Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หมูอ่านหนังสือ
•
ติดตาม
30 พ.ย. 2021 เวลา 00:01 • การศึกษา
พ่อรวยสอนลูกเล่ม 2 เงินสี่ด้าน
ผู้เขียน: Robert T. Kiyosaki
สำนักพิมพ์: ซีเอ็ดยูเคชั่น
คุณอยู่ด้านไหนของเงินสี่ด้าน
E - ลูกจ้าง
S - เจ้าของธุรกิจส่วนตัว
B - เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่
I - นักลงทุน
คำสอนของพ่อจน
ให้ขยันเรียน สอบให้ได้คะแนนดีๆ และหางานที่มั่นคงเงินเดือนสูงๆ
คำสอนของพ่อรวย
ให้ตั้งใจเรียน เรียนให้จบ สร้างธุรกิจของตัวเอง แล้วเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็น 3 ตอน
1. เล่าถึงนิสัย ความคิด และตัวตนที่คน 4 กลุ่มให้ความสำคัญ
2. การเปลี่ยนแปลงจากด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงทางความคิดมากกว่าการกระทำ
3. แนวทาง 7 ประการที่จะพาคุณก้าวสู่ฝั่งขวาของเงินสี่ด้าน
เงิน4ด้าน
เงินสี่ด้าน หมายถึงรายได้จากการทำงาน 4 ประเภท
-ถ้าคุณมีรายได้จากการรับเงินเดือน คุณคือลูกจ้าง
-ถ้าคุณมีรายได้จากการทำงานให้ตัวเอง คุณคือ ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ
-ถ้าคุณมีรายได้จากกิจการที่คุณเป็นเจ้าของ คุณคือ เจ้าของธุรกิจ
-ถ้าคุณมีรายได้จากการลงทุน หรือใช้เงินทำงานให้มากขึ้น คุณคือ นักลงทุน
คุณสามารถหาเงินได้จากทั้ง 4 ด้าน
การที่เราเลือกยึดอาชีพใดอาชีพหนึ่งเป็นแหล่งรายได้หลัก
ไม่ใช่เพราะพื้นฐานการศึกษาที่ได้จากโรงเรียน
แต่เป็นเพราะตัวตนของเรา อุปนิสัย ค่านิยม จุดแข็งจุดอ่อน และความสนใจ
ที่ประกอบกันเป็นตัวเรา ทำให้เราเลือกมีรายได้จากแหล่งที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าเราจะเลือกอาชีพที่เป็นรายได้หลักไปแล้ว
แต่เราก็ยังสามารถหารายได้อื่นจะได้อื่นๆได้ด้วย
เช่น แพทย์ นอกจากจะเป็นลูกจ้างแล้ว ยังมีรายได้อีกทาง
ในการประกอบอาชีพอิสระ หลังเลิกงานโดยเปิดคลินิก
แพทย์อาจจะชอบเป็นเจ้าของกิจการ
โดยสร้างโรงพยาบาลเล็กๆ แล้วจ้างแพทย์พยาบาลและพนักงานอื่นๆมาประจำเพื่อทำงานแทน
ส่วนตัวเองทำหน้าที่จัดระบบระเบียบ
แพทย์ต้องการเป็นนักลงทุน
เขาก็สามารถหาเงินได้จากการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ที่ดิน บ้าน ทรัพย์สินต่างๆก็ได้
ไม่ว่าใครจะมีอาชีพอะไรทำงานที่ไหนไม่สำคัญ
เท่ากับเขามีรายได้จากทางด้านไหนบ้าง
ไม่ว่าเราจะมีรายได้ด้วยวิธีการใดก็ตาม
สิ่งที่เป็นตัวกำหนดก็คือค่านิยมหลักของตัวเราเอง
เมื่อเราเข้าใจความแตกต่างของแต่ละด้านแล้ว
เราจะรู้ได้ทันทีว่า ด้านใดเหมาะสมกับตัวเรา
พ่อแม่คือครู
พ่อรวยสอนให้ผมรู้จักกับเงินสี่ด้าน
ซึ่ง ณ ตอนนี้เด็กๆ ก็อาจจะยังไม่เข้าใจ
แต่พอนานวันขึ้นผมก็เริ่มเข้าใจความแตกต่างของเงินสี่ด้านมากขึ้น
ยิ่งเมื่อนำวิธีคิดและวิธีดำเนินชีวิตของพ่อทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน
พ่อจนของผมไม่มีเวลาให้กับลูกๆ
ยุ่งอยู่กับงานเสมอ ยิ่งพ่อเติบโตในหน้าที่การงานมากเท่าใด
ยิ่งมีเวลาให้กับครอบครัวน้อยลง แม้แต่วันหยุดพ่อก็ต้องนั่งทำงานอยู่บ้านตลอดทั้งวัน
ซึ่งตรงข้ามกับพ่อรวย ยิ่งพ่อรวยมากเท่าไหร่
ยิ่งมีเวลามากให้กับครอบครัวเท่านั้น
แม้พ่อทั้งสองจะมีรายได้เพิ่มเรื่อยๆ แต่พ่อจนก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้นตลอด
พ่อทำงานหนักจึงมีรายได้สูง แต่นั่นทำให้พ่อต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น
เจ้าหน้าที่ธนาคารและบัญชีแนะนำให้พ่อซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้นเพื่อจะได้นำมาใช้ลดหย่อนภาษี
ซึ่งพ่อก็ทำตามนั้น และในที่สุดมันทำให้พ่อต้องทำงานหนักขึ้นเพราะต้องหาเงินมาผ่อนบ้าน
ตรงข้ามกับพ่อรวย ยิ่งถ้ามีรายได้มาก ยิ่งเสียภาษีน้อย
พ่อรวยมีที่ปรึกษาเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารและนักบัญชีเหมือนกัน
แต่คำแนะนำที่พ่อรวยได้รับนั้นแตกต่างจากพ่อจนอย่างมาก
เงินแต่ละด้าน คนแต่ละแบบ
การเปลี่ยนมาอยู่ในอีกด้านหนึ่งของเงินสี่ด้าน
คือ การเปลี่ยนแก่นแท้ของตัวตนคุณ
อะไรคือแก่นแท้ที่แตกต่างของคน
จะบอกได้ยังไงว่าใครอยู่ในด้าน E S B หรือ I
ถ้ายังไม่รู้จักพวกเขาดีพอ
วิธีหนึ่งก็คือ ให้ฟังสิ่งที่พวกเขาพูด
คำพูดของคุณด้าน E
ฉันกำลังมองหางานที่ปลอดภัยและมั่นคง
ได้เงินเดือนดีๆ สวัสดิการยอดเยี่ยม
คำพูดของคนด้าน S
ฉันยังไม่เจอใครทำงานถูกใจเลย
ฉันมีเวลาให้โปรเจคนี้มากกว่า 20 ชั่วโมงอีกนะ
คำพูดของคนด้าน B
ฉันกำลังหาประธานบริษัทคนใหม่มาบริหารบริษัทของฉัน
คำพูดของคนด้าน I
กระแสเงินสดของฉันมาจากอัตราผลตอบแทนหรืออัตราผลตอบแทนสุทธิ?
คำพูดคือเครื่องมืออันทรงพลัง
พ่อรวยสอนว่า
ถ้าพวกเธออยากเป็นผู้นำ พวกเธอต้องเป็นนายของคำพูดตัวเอง
ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งของการเป็นคนด้าน B
พ่อฝึกให้เราฟังถ้อยคำที่คนอื่นพูดอย่างตั้งใจ
เพื่อให้รู้ว่าต้องใช้คำพูดแบบไหน เมื่อไหร่
ในการสื่อสารกับคนคนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
คำๆนึงอาจจะทำให้คนประเภทนึงตื่นเต้น
แต่อาจทำให้อีกคนคนหนึ่งเบื่อไปเลยก็ได้
แก่นแท้ที่แตกต่าง
แค่ได้ยินคำพูด รู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณ
เบื้องหลังถ้อยคำที่เราเลือกใช้คือแก่นแท้ของตัวตน
และเป็นแก่นแท้ที่แตกต่างของคนคนนั้น
ลักษณะที่แบ่งแยกคนในด้านหนึ่ง กับคนในด้านอื่นๆ ของเงินสี่ด้าน
1.คนด้าน E
หากได้ยินคำว่า มั่นคงหรือสวัสดิการ ผมจะรู้สึกถึงแก่นแท้ของผู้พูดทันที
*คำว่ามันคง มักใช้ตอบสนองความรู้สึกกลัว
แต่คนนี้ด้านมักเอามาใช้มากกว่าคนในด้านอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินหรือเรื่องงาน
*คำว่าสวัสดิการ หมายถึงคนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มเติม
เป็นค่าตอบแทนพิเศษที่ทำให้พวกเขารู้สึกอุ่นใจขึ้น เช่นประกันสุขภาพ
พวกเขากำลังจะบอกว่า ฉันจะทำเพื่อคุณ
ถ้าคุณสัญญาว่าจะตอบแทนให้ฉัน
เขาคิดว่าความมั่นคงสำคัญกว่าเงินเสมอ
2.คนด้าน S
คนกลุ่มนี้คือคนที่อยากเป็น นายตัวเอง
ผมเรียกคนกลุ่มนี้ว่าพวก ฉันทำเอง
คนกลุ่มนี้มักเอาเงินเป็นตัวตั้ง ถ้าเขาทำงานหนัก
เขาก็ต้องการให้คนอื่นจ่ายเงินให้หนักๆด้วย
พวกเขาเข้าใจดี ว่าถ้าไม่ทำงานหนักก็ไม่สมควรที่จะได้รับเงินมากๆ
ในด้านของเงิน คนด้านนี้จะมีจิตวิญญาณที่กระเหี้ยนกระหือรืออย่างยิ่ง
ความรู้สึกกลัว
คนด้าน E ตอบสนองต่อความ กลัวไม่มีเงิน ด้วยการมองหาความมั่นคง
คนด้าน S ตอบสนองในวิธีที่แตกต่างออกไป
โดยพยายามควบคุมสถานการณ์และทำทุกอย่างด้วยตนเอง
สำหรับคนกลุ่มนี้เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด
ความเป็นตัวของตัวเองอิสรภาพในการทำสิ่งต่างๆในแนวทางของตัวเอง
ในสายงานนั้นๆ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าเงิน
เวลาคุณจ้างงานพวกนี้ คุณต้องบอกพวกเขาว่าอยากได้อะไรแล้วปล่อยให้พวกเขาทำ
ความเป็นอิสระสำคัญกว่าเงินสำหรับคนกลุ่มนี้
คนกลุ่มนี้มักมีปัญหาในการจ้างคนอื่นมาทำงานแทนตัวเอง
คิดว่าไม่มีใครดีพอสำหรับงานนั้น
คนด้าน S มักจะมักจะลังเลที่จะจ้างหรือเทรนคนอื่น
เพราะเมื่อเทรนขึ้นมาแล้ว คนที่ถูกเทรน ก็มักจะขึ้นมาเป็นคู่แข่ง
ทำให้คนด้าน S ยอมที่ทำงานหนักคนเดียว ในด้านต่างๆ
3. คนด้าน B
คนด้าน B ที่แท้จริง ชอบที่จะรายล้อมตัวเองด้วยคนฉลาดฉลาดจากทั้ง 4 ด้าน
แม้คนด้าน S ไม่ชอบแบ่งงาน แต่คนด้าน B ชอบแบ่งงาน
คนด้าน B มักพูดว่าจะทำเองไปทำไม
ในเมื่อจ้างคนอื่นทำได้และพวกเขาก็ทำได้ดีกว่าซะอีก
4. คนด้าน I
นักลงทุนใช้เงินทำเงิน พวกเขาไม่ต้องทำงาน
เพราะเงินทำงานให้พวกเขา
ไม่ว่าใครจะทำงานในด้านไหนอยู่ในตอนนี้
ถ้าเขาหวังว่าสักวันจะรวย
สุดท้ายเขาก็ต้องมาอยู่ในด้าน I
มีเฉพาะด้าน I เท่านั้น
ที่จะเปลี่ยนความรวยเป็นความมั่งคั่งได้
ความลับสู่ความร่ำรวยและความมั่งคั่ง
OPT - เวลาของคนอื่น
OPM - เงินของคนอื่น
Otp และ opm มักถูกใช้ในคนด้าน B และด้าน I
คนด้าน E กับด้าน S คือพวก OP หรือคนอื่น
ซึ่งเวลาและเงินของพวกเขาถูกเอาไปใช้
การออกแบบธุรกิจประเภท B
ความสำเร็จ หมายถึง การสร้างระบบเพิ่มขึ้นและจ้างคนที่มากขึ้น
พูดอีกอย่างก็ คือคุณทำงานน้อยลง ได้เงินมากขึ้น
และมีเวลาหาความสุขมากขึ้น
เงินสี่ด้านไม่ใช่กฎเกณฑ์
แต่มันเป็นแนวทางสู่อิสรภาพสำหรับคนที่ต้องการใช้มัน
ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนอื่นๆ
-คนรวย
รายได้ 70% มาจากการลงทุน
รายได้ 30% มาจากค่าจ้าง (เป็นลูกจ้างของบริษัทตัวเอง)
-คนส่วนใหญ่
รายได้ 80% มาจากค่าจ้างในด้าน e และ s
รายได้ 20% มาจากด้าน i
นิยามของคำว่ามั่นคง
คือ จำนวนวันที่คุณมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่ต้องใช้ร่างกายทำงาน
และสามารถรักษาคุณภาพชีวิตในระดับเดิมไว้ได้
เช่น รายได้ต่อเดือนเท่ากับ 5,000 บาท
มีเงินเก็บอยู่ที่ 20,000 บาท
ความมั่งคั่งของคุณจะอยู่ที่ 4 เดือน หรือ 120 วัน
คำที่คนฝั่งซ้ายพูดเกี่ยวกับการลงทุน
1.กระจายการลงทุน เพราะการกระจายการลงทุน คือ กลยุทธ์แห่งการไม่เสียเงิน
2.หุ้นบลูชิพ เพราะคิดว่าหุ้นพวกนี้ปลอดภัย
3.กองทุนรวม คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องการลงทุน ส่วนมากเอาเงินไปให้ผู้จัดการกองทุนบริหาร
เพราะทำให้พวกเขารู้สึกว่ามั่นคงกว่า คิดว่าจะทำได้ดีกว่าตัวเอง
ทำไมคนถึงเลือกความมั่นคงมากกว่าอิสรภาพ
คนจำนวนมากมองหาความมั่นคงในหน้าที่การ
เพราะพวกเขาถูกสอนมาอย่างนั้น ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
-โรงเรียน จะเน้นเส้นทางที่ทำให้เรามุ่งไปเป็นคนฝั่งซ้าย -
ทางฝั่งซ้ายจะถูกกระตุ้นโดยความต้องการความมั่นคง
ส่วนทางฝั่งขวาจะถูกกระตุ้นด้วยความต้องการอิสรภาพ
ติดกับดักหนี้สิน
เหตุผลที่ 90% ของประชากรทำงานอยู่ในฝั่งซ้าย
ก็เพราะมันเป็นด้านที่พวกเขาเรียนรู้จากโรงเรียน
คนส่วนใหญ่มักมีภาระค่าใช้จ่ายมากมายจนกลายเป็นหนี้
ทำให้ต้องผูกติดตัวเองไว้กับงานประจำหรือวิชาชีพของตัวเอง
เพื่อที่จะทำให้มีเงินไปจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆในแต่ละเดือน
ทำตามสคริปต์
ชีวิตของคนที่มีการศึกษาระดับปานกลาง
สคริปทางการเงินของเขามักจะเป็นแบบนี้
เด็กคนหนึ่งไปโรงเรียน
เรียนจบ หางาน มีเงินใช้จ่าย
กลายเป็นผู้ใหญ่
มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซื้อรถ เสื้อผ้าใหม่
แต่งงาน ย้ายมาอยู่ด้วยกัน
คิดว่าค่าใช้จ่ายลดลง เลยซื้อบ้านใหม่
ซื้อเฟอร์นิเจอร์ใหม่แต่งบ้าน
มีลูก
เอาลูกไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล แล้วค่อยไปทำงาน
ติดกับดักความมั่นคงในหน้าที่การงาน
คนที่เจอสถานการณ์แบบนี้มาพูดว่า
“ฉันลาออกไม่ได้หรอก ฉันต้องจ่ายสารพัดใบเสร็จทุกเดือน”
กับดักความสำเร็จ
หากคุณทำงานหนัก แล้วอยู่ในด้าน e และ s
ความสำเร็จ จะทำให้คุณมีเวลาน้อยลงเรื่อยๆ
แม้ว่าจะมีเงินเยอะก็ตาม
กับดักเงิน
ความสำเร็จในฝั่งขวา ต้องอาศัยความรู้ทางด้านการเงิน และบริหารคน
มีหน้าที่ในการสร้างงาน ด้วยการจ้างคนให้น้อย ให้ต้นทุนต่ำ ทำกำไรให้สูง
พ่อจนของผมไม่รู้จักการบริหารเงินและคน
ยิ่งพ่อจ้างคนมามากเท่าไหร่ ยิ่งมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น
คำแนะนำจากนักบัญชีและเจ้าหนี้ธนาคาร
บ้านเป็นสินทรัพย์และควรลงทุน
คำแนะนำนี้ทำให้พ่อทำงานหนักขึ้นและเป็นหนี้มากขึ้น
ทุกครั้งที่พ่อได้เลื่อนตำแหน่งเงินเดือนเพิ่มขึ้น
จะแก้ปัญหาได้ แต่เปล่าเลย ยิ่งได้เงินมากเท่าไหร่
เรื่องเดิมๆ ก็ยิ่งเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเป็นหนี้มากขึ้นจ่ายภาษีหนักขึ้น
ระบบธุรกิจ 3 ประเภท
1. องค์กรดั้งเดิมแบบ C
2. แฟรนไชส์
3. การตลาดแบบเครือข่าย
ระบบธุรกิจแต่ละประเภทมีข้อเด่นข้อด้อยอยู่ในตัว
ระบบที่โรเบิร์ตสร้าง เป็นส่วนผสมระหว่างองค์กรดั้งเดิมแบบ C และแฟรนไชส์
พ่อรวยบอกว่าเธออาจทำบริษัทเจ๊งซัก 2-3 หน
กว่าจะสร้างระบบที่มั่นคงได้
เราเรียนรู้เรื่องของตัวเองได้ดีที่สุด ในเวลาที่ล้มเหลว
เธออาจจะประสบความสำเร็จไม่ได้หรอก
ถ้าไม่เคยล้มเหลวมาก่อน
จะเรียนรู้เพื่อเป็น B ได้อย่างไร
-ฝึกฝนด้วยการทำงานจริง
3 วิธีที่คุณจะเข้ามาอยู่ในด้าน B ได้
1. หาพี่เลี้ยง
พี่เลี้ยงของโรเบิร์ตก็คือพ่อรวย
2.ซื้อแฟรนไชส์
เป็นช่องทางพี่ช่วยให้เราได้เรียนรู้ระบบได้
แทนที่จะเอาเวลาไปกับการสร้างขึ้นมา ก็ใช้เวลาไปกับการสร้างคนแทน
ธนาคารจะให้สินเชื่อกับแฟรนไชส์ แต่จะไม่ปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเล็กๆ
3.เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการตลาดแบบเครือข่าย
-เหมือนการซื้อแฟรนไชส์แต่ใช้เงินจำนวนน้อย
-หาองค์กรดีๆที่จะช่วยให้คุณย้ายมาสู่ฝั่งขวาของเงินสี่ด้าน
2 สิ่งที่จะทำให้ได้เรียนรู้จากโปรแกรมเครือข่าย
เพื่อที่จะช่วยให้คุณเป็น B ที่ประสบความสำเร็จ
1.คุณต้องเอาชนะความกลัว การถูกปฏิเสธให้ได้
คุณจะคิดถึงผมยังไงงั้นไม่ใช่เรื่องอะไรของผมเลย
สิ่งที่สำคัญคือ ผมคิดถึงตัวเองยังไงต่างหาก
2.คุณต้องเรียนรู้ว่าจะนำคนอื่นได้อย่างไร
การทำงานกับคนหลากหลายประเภทเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในการทำธุรกิจ
คนที่ประสบความสำเร็จล้วนแล้วแต่เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำ
การเข้ากับคนง่ายที่เป็นทักษะสำคัญ
นักลงทุน 5 ระดับ
การลงทุน คือกุญแจสู่อิสรภาพทางการเงิน
พ่อจนบอกว่า การลงทุนเป็นเรื่องเสี่ยง
พ่อรวยบอกว่า การไม่มีความรู้ทางการเงินเป็นเรื่องเสี่ยง
5 สิ่งที่จะเกิดกับคนไม่ลงทุน
1.ต้องทำงานหนักตลอดชีวิต
2.ต้องเป็นกังวลเรื่องเงินตลอดชีวิต
3.ต้องพึ่งพาคนอื่น
4.ขอบเขตของชีวิตถูกจำกัดด้วยเงินที่มี
5.ไม่มีวันรู้ว่าอิสรภาพที่แท้จริงเป็นอย่างไร
เรียนรู้ที่จะลงทุน
เกมเศรษฐี คือ เกมแห่งกระแสเงินสด
บทเรียนจากการลงทุนอันล้ำค่าของโรเบิร์ต
-การลงทุนไม่ใช่เรื่องเสี่ยง
-การลงทุนเป็นเรื่องสนุก
-การลงทุนทำให้คุณรวยได้มหาศาล
-ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการลงทุนทำให้คุณเป็นอิสระ
อิสระจากการทำมาหาเลี้ยงชีพและความกังวลเรื่องเงิน
เงินเป็นสิ่งที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
คนเราใช้ปาก 95% และใช้ใจ 5%
เวลาลงทุนพ่อรวยบอกว่า ถ้าเธออยากเป็นนักลงทุนมืออาชีพในด้าน B และ I
เธอต้องฝึกสายตาที่ 5% และใช้ใจ 95% ในการลงทุน
เพราะคนที่รู้จักใช้ใจมองเงินจะมีพลังมากกว่าคนอื่น
ถ้าเธอไม่รู้อะไรเลย มีคนแนะนำบ้างก็ยังดีกว่าไม่มีใครแนะนำ
แต่ถ้าเธอไม่รู้ว่าคำแนะนำไหนแย่ คำแนะนำไหนดี นั่นแหละที่เสี่ยง
พวกที่ปรึกษาอย่างมากก็ฉลาดพอๆ กับเธอ
ถ้าเธอไม่ฉลาด เค้าก็บอกอะไรฉลาดฉลาดเธอไม่ได้
แต่ถ้าเธอหาความรู้เรื่องการเงิน มาเป็นอย่างดี
ที่ปรึกษาอาจจะแนะนำแนวทางการเงินกับเธอได้
เมื่อเจ้าหน้าที่ธนาคารบอกคุณว่าบ้านของคุณคือทรัพย์สิน
เค้าไม่ได้โกหกนะ
แต่เค้าไม่ได้บอกว่ามันเป็นทรัพย์สินของใครเท่านั้นเอง
บ้านที่ผ่อนหมดแล้ว เป็นทรัพย์สินไหม?
หากมันไม่สามารถสร้างกระแสเงินสดที่เป็นบวกได้
มันจะยังไม่ใช่ทรัพย์สินอยู่ดี
ธนาคารรู้ดีว่าอีกไม่กี่ปี คุณก็อาจจะต้องอยากได้บ้านหลังใหม่
อาจจะเป็นบ้านที่หลังใหญ่ขึ้น หรือบ้านเล็กๆ อีกสักหลัง หรือบ้านพักตากอากาศ
แล้วคุณก็ต้องเอาหนี้ ของคุณมารีไฟแนนซ์
เค้ารู้เรื่องพวกนี้ดี พวกเขาตั้งตารอ ให้วันนั้นมาถึงเลยแหละ
เงินออมล่ะเป็นสินทรัพย์ไหม!??
สำหรับเงินออม มันคือ ทรัพย์สินของคุณ
แต่ก็เป็นหนี้สินของธนาคาร
เงินออมของคุณเป็นหนี้สินของธนาคาร
เพราะธนาคารต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากให้คุณ
แถมยังมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาเงินนั้น
ทำไมการออมเงินถึงไม่ได้รับการยกเว้นภาษี
เราสามารถได้รถหย่อนภาษีจากการซื้อบ้าน
แต่กลับไม่ได้รับการยกเว้นภาษีจากการออมเงิน
ส่วนตัวโรเบิร์ตคิดว่า เพราะเงินออมของคุณเป็นหนี้สินของธนาคาร
ธนาคารจะขอให้รัฐบาล มีกฎหมายเพื่อสนับสนุนให้คุณเอาเงินไปฝากเพิ่มทำไม
ก็ในเมื่อเงินคุณเป็นหนี้ของเค้า
คนส่วนใหญ่ที่ประสบปัญหาการเงินอยู่ทุกวันนี้
เป็นเพราะพวกเขาใช้ทางลัดบ่อยเกินไป
และตัดสินใจทางการเงิน โดยอาศัยแต่ความคิดเห็นของคนฝั่งซ้าย
คนส่วนใหญ่ตัดสินใจเรื่องต่างๆในชีวิตโดยใช้ความคิดเห็นที่สืบต่อกันมา
เช่น
-เธอควรจะแต่งงานกับเขานะเค้าน่าจะเป็นสามีที่ดี
-จงหางานที่มั่นคงและทำงานนั้นไปตลอดชีวิต
-เป็น หมอนี่เงินดีนะ
-บ้านของพวกเขาหลังเบอร์เริ่มเลยต้องรวยแน่ๆ
-พันธบัตรปลอดภัยกว่าหุ้น
-การลงทุนมันเสี่ยง
วอร์เรนบัฟเฟต นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา
เขาบอกว่า ถ้าคุณเล่นโปเกอร์แล้วผ่านไป 20 นาที
คุณยังไม่รู้ว่าใครคือไอ้โง่ คุณนั่นแหละคือไอ้โง่ ...
ตัวตนใหม่ของคุณ
สิ่งที่คุณต้องเปลี่ยนแปลงในตัวเองและตัวตนใหม่
มันเกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงนั้น
สำหรับบางคนอาจจะ “ง่าย” และบางคนอาจจะ “เป็นไปไม่ได้” เลย
โลกของเงินเป็นระบบใหญ่ระบบหนึ่ง
ซึ่งเราในฐานะคนทั่วไปต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับแบบแผนต่างๆในระบบนี้
พวก E ทำงานอยู่ในระบบ
พวก S คือระบบ
พวก B สร้างและควบคุมระบบ
พวก I เอาเงินมาลงทุนในระบบ
เมื่อคนคนหนึ่งรู้สึกว่าเค้าจำเป็นต้องใช้งาน
พ่อรวยอธิบายว่า
พวก E หางานทำโดยอัตโนมัติ
พวก S จะทำอะไรด้วยตัวคนเดียว
พวก B จะสร้างหรือซื้อระบบที่ทำเงินได้
พวก I จะมองหาโอกาสลงทุนในสินทรัพย์ซึ่งสร้างเงิน
จงจำไว้ว่าคุณเป็นอะไรก็ได้ที่อยากจะเป็น
และจะอยู่ในด้านไหนก็ได้ที่อยากจะอยู่
ความสามารถในการอ่านตัวเลข
เข้าใจระบบการเงินและระบบธุรกิจ
จะทำให้มีวิสัยทัศน์ที่มนุษย์คนอื่นๆไม่มี
วิสัยทัศน์ทางการเงินจะช่วยลดความเสี่ยงได้
เดินหน้าไปให้เร็วแต่อย่าใช้ทางลัด
*จงลดภาษีด้วยการซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้นและเป็นหนี้มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับการยกเว้นภาษี
*เราควรลงทุนกับบ้านให้มากที่สุด
*คุณควรจะซื้อตอนนี้เพราะราคามีแต่จะสูงขึ้น
*จงรวยช้าช้า
*อยู่ให้ต่ำกว่าระดับฐานะของคุณ
ถ้าคุณใช้เวลาเรียนรู้หัวข้อต่างๆ ของเงินสีด้าน
คำพูดเหล่านี้จะฟังดูไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง
มองเรื่องการเงินด้วยความท้าทาย
มองด้วยมุมมอง ที่แตกต่างไป
#เงินสี่ด้าน
#หมูอ่านหนังสือ
#หมูบอส
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย