29 พ.ย. 2021 เวลา 05:43 • กีฬา
[หนึ่งแต้มอันล้ำค่าจากเดอะ บริดจ์]
ทุกคนน่าจะทราบผลการแข่งขันของบิ๊กแมตช์เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของ ไมเคิล คาร์ริค ที่บุกไปเสมอกับเชลซี ของโทมัส ทูเคิล ซึ่งผลสกอร์ที่ออกมานั้นอาจจะทำให้ทุกคนตกใจอยู่พอสมควรเพราะด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของเชลซีแต่กลับทำได้แค่เพียงเสมอกับยูไนเต็ดที่เพิ่งกลับมาชนะได้ในนัดกลางสัปดาห์
การประกาศรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ไมเคิล คาร์ริค ก็เป็นอีกครั้งที่เขาได้เซอร์ไพร์สแฟนๆปีศาจแดงด้วยการจัดทัพโดยดรอปศูนย์หน้าดาวซัลโวของทีมอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด โดยรายชื่อทีออกมาก็ทำให้เดาแผนการเล่นไปได้หลายแบบ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าจะเล่นยังไงจนกว่าเกมจะเริ่ม โดยรายชื่อที่ส่งมานั้นเป็นไปได้ทั้งแผน 4-3-3 ,4-2-3-1 หรือแม้กระทั่งแผน 4-4-2 ไดมอนด์ที่เคยใช้ในยุคของโซลชาและทำผลงานได้ดี แต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้จากการเห็นรายชื่อ 11 ผู้เล่นตัวจริงนั่นก็คือ ยูไนเต็ดไม่ได้มาเปิดหน้าแลกใส่เชลซีในวันนี้อย่างแน่นอน แต่อาจจะมาในแผนที่ตั้งรับหนักๆ และใช้เกมสวนกลับโจมตี เพราะด้วยการใส่กองกลางที่เป็นตัวรับอย่าง เฟร็ด ,สก็อต แมคโทมิเนย์ และเนมานย่า มาติชลงพร้อมกัน ซึ่งคาดว่าน่าจะเอามาเพื่อป้องกันเกมรุกของเชลซีที่ผู้เล่นทุกตำแหน่งจะเติมเกมรุกมาทันทีหากมีโอกาส
หลังจากเกมเริ่มระบบการยืนก็ดูมีความคล้ายคลึงที่จะเป็นแผน 4-4-2 ไดมอนด์ มากที่สุด โดยใช้ เนมานย่า มาติช นั้นยืนปักหลักอยู่หน้าคู่เซนเตอร์ และมี แมคโทมิเนย์ ที่ยืนเป็นเหมือนกองกลางฝั่งขวา และเฟร็ดเป็นกองกลางฝั่งซ้าย บรูโน แฟร์นันเดส เป็นเพลย์เมคเกอร์ และใช้คู่หน้าที่มีความเร็วและคล่องตัวอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และเจดอน ซานโช่
เกมในครึ่งแรกต้องบอกว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีของยูไนเต็ดเลย เพราะกลายเป็นว่าโดยเจ้าบ้านอย่างเชลซีพับสนามบุกกดดันอยู่ฝั่งเดียว โดยเพียงแค่ 3 นาทีแรกเชลซีมีโอกาสได้ลุ้นขึ้นนำแบบจังๆ ถึงสองครั้ง แต่ก็ต้องชมความยอดเยี่ยมของ ดาบิด เดเกอา ที่เซฟลูกยิงแฉลบของฮาคิม ซิเยค และลูกยิงจ่อๆของ คาลัม ฮัดสัน-โอดอยเอาไว้ได้ แต่ในครึ่งแรกก็ยังเป็นเกมของเชลซีที่พยายามเปิดเกมรุกใส่ยูไนเต็ด และป้องกันเกมสวนกลับของยูไนเต็ดเอาไว้ได้ ทำให้ยูไนเต็ดจบครึ่งแรกด้วยสถิติการยิงไม่ตรงกรอบเลย จากโอกาสยิงเพียงครั้งเดียว และถูกยิงตรงกรอบถึง 4 ครั้งจากโอกาส 10 ครั้ง
เกิดอะไรขึ้นกับการเล่นของยูไนเต็ดในครึ่งแรก ?
ในความคิดของผมคือ ไมเคิล คาร์ริค วางแผนแบบยอมเปิดพื้นที่ให้เชลซีพับสนามบุกใส่ยูไนเต็ด และป้องกันโดยการให้ผู้เล่นแนวรับถึง 7 คน (ไม่รวมผู้รักษาประตู) เข้าไปอยู่ในกรอบเขตโทษให้มากที่สุดเพื่อที่จะบังคับให้ผู้เล่นเชลซีเข้าทำจากนอกกรอบเขตโทษ หรือลูกนิ่งมากกว่า และอาศัยจังหวะเก็บตกบอลจากจังหวะสุดท้ายของเชลซีบอมบ์ขึ้นหน้าให้กับผู้เล่นแนวรุกทั้ง 3 คนไปสร้างสรรค์เกมรุกกันต่อ และการใช้การกดดันสูงจาก 3 แนวรุกที่พยายามวิ่งบีบให้กองหลังเซ็ตบอลขึ้นหน้าได้ยาก
แต่ปัญหาในครึ่งแรกคือการประกบตัวของผู้เล่นยูไนเต็ด ฟูลแบ็คทั้งสองฝั่งถูกวางแผนให้คุมพื้นที่บริเวณกรอบ 18 หลาและไม่เติมสูงสิ่งที่เห็นได้บ่อยคือการที่เชลซีพยายามขึ้นเกมมาที่ฝั่งซ้าย บอลนั้นมาถึง มาร์กอส อลอนโซ่ตลอด เพราะวิงแบ็คของเชลซีนั้นฉีกตัวเองไปยืนที่ริมเส้นและเป็นที่ที่ไม่มีผู้เล่นยูไนเต็ดอยู่ ทางฝั่ง อารอน วาน-บิสซาก้านั้นคุมพื้นที่และตามประกบเพียงแต่ คาลัม ฮัดสัน-โอดอย เราจึงเห็นว่าหลายครั้งนั้น มาร์กอส อลอนโซ่ได้หลุดมาทางฝั่งซ้ายและมีโอกาสเปิดบอลเข้าไปอยู่หลายครั้ง เพียงแต่เป็นโชคดีของยูไนเต็ดที่แนวรับในวันนี้จัดการกับลูกกลางอากาศได้คอนข้างดีจึงทำให้ไม่เสียประตูจากบอลครอส
และปัญหาในการประกบตัวในครึ่งแรก จากที่สังเกตมาจะเห็นได้ชัดว่า เมื่อเชลซีทำเกมบุก แมคโทมิเนย์ ที่ถือว่าเป็นผู้เล่นในแนวรับนั้นมีหลายครั้งที่เขานั้นยืนว่างไม่ได้ประกบตัวแนวรุก และไม่ได้ยืนโซนใกล้กับผู้เล่นเชลซีเลย จึงทำให้เกมรุกของเชลซีนั้น ขึ้นทางฝั่งซ้ายได้บ่อยกว่าฝั่งขวา เพราะการบุกฝั่งขวาของเชลซีนั้นจะมีเฟร็ดที่ถึงแม้จะไม่ได้ประกบตัวแนวรุก แต่เฟร็ดนั้นวิ่งบีบพื้นที่ทำให้ต้องรีบออกบอล เพราะฉะนั้นการบุกจากฝั่งซ้ายจึงเป็นตัวเลือกที่ง่ายกว่า
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงในครึ่งหลังมาจากการได้ประตูขึ้นนำเร็วหลังจากเริ่มครึ่งหลังมาเพียง 5 นาทีจากความผิดพลาดของกองกลางที่ได้เป็นกัปตันทีมในเกมนี้อย่าง จอร์จินโญ่ จากจังหวะเตะจุดพลุของ บรูโน แฟร์นันเดส จากหน้ากรอบเขตโทษของยูไนเต็ด ที่ผู้เล่นของเชลซีขึ้นมาในแดนของยูไนเต็ดหมดแล้ว เหลือเพียงจอร์จินโญ่ที่เป็นผู้เล่นคนสุดท้ายที่ถูกวิ่งกดดันจาก 2 แนวรุกความเร็วสูงอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด และ เจดอน ซานโช่ ที่ชิงจังหวะเล่นจากความผิดพลาดของจอร์จินโญ่ และเป็น เจดอน ซานโช่ ที่ยิงลูกนี้เข้าไปทำให้ยูไนเต็ดบุกมานำ 0-1 ในขณะนั้น และทำให้โมเมนตัมของเกมเปลี่ยนไป ผู้เล่นยูไนเต็ดมีความมันใจมากยิ่งขึ้น ความผิดพลาดและปัญหาที่กล่าวมาในครึ่งแรกเกิดขึ้นน้อยลง และคนที่ฟอร์มการเล่นดีขึ้นอย่างชัดเจนคือ สก็อต แมคโทมิเนย์ ที่มีการตัดเกมที่จำเป็นต้องทำในบางจังหวะ ซึ่งทำได้ดีและอยู่ในมาตรฐาน
แต่ในนาทีที่ 66 นั้น อารอน วาน-บิสซาก้า เสียท่าให้กับ กองหลังตัวเก่าอย่าง ติอาโก้ ซิลวา ที่เข้าถึงบอลก่อน และกลายเป็นว่า วาน-บิสซาก้า ที่พยายามจะเตะสกัดนั้นหวดเข้าหน้าแข้งของติอาโก ซิลวา เต็มที่ ทำให้แมนยูที่กำลังทำได้ดีทั้งเกมรุกและรับนั้นเสียจุดโทษ และเป็น จอร์จินโญ่ มือสังหารอันดับหนึ่งของเชลซี สังหารจุดโทษลูกนี้เข้าไปและแก้ตัวได้สำเร็จ
หลังจากประตูที่ 2 ของเกมนั้นเกมก็กลับมาเหมือนในครึ่งแรกที่เชลซีพยายามเปิดเกมรุกใส่ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นยูไนเต็ดที่เล่นเกมรับได้ดีแต่ไม่สามารถสวนกลับได้เหมือนกับช่วงต้นครึ่งหลัง และก็มีหนึ่งในจังหวะที่น่าเสียดายที่สุดของแฟนๆปีศาจแดง ในนาทีที่ 87 เอดูอาร์ด เมนดี้ ผู้รักษาประตูของเชลซี ออกบอลพลาดไปเข้าทางเฟร็ด และมีทั้ง คริสเตียโน โรนัลโด และเจสซี่ ลินการ์ด ที่ลงมาเป็นตัวสำรองและวิ่งทำทางอยู่ แต่การตัดสินใจที่จะยิงเองของ เฟร็ด ที่จะยกข้ามผู้รักษาประตูไป ทำได้ไม่ดีพอ ซึ่งถ้าหากส่งให้ โรนัลโด ที่ยืนว่างและไม่มีตัวประกบอยู่อาจจะได้ลุ้นมากกว่านี้
และสุดท้ายเกมก็จบด้วยการที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด บุกไปเสมอ เชลซี ที่แสตมป์ฟอร์ด บริดจ์ 1-1 ซึ่งถ้าหากเทียบจากผลงานช่วงหลังของทั้ง 2 ทีม ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ดีของยูไนเต็ดที่สามารถคว้าแต้มมาได้จากทีมที่ถือว่าฟอร์มดีที่สุดในลีกทีมนึง แต่ด้วยรูปเกมที่ขึ้นนำก่อน 0-1 และเสียแต้มจากจังหวะผิดพลาดจังหวะเดียวก็ดูไม่น่าพอใจมากนัก
เกมนี้จะเป็นนัดสุดท้ายในการคุมทีมของ ไมเคิล คาร์ริค หรือไม่เราคงต้องติดตามกันต่อไป หลังจากยูไนเต็ดมีข่าวกับ ราล์ฟ รังนิก ที่หลายๆสื่อรายงานว่าจะมาคุมยูไนเต็ดในเกมกลางสัปดาห์ คืนวันพฤหัสที่จะถึงนี้ที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด โดยจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมที่ถือว่าเป็นทีมที่ฟอร์มดีทีมหนึ่งอย่าง ปืนใหญ่ อาร์เซนอล
1
ขอบคุณทุกๆท่านที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ หากถูกใจ ฝากกดไลค์ กดแชร์ และกดติดตามเพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนบทความต่อๆไปด้วยครับ 😊
โฆษณา