9 ม.ค. 2022 เวลา 16:40 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ญี่ปุ่น

รีวิววาย : Restart After Come Back Home (Japan-2020)

• "หนุ่มชาวเมืองที่อยากหลีกหนีจากความวุ่นวายของโตเกียว จึงตัดสินในกลับบ้านเกิดเพื่อไปพักหัวใจที่อ่อนล้า แต่บังเอิญโชคชะตาทำให้เขาได้พบกับหนุ่มบ้านๆธรรมดาคนหนึ่ง ที่จะทำให้หัวใจของเขาได้กลับมาแข็งแรงขึ้นอีกครั้ง"
• Restart After Come Back Home เป็นภาพยนตร์แนว ​Live Action ที่มีต้นฉบับมา BL มังงะยอดนิยมของ อ.โคโคมิ ชื่อเรื่องว่า "Risutato wa Tadaima no Ato de" ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นตอนๆเมื่อปลายปี 2016 จนถึงปี 2018
• สำหรับเวอร์ชั่นภาพยนตร์ หรือ Live Action นี้ออกฉายที่ญี่ปุ่นเมื่อปี 2020 ซึ่งสร้างความฮือฮาได้พอสมควรเลยครับ เพราะนักแสดงที่มารับบทนำทั้ง 2 คน คือ Yuki Furukawa และ Ryo Ryusei เป็นนักแสดงที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของญี่ปุ่นเลยทีเดียว (ผมเคยดูผลงานของ Ryo Ryusei จากหนังเรื่อง Grand Blue ต้องลองไปหาดูกันนะครับ ฮามาก ติดเรตนิดๆจนถึงเยอะมาก มีฉากพระเอกวิ่งแก้ผ้าด้วย เรียกว่าเป็นคนละคนกับเรื่องนี้เลย)
• ดังนั้นต้องเรียกว่าแนวถนัดของญี่ปุ่นเลยครับ เพราะสำหรับหนังวายและซีรีส์วายแบบ Live Action (ภาพยนตร์หรือซีรีส์ที่มีโครงเรื่องมาจากมังงะ หรือพูดง่ายๆเลยครับว่าเอาคนจริงๆมาแสดงเพื่อชุบชีวิตตัวละครจากในมังงะมาให้เราชมกัน) มีมาให้เราชมอย่างไม่ขาดสาย อย่างที่พอรู้จักกันพอสมควรในบ้านเรา ก็เช่น Mood Indigo, Pornographer, Life: Senjou no Bukura, Given หรือ ซีรีส์วายกระแสหลักอย่าง Cherry Magic, Ossan's Love นี่ก็เป็นเรื่องแนว Live Action เช่นเดียวกัน
• แต่สำหรับวันนี้ ที่ผมขอเลือกนำเสนอรีวิวเรื่อง "Restart after Come Back Home" มาให้ได้ชมกันก่อนครับ ก็เพราะว่าเรื่องนี้เป็นหนังวายที่ดูแล้วมันหัวใจพองโตมากที่สุด คือ ถ้าฟินจิกหมอนสุดก็ต้องยกให้ Cherry Magic ถ้าฮาแตกแตนสุดก็ต้องยกให้ Ossan's Love แต่ถ้าดูแล้วอบอุ่นในหัวใจมากที่สุดก็คงต้องยกให้เรื่องนี้ ซึ่งเนื้อเรื่องจะเป็นอย่างไรติดตามชมได้เลยครับ
• "มิทซึโอมิ" มนุษย์เงินเดือนในออฟฟิตที่แสนวุ่นวายของโตเกียว เขาย้ายออกจากบ้านเกิดมาเผชิญโชคอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาต้องการมีชีวิตที่ดูดีกว่าที่เคยเป็น เขามองว่าวิถีชีวิตในชนบทบ้านเกิดของเขานั้นน่าเบื่อ และเคยพูดเอาไว้ว่า "การอยู่ที่นั่นนั้นดูไม่มีอนาคตสำหรับเขาเลย"
• ซึ่งด้วยเหตุผลแบบนี้ของมิทซึโอมินี่แหละครับ ทำให้ความสัมพันธ์กับครอบครัวของเขาจึงไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะกับผู้เป็นพ่อผู้ซึ่งเป็นช่างไม้และเจ้าของร้านเครื่องเรือน ที่ครั้งหนึ่งเคยหวังว่าจะให้ลูกชายสืบทอดกิจการของตนเองต่อไปนั้น ต้องผิดหวังเอามากๆที่มิทซึโอมิดูถูกวิถีชีวิตของคนที่นี่ ก่อนจะออกจากบ้านไปอยู่ที่โตเกียว
• แต่แล้วความฝันที่จะมีชีวิตที่ดูดีในโตเกียวมันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด มันมีแต่ความวุ่นวาย ความกดดันต่างๆ จนวันหนึ่งมิทซึโอมิมีปัญหากับที่บริษัทอย่างรุนแรง จนเขาไม่สามารถอดทนอยู่ต่อไปได้ เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน หลีกหนีความวุ่นวายต่างๆของชีวิตในเมือง และเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด
• นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปีเลยครับ ที่มิทซึโอมิกลับมาที่นี่อีกครั้ง เขาเดินทางถึงสถานีรถไฟที่บ้านเกิดแล้ว อยู่ดีๆเขาก็พบชายแปลกหน้าคนหนึ่งโบกมือให้เขา และมีท่าทางกระตือรือล้นที่จะผูกมิตรกับชาวเมืองผู้มาใหม่อย่างเขามากกว่าปกติ จนสุดท้ายก็ได้รู้ว่าชายผู้นั้นก็คือ "ยามาโตะ" ลูกบุญธรรมของคุณตาเจ้าของสวนผลไม้ ที่ได้รับการไหว้วานจากแม่ของมิทซึโอมิให้เป็นผู้มารับเขาจากสถานีรถไฟ
• ในระหว่างทางกลับบ้าน มิทซึโอมิก็สังเกตดูพฤติกรรมต่างๆของยามาโตะ ที่นอกจากกระตือรือล้นไปซะทุกเรื่องแล้ว ยังเป็นคนที่ชอบวุ่นวายทักทายพูดคุยกับคนอื่นๆไปทั่ว และที่สำคัญยามาโตะทำตัวสนิทสนมกับเขามาก ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน เพียงแค่ได้ยินจากการบอกเล่าจากแม่ของเขาเท่านั้น ดังนั้นในมุมมองของมิทซึโอมิผู้ที่เคยชินกับการในใช้ชีวิตตามวิถีของ "คนเมือง" นั้นจึงมองว่า "ยามาโตะเป็นคนที่น่ารำคาญและวุ่นวาย" สำหรับเขามากจริงๆ
• สำหรับการกลับมาบ้านครั้งนี้ของมิทซึโอมินั้น เขาคิดเอาไว้ว่า เขาอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่ถาวรเพื่อหนีปัญหาความวุ่นวายของการใช้ชีวิตในเมือง โดยหวังว่าพ่อของเขาจะให้เขาได้เป็นผู้สานต่อกิจการของครอบครัว แต่ทว่าเหมือนเขาจะลืมอะไรไปบางอย่างถึงสาเหตุที่เขาจากที่นี่ไปโดยไม่ได้กลับมาเลยเป็นเวลา 10 ปี
• นั่นก็คือ "เขาไม่ชอบวิถีชีวิตแบบคนที่นี่" ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พ่อของเขาปฏิเสธที่จะยกกิจการนี้ให้เขาอีกครั้ง ทำให้มิทซึโอมิโกรธมากทั้งๆที่เขาเพิ่งจะตกงานมา แต่ทำไมคนเป็นพ่อถึงไม่เข้าใจเขาเอาซะเลย
• แต่แท้ที่จริงแล้ว พ่อของเขาเห็นว่า มิทซึโอมิยังขาดแรงจูงใจที่จะมาอยู่ที่นี่ กังวลว่าเขายังไม่สามารถทำอะไรได้ในระยะยาว ถ้ามิทซึโอมิยังไม่เข้าใจวิถีชีวิตแบบคนชนบท ยังไม่เข้าใจชีวิตของช่างไม้แบบเขาอย่างถ่องแท้มากพอ ก็จะทำให้ไม่นานเขาก็จะเบื่อ และดิ้นรนกลับไปใช้ชีวิตแบบคนเมืองอีกครั้ง แล้วจิตวิญญาณของอาชีพช่างไม้ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยปู่ของมิทซึโอมิ มันก็จะสูญหายไปพร้อมกันด้วย
• ผ่านไปหลายวัน มิทซึโอมิก็ยังอยู่บ้านเฉยๆ ไม่คิดดิ้นรนจะทำอะไร หรือไม่มีทีท่าว่าจะคิดวางแผนชีวิตข้างหน้าต่ออย่างไร จนกระทั่งเขาได้ไปเจอกับ ยามาโตะ อีกครั้งโดยบังเอิญที่ร้านขายของ
• ก็เหมือนเดิมครับ ยามาโตะเข้ามาทักทายเขาด้วยความสนิทสนมเช่นเคย และครั้งนี้ยามาโตะก็เอ่ยปากชวนมิทซึโอมิไปเยี่ยมคุณตาที่บ้านของเขาด้วย ซึ่งครั้งนี้มิทซึโอมิก็ตอบตกลงครับ เพราะว่ากลับมาที่นี่หลายวันแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมผู้ใหญ่ที่เขานับถือตั้งแต่สมัยเขายังเป็นเด็กเลย
• แต่เหมือนโชคชะตาลิขิตให้เขาต้องได้มาโคจรอยู่ใกล้ๆกับยามาโตะ ชายหนุ่มที่เขารู้สึกรำคาญมากๆ เพราะการไปบ้านยามาโตะครั้งนี้ นอกจากจะไปเยี่ยมคุณตาแล้ว ยังจับพลัดจับพรูต้องมาช่วยงานที่สวนของคุณตาด้วยแบบที่เขาไม่ได้เต็มใจ แต่เมื่อรับปากกับคุณตาเอาไว้แล้ว มิทซึโอมิจึงต้องจำใจมาช่วยงานที่สวนของคุณตา โดยที่มียามาโตะเป็นพี่เลี้ยงคอยสอนงานให้
• มันไม่ใช่เรื่องง่ายของหนุ่มชาวเมืองอย่างมิทซึโอมิเลยนะครับ ที่ต้องมาเป็นคนงานในสวน แม้ว่ายามาโตะจะพยายามสอนให้ทุกๆขั้นตอนอย่างใจเย็นก็แล้ว แต่มิทซึโอมิก็ยังคงทำไม่ได้ไม่ดี เพราะความขี้เกียจ ความรักในชีวิตอันสะดวกสบายของเขายังคงเป็นอุปสรรคต่องานใหม่ของเขาเป็นอย่างมาก
• แต่แล้วเวลาผ่านไป มิทซึโอมิที่ได้เริ่มเรียนรู้วิถีชีวิตแบบชาวชนบทผ่านการทำงานและเห็นอะไรที่พิเศษบางอย่างที่มาจากตัวของยามาโตะ ทำให้เขารู้สึกได้ว่าการมีชีวิตแบบนี้มันไม่ได้แย่ จนเขาเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น และนอกจากนี้แรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถมีความสุขกับที่นี่ได้นั่นก็คือการได้มาเจอกับยามาโตะในทุกๆวันนั่นเอง จนไม่นานเขาทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดี
• จนวันหนึ่งคุณตาเจ้าของสวนก็ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นมันทำให้มิทซึโอมิเห็นตัวตนในอีกด้านของยามาโตะ ในด้านที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นมาก่อนนั่นก็คือ เขาจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอมาก ถ้าได้เจอกับสถานการณ์ที่ต้องสูญเสียสิ่งที่รักไป"
• ตอนเกิดเหตุนั้นมิทซึโอมิเห็นความอ่อนไหวมากในแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เจอจากชาย "ผู้เข้มแข็งและร่าเริงเสมอ" อย่างยามาโตะ แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้ร้ายแรงมาก คุณตาปลอดภัยแต่จะต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน
• ในคืนนั้นมิทซึโอมิจึงมาอยู่เป็นเพื่อนยามาโตะที่ต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว จึงทำให้เขาได้รู้ว่ายามาโตะนั้นเป็นเด็กที่เติบโตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนได้มาอาศัยอยู่ที่บ้านนี้กับคุณตาในฐานะลูกบุญธรรม ดังนั้นเขาจึงเหลือคุณตาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้ชื่อว่าเป็น "ครอบครัว" ของเขา
• ขณะที่ทั้งคู่กินเหล้าด้วยกันจนยามาโตะหลับไป อยู่ดีๆมิทซึโอมิก็กลับเริ่มมีความหวั่นไหวในหัวใจของตัวเองต่อยามาโตะ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความใกล้ชิดที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากยามาโตะ หรือการที่ทำให้เขามีความสุขในทุกๆครั้งที่ได้เจอยามาโตะ หรือ อาจะเป็นความเห็นอกเห็นใจในการได้เห็นมุมอ่อนแอของยามาโตะเกี่ยวกับการกลัวสูญเสียคนที่เขารัก
• ซึ่งด้วยอะไรก็ไม่ทราบครับ มันก็เลยทำให้มิทซึโอมิต้องการที่จะพิสูจน์ความรู้สึกวูบวาบหวั่นไหวในใจของเขา เขาเลยตัดสินใจ "จูบ" ยามาโตะในขณะที่เขาหลับโดยไม่รู้ตัว และแน่นอนว่ามันกำลังเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของพวกเขาไปตลอดกาล
• วันรุ่งขึ้นมิทซึโอมิก็มาทำงานที่สวนตามปกติ แต่ทว่าวันนี้ยามาโตะก็ชวน "อูเอดะ" ลูกชายเจ้าของร้านขายของชำประจำหมู่บ้าน ที่เป็นเพื่อนกับยามาโตะตั้งแต่มัธยม มาช่วยทำงานด้วยอีกคนแทนในส่วนของคุณลุงที่ยังนอนอยู่ที่โรงพยาบาล ซึ่งวันนี้มิทซึโอมิรู้สึกแปลกๆมาก เพราะเมื่อเห็นภาพเวลาที่ยามาโตะและอูเอดะอยู่ด้วยกันแล้วมันขวางหูขวางตาเป็นที่สุด
• ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาก็สังเกตนะครับว่าทั้งคู่ดูสนิทกันแบบถึงเนื้อถึงตัวกันมาก แต่ว่าบรรยากาศวันนี้มันทำให้เขาไม่พอใจอย่างผิดปกติ นั่นก็เพราะว่าตั้งแต่เขาเผลอขโมยจูบยามาโตะไป ทำให้มิทซึโอมิมั่นใจแล้วครับว่าเขาชอบยามาโตะเข้าแล้วจริงๆ
• แต่ปัญหาสำคัญของมิทซึโอมิในตอนนี้ก็คือ เขาไม่รู้เลยว่ายามาโตะคิดยังไงกับเขา หรือ เขาไม่รู้เรื่องราวส่วนตัวของยามาโตะเลยครับว่ามีแฟนหรือยัง อีกทั้งยามาโตะก็ไม่เคยท่าทีอะไรเลยว่าเขาให้ความสนใจกับใครเป็นพิเศษ ดังนั้นที่พึ่งหนึ่งที่เขาจะสืบข้อมูลได้นั่นก็คือ อุเอดะ เพื่อนสนิทที่สุดของยามาโตะนั่นเอง
• อันดับแรกเลยที่เขารู้ก็คือ ยามาโตะนั้นมักสร้างกำแพงเสมอเมื่อเวลาที่ใครแนะนำผู้หญิงมาให้ เขาจะปฏิเสธทุกครั้งไป แต่ทว่าอุเอดะได้ให้เบาะแสสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นความลับของยามาโตะ ที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนว่า "ยามาโตะที่มักสร้างกำแพงกับใครต่อใครนั้น จริงๆแล้วเขาคบหากับผู้หญิงอายุมากกว่าคนหนึ่งที่ไม่เป็นที่เปิดเผย แต่จะถึงขั้นไหนนั้นไม่มีใครรู้ครับ รู้เพียงแต่ว่าเคยเห็นยามาโตะไปกินข้าว กับผู้หญิงคนนี้อยู่หลายครั้งด้วยกัน"
• หลังจากที่มิทซึโอมิได้รู้เรื่องราวความลับของยามาโตะ ทำให้เขาเหมือนจะมีความหวังก็ไม่ใช่หรือจะรู้สึกอกหักเลยก็ไม่เชิงครับ เพราะมันยังไม่ชัดเจน จนกระทั่งการปรากฎตัวของหญิงปริศนาคนหนึ่ง เธอไปเยี่ยมคุณตาที่โรงพยาบาล และเป็นคนไปรับคุณตาจากโรงพยาบาลกลับมาส่งบ้านด้วย ซึ่งเธอมีชื่อว่า "เรียวโกะ"
• เรียวโกะนั้นดูสนิทสนมกับคุณตากับยามาโตะมาก และที่สำคัญนั้นยามาโตะนั้นดูให้ความสำคัญกับเรียวโกะมากเป็นพิเศษ นั่นเองก็เลยทำให้มิทซิโอมิค่อนข้างกังวลใจและค่อนข้างมั่นใจแล้วครับว่า ผู้หญิงคนที่อุเอดะเล่าให้ฟังนั้นคือเรียวโกะนั่นเอง
• ต้องเรียกว่าอกหักตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลย (แค่ขโมยจูบไปแล้ว 1 ที แค่นั้น 555) ... หลังจากมิทซึโอมิไปส่งคุณตากลับบ้านเสร็จ เขาก็กลับออกมาทันที สร้างความงุนงงให้กับทั้งคุณตา เรียวโกะ และ ยามาโตะเป็นอย่างมาก ในเรื่องอาการผิดปกติของมิทซึโอมิ และหลังจากนั้นเขาก็หายหน้าไปเลย ไม่รับสายจากยามาโตะ ที่พยายามโทรหาเขา
• จนในที่สุดยามาโตะก็ตามหาเขาจนเจอ (ตามง้อสุดฤทธิ์เลยครับ) และเฉลยความจริงทั้งหมดเกี่ยวกับเรียวโกะ ว่าจริงๆแล้วเธอคือพี่สาวที่โตมาด้วยกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า พวกเขาทั้งคู่จึงรักกันมากเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน จนกระทั่งเรียวโกะตัดสินใจแต่งงานไปมีครอบครัว และ ยามาโตะก็มาอยู่กับคุณตา แต่ทว่าความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ยังติดต่อไปมาหาสู่กันตลอด
• เรียวโกะยังบอกต่ออีกว่า จริงๆแล้วแล้วที่ยามาโตะสร้างกำแพงเรื่องความรักขึ้นมาก็เพราะว่าเขาเกิดมาในที่ที่ไม่เคยรู้จักกับคำว่าความรัก เขาเลยไม่รู้จะต้องตอบสนองยังไงเมื่อมีคนมาให้ความรู้สึกดีๆด้วย ดังนั้นเขาจึงสร้างกำแพงขึ้นมาแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรัก เพียงแต่ว่ารอวันที่จะมีคนๆหนึ่งมาทำให้กำแพงนี้ทลายลงก็เท่านั้น ... มีบอกเทคนิคพิชิตใจน้องชายให้ว่าที่น้องสะใภ้เสร็จสรรพเลยน่ะคุณพี่เรียวโกะ!!
• หลังจากนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็กลับมาดีเหมือนเดิม และดูจะใกล้ชิดขึ้นไปกว่าเดิมอีกครับ มิทซึโอมิเปิดใจและยอมรับกับสภาพชีวิตของที่นี่ ก็ต้องเรียกได้ว่าเพราะการมียามาโตะอยู่ข้างๆนั่นแหละครับคือสิ่งที่ทำให้เขาเปลี่ยน และมีความสุขแบบที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ทว่าปมในใจเรื่องหนึ่งของเขาที่ยังไม่ถูกคลี่คลายนั่นก็คือ "เรื่องพ่อของเขา" นั่นเอง
• วันหนึ่งทางบ้านของมิทซึโอมิก็ไหว้วานให้ยามาโตะขับรถบรรทุกไปส่งตู้ไม้เก่าที่มีคนมาฝากซ่อมแทนพ่อของมิทซึโอมิ ที่น่าจะไปส่งเองไม่ไหวเนื่องจากอาการปวดหลังอย่างมาก หลังจากที่ตั้งใจซ่อมแซมตู้หลังนั้นอยู่นานหลายวัน โดยในวันนี้มิทซึโอมิก็อาสาที่จะตามไปด้วยในฐานะตัวแทนของเจ้าของร้าน
•แล้วตู้หลังนั้นก็ถูกส่งกลับคืนไปที่เจ้าของ สร้างความปลาบปลื้มใจให้กับพวกเขามากเพราะตู้เก่าแก่หลังนี้ พวกเขารักมันมาก มันอยู่กับพวกเขานานผ่านเรื่องราวต่างๆมาด้วยกัน โดยคนที่ต่อตู้หลังนี้ก็คือปู่ของมิทซึโอมิ ต่อมามันได้ถูกชุบชีวิตให้กลับมาเหมือนใหม่ได้อีกครั้งด้วยฝีมือพ่อของเขา และ เจ้าของตู้ยังกล่าวอีกว่าถ้าตู้หลังนี้ตกทอดไปยังรุ่นหลังต่อไป พวกเขาก็ไม่ต้องห่วงแล้วว่ามันจะสูญหายหรือพังไป เพราะเชื่อมั่นว่าจะต้องเป็นมิทซึโอมินี่แหละครับ ที่เป็นคนชุบชีวิตมันได้อีกครั้งในฐานะทายาทรุ่นที่ 3 ของร้านนี้
• นี่แหละครับจิตวิญญาณของความเป็นช่างไม้ มิทซึโอมิคนนี้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยครับว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อได้เห็นความสุขของลูกค้า หลังจากกลับไปถึงบ้าน เขาก็วิ่งตรงไปหาพ่อของเขาทันทีเพื่อขอโทษในเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมาและขอโอกาสให้พ่อของเขาถ่ายทอดวิชาช่างไม้ให้อีกครั้ง ซึ่งเมื่อพ่อของมิทซึโอมิเห็นถึงความตั้งใจ และรับรู้ว่าเขาเข้าใจถึงวิถีและจิตวิญญาณของการเป็นช่างไม้ที่แท้จริงแล้ว จึงตอบตกลงที่จะสอนและยกกิจการนี้ให้มิทซึโอมิเป็นผู้สืบทอดต่อไป
• เรื่องราวทั้งหมดดูเหมือนจะคลี่คลายไปหมดแล้ว แต่ทว่ายังมีอีกปมในใจของยามาโตะอีกเรื่องหนึ่งที่เขาต้องการรู้ว่าใครคือพ่อแม่ที่แท้จริงของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินทางไปโตเกียวกับมิทซึโอมิ เพื่อไปสืบหาเรื่องพ่อกับแม่ของเขา ซึ่งเบาะแสเดียวที่เขารู้ก็คือเขาถูกทิ้งไว้ที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง เขาจึงไปที่สำนักงานเขตที่นั่นเผื่อจะได้รู้เรื่องราวต่างๆเพิ่มเติม
• และในคืนนั้นนั่นเองครับที่ยามาโตะ กับ มิทซึโอมิได้เปิดเผยความในใจซึ่งกันและกัน ยามาโตะบอกว่าตอนที่มิซึโอมิขโมยจูบนั้น เขารู้สึกตัวอยู่แต่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร จึงไม่ได้พูดออะไรออกมา และสุดท้ายเขาก็รู้ตัวว่าสิ่งที่เขารู้สึกกับมิทซึโอมืนั้นคงมีความหมายเหมือนกันกับที่มิทซึโอมิคิดนั่นเอง
• เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่ก็กลับไปที่สำนักงานเขตอีกครั้ง ในตอนแรกยามาโตะก็รู้สึกกังวลมากว่า ถ้าไม่เจอข้อมูลใดๆเลย เขาก็คงรู้สึกเสียใจที่ชีวิตนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้มีพ่อกับแม่ เขาก็จะไม่ได้รับความรักเหมือนกับคนอื่น แต่ทว่าในตอนนี้เขามีมิทซึโอมิอยู่ข้างๆเขาแล้ว เขาจึงคลายกังวล
• และเป็นดังคาดครับ ไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับพ่อแม่เขาเลย แต่ทว่าบังเอิญมีเจ้าหน้าที่อาวุโสท่านหนึ่งจำเหตุการณ์ในวันนั้นได้ เขาเองเป็นคนไปรับตัวยามาโตะมาหลังจากได้รับแจ้งว่ามีเด็กถูกทิ้งเอาไว้ และนั่นทำให้เขาได้รับรู้ว่าคนที่ตั้งชื่อให้เขาว่า "ยามาโตะ" นั้นก็คือพ่อกับแม่ของเขาเอง
• ด้วยวิธีคิดแบบยามาโตะ แม้จะเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยก็ตาม สิ่งนั้นกลายเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจให้เขาครับ เพราะยามาโตะเชื่อว่า ชื่อคือสิ่งสำคัญที่สุดของคนเรา ดังนั้นการที่พ่อแม่เขายังอุตส่าห์เขียนชื่อเขาเอาไว้บนแผ่นกระดาษ ก่อนที่จะทิ้งเขาไปนั้น นั่นก็แสดงให้อย่างไรเสีย พ่อกับแม่ของเขายังคงมี "ความรัก" ในตัวเด็กคนนี้ เพราะพวกเขาตั้งใจที่มอบสิ่งสำคัญของคนเราเอาไว้ให้เขา นั่นก็คือชื่อของเขา "ยามาโตะ" นั่นเอง
• บทสรุปสุดท้ายของเรื่องทั้งยามาโตะและมิทซึโอมิก็กลับไปใช้ชีวิตที่บ้านเกิดตามเดิม ต่างคนก็ต่างเห็นความสุขที่แท้จริงของตัวเอง เขาทั้งคู่ไม่มีใครที่รู้สึกว่าว่าตัวเองขาด เพราะต่างฝ่ายต่างก็เป็นส่วนเติมเต็มในชีวิตให้แก่กันและกัน
• ถ้าให้ผมวิจารณ์ข้อดีของหนังเรื่องนี้ สิ่งแรกที่ผมอยากจะบอกเลยก็คือ เรื่องนี้มีองค์รวมที่ดูแล้วอบอุ่นหัวใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยครับ เพราะในหลายๆองค์ประกอบไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง บทพูด ภาพมี่สื่อออกมา แสงสีและโทนของภาพ มันช่วยส่งเสริมสร้างความอบอุ่นหัวใจให่เรื่องนี้อย่างมาก
• ส่วนอีกประเด็นที่นอกจากจะทำให้หัวใจพองโตแล้ว ผมว่าหนังเรื่องนี้มันสร้างคำถามให้เราได้คิดอะไรหลายๆครับ ทั้งเรื่องการใช้ชีวิต หรือ การค้นหาตัวตน หาว่าอะไรความสุขของคนเรากันแน่
• อันดับแรกเลยคือตัวเนื้อเรื่อง ซึ่งมันชัดเจนอยู่แล้วครับว่าเป็นเรื่องของมิทซึโอมิที่มาตามหาความหมายของคำว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร ซึ่งความฉลาดของหนังเรื่องนี้คือการสร้างตัวละครอย่าง "ยามาโตะ" ขึ้นมา เพื่อเป็นตัวแทนของความสุขทั้งหลาย เพราะตัวละครตัวนี้แม้ว่าเขาจะผ่านอะไรมาหรือเจอเรื่องร้ายๆอะไรมาก็ตาม ยามาโตะก็ยังคงสามารถเปล่งแสงของความสุขออกมาได้ (อยากบอกว่า Ryo Ryusei ที่เล่นเป็นยามาโตะนี้เล่นได้แบบสุดยอดมากครับ แบบลืมภาพเดิมๆของหนุ่มจอมทะเล้นในเรื่องอื่นๆได้อย่างหมดสิ้นเลย)
• ซึ่งนอกจากมันจะมีผลต่อตัวมิทซึโอมิในเรื่องแล้ว มันยังส่งถึงคนดูด้วยครับ คือ เราจะรู้สึกว่าคนอย่างยามาโตะคงหาได้ยากมากในสังคมปัจจุบัน แต่การที่สังคมใดก็ตามมีคนอย่างยามาโตะอยู่ละก็ นั่นคือสังคมที่ความสุขอย่างที่ทุกๆคนอยากให้เป็น มันเลยทำให้หนังเรื่องนี้มันส่งพลังงานบวกออกมาตลอดครับ เราเลยมีความรู้สึกว่าหัวใจฉันพองโตอยู่ตลอดเวลาที่ดูหนังเรื่องนี้
• เรื่องต่อมาคือเรื่องบทของเรื่อง มันมีอยู่หลายประโยคเลยนะครับที่ให้ข้อคิดดีๆในการใช้ชีวิต เช่น บทพูดของพ่อมิทซึโอมินี้ชัดเจนมาก มันคือการสอนให้ถึงการดำเนินชีวิต สะท้อนภาพและเสียดสีสังคมปัจจุบันได้อย่างดี หรือคำพูดบางคำของยามาโตะที่มันดูธรรมดามากแต่มันดูจริงใจและเป็นความเรียลที่หาไม่ได้ในสังคมเมืองทุกวันนี้
• การสอดแทรกค่านิยมดั้งเดิมของญี่ปุ่นบางอย่างในเรื่องนี้ มันก็ทำให้เกิดภาพเปรียบเทียบและคิดตามครับว่า อันที่จริงแล้วบางสิ่งที่เราดูว่ามันล้าสมัย มันไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมปัจจุบันก็จริง แต่ทว่าถ้ามันเกิดอยู่ในบริบทอื่น เกิดขึ้นในสภาพสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่มันอาจไม่ใช่แบบที่เราคุ้นชิน มันอาจจะเหมาะสมกับที่นั้นๆก็ได้ครับ ดังนั้นบางสิ่งที่เรามองว่าเชยล้าสมัยควรยกเลิก มันก็ไม่จริงสำหรับทุกคนเสมอไปครับ
• อันต่อมาที่ไม่พูดไม่ได้เลยครับนั่นก็คือ ภาพที่สื่อออกมาให้ชมของหนังเรื่องนี้ ต้องขอคาราวะทีมหาโลเกชั่นเลยครับ ว่ามันสุดยอดมาก เป็นหนังที่หาโลเกชั่นที่สวยมากที่สุดเรื่องหนึ่งในใจผมเลยครับ แถมการให้สีการใช้แสงในภาพนั้น ช่างคุมโทนให้ดูอบอุ่นตลอดทั้งเรื่องเลยจริงๆครับ
• นอกจากนี้ เคยมีคำพูดที่ว่าถ้าบ้านเราถวิลหาความสวยงามในยุค 90s อย่างไร ที่ญี่ปุ่นก็ถวิลหาความคลาสสิคของภาพในยุค 80s อย่างนั้นแหละครับ ซึ่งยุค 80s ของญี่ปุ่นก็เปรียบเหมือนสัญลักษณ์แทนช่วงที่มีความสุขที่สุดของสังคมญี่ปุ่นนั่นเอง
• ซึ่งก็แค่อยากบอกว่าเรื่องนี้สรรหาสถานที่ที่ยังมีกลิ่นของยุค 80s ของญี่ปุ่นได้ยอดเยี่ยมมากๆครับ แค่รถไฟในเรื่องก็โครตคลาสสิคจนต้องไปสืบเลยครับว่าอยู่ที่ไหน (เป็นเมืองเล็กๆเมืองหนึ่งในจังหวัดนากาโน แต่ผมจำชื่อไม่ได้แล้วครับ) อยากไปตามรอยเรื่องนี้มาก ก็เลยทำให้เรื่องนี้มันถูกจริตคนดูที่อยากเห็นภาพความสุขในยุคนั้นได้อีกจุดหนึ่งครับ
• แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้แม้จะจั่วหัวว่าเป็น Gay Theme ก็จริง แต่กลับกลายเป็นว่าประเด็นความเป็น LGBTQ ของเรื่องนี้ดูอ่อนลงไปเลยครับเมื่อเปรียบเทียบกับประเด็นอื่นๆ ก็เลยทำให้ถ้าคนดูมองว่าเป็น "หนังวาย" มันจะดูไม่ค่อยเต็มอิ่มสักเท่าไหร่ครับ
• ทั้งเรื่องเคมีนักแสดง ที่ดูยังไม่อินกันสักเท่าไหร่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะบทของยามาโตะด้วยครับ ที่เขาไม่เข้าใจและไม่แสดงออกในเรื่องของความรัก มันก็เลยมีช่วงที่ควรจะจิ้นๆฟินกันน่อยไปหน่อย แม้จะมีบทโรแมนติกเล็กๆในช่วงตอนท้ายเสริมเข้ามาให้คนดูแอบหวีดกันบ้าง แต่ด้วยตัวหนังมันปูอารมณ์มาเป็นอีกแบบ ความสัมพันธ์ของตัวละครแบบชวนจิ้นๆ หรือเคมีที่เข้ากันแบบความเป็นหนังวายนั้นเลยดูขาดไปสักนิดนึง
• และอีกส่วนที่ขัดใจเล็กๆคือการลำดับเรื่องในการคลี่คลายปมของตัวละครในตอนท้าย อันที่จริงผมว่าถ้าสลับเอาประเด็นของยามาโตะมาวางเอาไว้ก่อนเรื่องของมิทซึโอมิ ผมว่ามันจะเป็นการจบที่สมบูรณ์และเต็มอิ่มได้มากกว่านี้ครับ
• เพราะถ้าได้ดูตัวหนังจริงแล้วก็จบพบว่า ไคลแม็กซ์ที่กินใจสุดๆของเรื่องมันคือตอนที่ยามาโตะและมิทซึโอมิขับรถไปส่งตู้ให้ลูกค้านั่นแหละครับ แถมภาพในซีนนั้นคือโครตสวยมากๆอีกต่างหาก ถ้าสลับเรื่องมาจบตรงนี้ได้ มันจะพีคที่สุดและดึงอารมณ์ความปริ่มเปรมได้ดีที่สุดของเรื่องแล้วครับ
• แต่พอเอาเรื่องของยามาโตะมาปิดท้ายนั้น ผมรู้สึกว่ามันเลยจุดพีคของเรื่องมาแล้วครับ ดังนั้นเลยดูว่าเรื่องของยามาโตะกลายเป็นตอนเสริมเพื่อให้คนเห็นปมของเขาเท่านั้น เพราะเนื้อเรื่องไม่ได้เน้นให้เรื่องของยามาโตะนั้นเป็นประเด็นไคลแมกซ์ของเรื่องนั่นเอง
• ก็ต้องบอกว่า เรื่องนี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับ สาวกวายสายชอบความฟินเท่าไหร่นักครับ เพราะในมุมของการเป็น "หนังวาย" แล้วมันอาจจะดูจืดๆไม่ได้เป็นไปอย่างที่คาดหวัง ว่าจะต้องมีความฟินๆ แบบสไตล์หนัง Live Action อย่างเรื่องอื่นๆที่ผ่านมา
• แต่ทว่าเรื่องนี้ เป็นหนังที่ให้ข้อคิดในการใช้ชีวิตได้ดีมาก ดูแล้วมีกำลังใจดีครับ เหมาะสมกับช่วงนี้นะครับ ที่มีเรื่องเครียดๆให้เราต้องฝ่าฟันต่อสู้กันตลอด แถมเพลงประกอบก็โครตเพราะ ภาพก็สวยมาก มันยิ่งทำให้หนังเรื่องนี้มีพลังงานพิเศษบางอย่างที่ทำให้เรามีความสุขได้จริงๆครับ
• ดังนั้นบทสรุปหรือคำแนะนำสำหรับเรื่องนี้ ก็ต้องบอกว่าควรดูอย่างยิ่งครับ เพราะมันช่างอบอุ่น ปริ่มเปรม เสริมพลังงานบวก และหัวใจพองโตมากเมื่อดูหนังเรื่องนี้จบ
• สามารถหาชมกันได้ในหลายช่องทางนะครับ ทั้งแบบ Official หรือ แบบใต้ดินต่างๆ ลองไปหาดูนะครับ อันนี้ขออนุญาติไม่ชี้แนะนะครับ 555 แต่รับรองว่าเมื่อได้ดูจบแล้วจะรู้สึกแบบเดียวกับผมแน่นอนครับ
• สุดท้ายข้อคิดที่ผมได้จากเรื่องนี้ก็คือ จริงๆแล้วโลกนี้มันไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดนั้น มันมีหนทางของมันแหละครับที่จะพาเราไปพบกับความสุข เพียงแต่ว่าคุณจะหามันเจอหรือเปล่า หรือ เมื่อไหร่ที่จิตใจคุณพร้อมแล้ว สิ่งที่เป็นความสุขนั้นมันจะมาคุณเองครับ
Offifial Trailer : リスタートはただいまのあとで

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา