้รายได้รวมทั่วโลกอยู่ที่ 60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนหน้าหนังที่กำกับโดยเจสัน ไรต์แมน เรื่องนี้ โซนีเคยปล่อยหนังรีบูตที่ใช้นักแสดงหญิงล้วน ‘Ghostbuster’ มาในปี 2016 และเปิดตัวที่ 46 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มากกว่า ‘Afterlife’ แค่ 2 ล้าน หากอย่าลืมว่า หนังใช้ทุนสร้างถึง 144 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วน ‘Afterlife’ ใช้ไปแค่ 75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หนังที่พอล รัดด์, แคร์รี คูน และแม็กเคนนา เกรซ แสดงนำ ส่วนเรื่องราวเกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ในหนังต้นฉบับหลายทศวรรษเรื่องนี้ ได้เสียงวิจารณ์ที่ดี ทำให้โซนีมองว่า ปากต่อปากน่าจะทำให้หนังยืนระยะได้ และเรียกผู้ชมได้ในช่วงเทศกาลขอบคุณพระเจ้า แม้จะมีคู่แข่งอย่าง ‘Elcanto’ ของดิสนีย์, ‘House of Gucci’ จากเอ็มยีเอ็ม และ ‘Resident Evil: Welcome to Raccoon City’ ของโซนี แต่พอล เดอร์การาบีเดียน นักวิเคราะห์จากคอมสกอร์ มองว่า “หนังน่าจะรับมือกับหนังใหม่ ๆ ได้ และน่าจะได้ประโยชน์จากช่วงวันหยุดที่ยาวออกไป”
ถ้าไม่นับหนังแอ็กชั่นเรื่องบิก ๆ อย่าง ‘Ghostbusters: Afterlife’ หรือหนังมาร์เวล ‘Eternals’, หนังเจมส์ บอนด์ ‘No Time to Die’ ผู้ชมโดยรวมในอเมริกาเหนือยังทรง ๆ และหนังที่ได้คำชม และมีแววไปถึงออสการ์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์ส ’King Richard’ ที่วิลล์ สมิธเล่นเป็นพ่อ 2 นักเทนนิสตำนาน วีนัส-เซเรนา วอลเลียมส์ เป็นหนังดรามาคนดูผู้ใหญ่เรื่องล่าสุดที่เริ่มต้นไม่สวย เมื่อเก็บเงินแค่ 5.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 3,302 จอ โดยสตูดิโอหวังว่าน่าจะเก็บได้ใกล้เคียง 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
แต่ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่า ‘King Richard’ คว่ำเพราะวอร์เนอร์ฯ ปล่อยลงเอชบีโอแม็กซ์พร้อมกัน ซึ่งมีผลทำให้รายได้ถูกตัดตอนแน่ ๆ และวอร์เนอร์ฯ ก็ไม่เผยตัวเลขผู้ชมทางเอชบีโอแม็กซ์ออกมา หากก็พอมีหวังว่าหนังจะไปได้ไกลในโรง เมื่อได้คะแนน เอ จากผู้ชมบนซีนีมาสกอร์ ส่วนการแสดงของสมิธก็รับคำชม ทุนสร้างของหนังอยู่ที่ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ บวกกับต้องจ่ายให้วิลล์ สมิธเพิ่มอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อหนังเปิดตัวในโรงชนกับเอชบีโอแม็กซ์
ความพยายามในการโปรโมตก็ทำกันเต็มที่ สมิธถึงกับให้สัมภาษณ์ยาว ๆ เป็นปกให้กับนิตยสารยีคิว ส่วนนิตยสารเอนเตอร์เมนต์วีคลี่ ก็ขึ้นปกวีนัสกับเซเรนาที่เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารของหนัง แต่ยังกระตุ้นผู้ชมไม่สำเร็จ และการเปิดตัวพร้อมกับเอชบีโอแม็กซ์ ก็ทำให้คนดูหนังเรื่องนี้ที่บ้านได้ จากตัวเลขช่วงโรคระบาด มีหนังดรามาเปิดฉายวงกว้าง เปิดตัวต่ำกว่า 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ถึง 23 เรื่อง และไม่มีเรื่องไหนเลยที่เปิดตัวระดับ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมีหนังเพลง/ อัตชีวประวัติของอารีธา แฟรงกลิน ‘Respect’ เรื่องเดียวที่ทำได้ใกล้เคียง ด้วยรายได้ 8.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“นี่เป็นการเปิดตัวที่แย่ โดยเฉพาะการที่หนังได้คะแนนที่ดีจากผู้ชมและนักวิจารณ์” เดวิด เอ. กรอสส์ ผู้บริหารของบริษัทที่ปรึกษา แฟรนไชส์ เอนเตอร์เทนเมนต์ รีเสิร์ช กล่าว “แน่นอนว่า… หนังน่าจะทำได้ดีกว่านี้ หากไม่มีการสตรีมมิงเป็นตัวเลือก” โดย ‘King Richard’ ทำได้แค่อันดับ 4 ตามหลัง ‘Eternals’ และ ‘Clifford the Big Red Dog’
หลังครองอันดับ 1 มา 2 สุดสัปดาห์ ‘Eternals’ ตกมาอยู่ที่ 2 ทำรายได้อีก 10.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 4,055 จอ ตอนนี้หนังทำเงินในอเมริกาเหนือแล้ว 135.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนตลาดต่างประเทศทำไป 200.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ ‘Clifford’ ได้เงินอีก 8.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในสุดสัปดาห์ที่ 2 ของการฉาย รายได้ขยับเป็น 33.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทั้ง ๆ ที่ออกตัวพร้อมสตรีมมิงพาราเมานต์ พลัส
หนังไซ-ไฟ อลังการของวอร์เนอร์ ‘Dune’ ยังอยู่ในท็อปไฟว์ ทำรายได้อีก 3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รายได้รวมในอเมริกาเหนืออยู่ที่ 98.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และน่าจะทำรายได้ผ่าน 100 ล้านในอีกไม่กี่วัน ทาง ‘No Time to Die’ ทำรายได้ทั่วโลกแล้ว 734 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แซงหน้า ‘F9: The Fast Saga’ ที่ทำไว้ 725 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นหนังฮอลลีวูดทำเงินมากสุดในปีนี้
ในกลุ่มหนังอินดี หนังดรามา ขาว-ดำของเอ24 ‘C’mon C’mon’ ที่กำกับโดยไมก์ มิลล์ส นำแสดงโดยวาควิน ฟีนิกซ์ ทำสถิติเป็นหนังกลุ่มนี้ที่ทำได้ดีที่สุดตั้งแต่มีการระบาด เมื่อทำเงินถึง 134,447 เหรียญสหรัฐฯ จาก 5 จอในนิวยอร์กและลอส แองเจลีส หรือ 26,889 เหรียญสหรัฐฯ ต่อจอ เอาชนะหนังเวส แอนเดอร์สัน ‘The French Dispatch’ ที่ทำไว้ 25,938 เหรียญสหรัฐฯ ต่อจอหวุดหวิด โดยหนังแอนเดอร์สันออกตัวด้วย 52 จอ ทำเงินไป 1.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก 3 วันแรก หนังฉายมาเป็นสุดสัปดาห์ที่ 6 แล้ว โดยอยู่อันดับ 8 ทำเงินอีก 1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รายได้รวมเป็น 13.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
หนังสารคดีที่ได้แรงบันดาลใจจากช่วงโรคระบาดของนีออนกับพาร์มิซิแพนต์ ‘The First Wave’ ซึ่งแสดงภาพของกลุ่มคนทำงานสาธารณสุข ในช่วงโควิด-19 ระบาด อออกตัวด้วย 11 จอ และทำเงินได้ 68,115 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 6,192 เหรียญสหรัฐฯ ต่อจอ
อ่านแล้วชอบ อย่าลืมกดติดตาม และยังมีเรื่องราวมากมายให้อ่านได้ที่ www.sadaos.com และทำความรู้จักกันได้มากกว่านี้ด้วยการกดไลค์เพจ www.facebook.com/Sadaos และ www.blockdit.com/sadaos
#moviestory "การเดินทางของภาพยนตร์เกาหลี จากโรงหนังในกรุงโซล ไปถึงโรงภาพยนตร์ทั่วโลก" - กว่า 2 ทศวรรษแล้วที่ คนในฮอลลีวูดรับรู้ศักยภาพของภาพยนตร์เกาหลี โดยที่ยังไม่รวมความสำเร็จในเทศกาลภาพยนตร์ต่าง ๆ ซึ่งมีชื่อคุ้นหู อย่าง คิมคีดุก, ฮงซังซู, ชานวุก และจุงโฮ เป็นขาประจำ เห็นได้ชัดว่า พวกเขาเดินทางมาไกลและยาวนาน ตั้งแต่โลกยังไม่มีนิยามสารพัด เค ให้กับบรรดาความบันเทิงจากเกาหลี ความสำเร็จบนเวทีออสการ์ จะว่าไปก็ แค่ การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการภาพยนตร์เกาหลี แต่ที่สำคัญกว่า นี่คือการนำเสนออีกผลผลิตที่โดดเด่นของประเทศนี้ ที่ในที่สุดก็ก้าวมาอยู่ในแถวหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ อ่านเต็ม ๆ ได้ที่นี่ > https://bit.ly/3l6NvDj
#sadaos #koreanfilms

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา