4 ธ.ค. 2021 เวลา 02:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ใครที่ศึกษาหุ้น SaaS มาสักพัก น่าจะเคยได้ยินคำว่า "Rule of 40"
Rule of 40 เมตริกง่ายๆ ในการคัดหุ้นเติบโต
⭐Rule of 40 คืออะไร
 
Rule of 40 คือ เมตริกหนึ่งที่ Venture capital เอามาใช้วัดความสำเร็จของธุรกิจขนาดเล็กที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ถูกคิดขึ้นมาโดย Brad Feld นักลงทุน VC ชั้นนำ และผู้ก่อตั้ง Techstars
จากสถิติ บริษัทที่สามารถเอาชนะ Rule of 40 ได้โดยสามารถสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและกำไร จะได้รับมูลค่าที่สูงจากตลาด ซึ่งวัดจาก Price to sales (P/S) ซึ่งจะสูงเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับบริษัทที่ไม่มี Rule of 40 และบริษัทเหล่านีมักจะสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า 15% ของ S&P 500
มีวิธีการคำนวนง่ายๆ คือ เอา อัตราการเติบโตของรายได้ มาบวกกับ อัตรากำไรที่บริษัททำได้
 
⭐Rule of 40 = Revenue Growth + Profitability Margin
 
โดยเขาอธิบายว่า
 
ถ้าบริษัท มีรายได้โต 20% ก็ควรมีอัตรากำไร 20%
ถ้า รายได้โต 40% บริษัทจะไม่กำไรเลยก็ได้
ถ้า รายได้โต 50% เราจะยอมให้บริษัทขาดทุนได้ 10%
ถ้าบริษัทไหนยิ่งทำตัวเลขได้มากกว่านี้ ถือว่า "ยอดเยี่ยม"
#ตัวเลขที่นำมาใช้ เราต้องการตัวเลขเพียง 2 ตัว ในการหา Rule of 40 คือ การเติบโตของรายได้ และ อัตรากำไร
 
💎การเติบโตของรายได้
 
ตัวเลขที่เอามาใช้กันในส่วนรายได้มักจะใช้การเติบโตรายปี หรือ TTM และเป็นตัวเลข GAAP ตามมาตรฐานบัญชี เพื่อให้เวลาเราคำนวณจะได้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ในบริษัท SaaS ส่วนใหญ่จะมีรายได้จาก subscription มากกว่า 80% ซึ่งบางคนก็เลือกใช้ recurring sales growth แทนรายได้ทั้งหมด
💎อัตรากำไร
 
ตัวเลขที่บ่งบอกถึงกำไรของบริษัทมีหลายตัวที่เรานำมาใช้ได้ เช่น Free Cash Flow, Cash from Operations, Operating Income, Ebit, Ebitda ตัวเลขที่เอามาคำนวนกับรายได้ก็ควรเป็น GAAP เราจะใช้ตัวเลขกำไรตัวไหนก็ได้ เพียงแต่เราต้องรู้ถึงความต่างของตัวเลขแต่ละตัว ซึ่งหลายครั้งการใช้ตัวเลขที่ต่างกัน ค่าที่ได้ก็ต่างกันมาก เช่น ถ้าเรานำ Cash from Operations มาใช้ ตัวเลขที่ได้มักจะสูงกว่าการนำ Ebitda มาใช้
✨ตัวอย่าง หุ้น DocuSign
 
รายได้ปี 2019 -- 974 ล้านเหรียญ
รายได้ปี 2020 -- 1,453 ล้านเหรียญ เติบโต 49%
 
ในปี 2020 มีอัตรากำไร
 
Cash from Operations 297 ล้านเหรียญ คิดเป็น 20% ของรายได้
Free Cash Flow 236 ล้านเหรียญ คิดเป็น 16%
Ebitda 25 ล้านเหรียญ คิดเป็น 1.72%
Operating income ลบ 174 คิดเป็น -12%
✨✨#Rule of 40
 
Growth + Cash from Operations = 69
Growth + Free Cash Flow = 65
Growth + Ebitda = 50.72
Growth + Operating income = 37
 
จะเห็นว่าพอเราใช้ Operating income แทน ตัวเลขที่ได้ก็ตกเกณฑ์ไป
.
😄ในการคิด Rule of 40 ตัวเลขที่แอดชอบใช้มากที่สุด คือ Ebitda margin เพราะมันสะท้อนภาพธุรกิจที่แท้จริงโดยตัด interest, taxes, depreciation และ amortization ออกไป และยังสามารถดู cash balance ของบริษัทได้อย่างคร่าวๆด้วย
 
และบริษัท SaaS ส่วนใหญ่มักมีรายจ่ายก้อนใหญ่ที่เป็น non cash อย่าง stock-based compensation การนำตัวเลขนี้มาบวกกลับกับ Ebitda ก็จะทำให้เราเห็นอีกภาพหนึ่ง
 
ตัวอย่าง หุ้น DocuSign อีกครั้ง
 
Ebitda บวกกลับ SBC 312 ล้านเหรียญ คิดเป็น 21%
Growth + Ebitda exc. SBC = 70
.
.
😄จริงๆแล้ว Rule of 40 ไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ใช้ในบริษัทเทคขนาดเล็กเท่านั้น แต่เราสามารถปรับไปใช้กับบริษัทที่มีขนาดใหญ่ได้ด้วย ซึ่งบริษัทที่จะมี Rule of 40 ได้ มักจะมี 3 scenario ดังนี้
 
💎1. บริษัทเน้น growth เป็นหลัก
 
ในบริษัทเทคขนาดเล็กและกลาง การเร่งการเติบโต ขยายฐานการใช้งาน สร้าง network effect เพื่อให้เป็นเจ้าตลาดให้ได้เป็นส่วนที่สำคัญมากกว่าการทำให้บริษัทกำไร บริษัทที่มี Rule of 40 ในกลุ่มนี้จะมีการเติบโตของรายได้สูงซึ่งจะมากกว่า 30%
 
บริษัทในกลุ่มนี้ที่แอดรู้จักและมี Rule of 40 เรียงจากตัวเลขมากไปน้อย โดยคิดจาก Ebitda มีดังนี้
 
Upstart, Zoom, Square, MercadoLibre, Sea, SentinelOne, Intuit, The trade desk, Roblox, DoorDash, Shopify, Crowdstrike, DataDog, Teladoc, DocuSign, CareDx, GlobalE
💎2. บริษัทที่มีทั้ง การเติบโตของรายได้ และ อัตรากำไร ไปพร้อมๆกัน
 
บริษัทที่ผ่านเฟสการเติบโตแบบมากๆ การจะรักษาการเติบโตระดับสูงเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บริษัทในกลุ่มนี้มักมียอดขายเพิ่มขึ้น 10%-30% และถ้าบริษัทมีการเติบโตที่น้อยลง แต่แลกมากับการมีกำไรมากขึ้น เมื่อเอาตัวเลขมารวมกันแล้ว ก็ยังเข้าเกณฑ์ Rule of 40 ตัวเลขนี้สามารถฉายให้เห็นภาพของบริษัทที่มีการ balance กันระหว่าง การเติบโต และ การสร้างกำไร ได้
 
ตัวอย่างหุ้นในกลุ่มนี้ เช่น Microsoft, Salesforce, Adobe, Veeva System
💎3. บริษัทขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตน้อย แต่กำไรมาก
 
การจะเอาชนะ Rule of 40 ถือว่าเป็นเรื่องยากมากสำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ เพราะการเพิ่มรายได้จากฐานที่กว้างนั้นทำได้ยาก การปรับปรุงอัตรากำไรมักจะเป็นเรื่องที่ทำได้มากกว่า
 
ลักษณะบริษัทในกลุ่มนี้จะมีการเติบโตที่ต่ำกว่า 10% แต่จะมีอัตราการทำกำไรที่สูง เช่น Oracle การเติบโตของรายได้ 4% ต่อปี แต่มี Ebitda สูงถึง 44% ทำให้ได้ Rule of 40 = 48
.
.
🤔การจะรักษา Rule of 40 ในระยะยาวถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย จากการสำรวจของ Bain & Company ในบริษัท SaaS 86 บริษัท ในช่วง 2013-2017 พบว่า
 
มี 21 บริษัท หรือ 25% ที่รักษา Rule of 40 ไว้ได้ราว 3 ปี และ
มีเพียง 14 บริษัท หรือ 16% ที่ สามารถรักษาได้มากกว่า 5 ปี
.
#ข้อจำกัดในการใช้
 
Rule of 40 สามารถช่วยให้เราประเมิณหาหุ้นดีและมีศักยภาพในการเติบโตสูงได้ แต่ตัวเลขที่ได้ไม่ได้นำเรื่องการ valuation ใดๆมาคิด ถ้าเราซื้อหุ้นดีที่ราคา overprice ไปมากๆ ในท้ายที่สุดเราก็จะขาดทุนได้มากอยู่ดี
 
โดยเรื่องนี้ Jim Cramer พิธีกรรายการ Mad Money ทาง CNBC แนะนำราคาที่เหมาะสมในการซื้อว่า บริษัทควรมี Rule of 40 มากกว่า P/S ประมาณ 5 เท่า หรือ มากกว่านั้นได้ยิ่งดี และควรใช้ Ebitda margin มาใช้คำนวนแทนตัวเลขอื่นๆ
.
😎สรุป Rule of 40 มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุนในการเอามาคัดหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตที่แท้จริง ออกจากหุ้นเติบโตแบบธรรมดาที่มีอยู่ในตลาด บวกกับการทำ valuation รอจังหวะในการเข้าซื้อที่ดี จะทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตได้ในระยะยาวค่ะ
.
.
บทความนี้ไม่ได้เชียร์ให้ซื้อหุ้นแต่อย่างใด กรุณาศึกษาทำความเข้าใจด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจลงทุนนะคะ
.
.
ชอบกดlike กดshare ให้แอดด้วยนะคะ
ติดตามบทความได้ทุกวันเสาร์ที่ 1 และ 3 ของทุกเดือน เวลา 9.00 เช้านะคะ
ช่องทางติดตาม
.
.
--Stock Surge—
เล่าเรื่องหุ้นนอกรายตัว แบบเข้าใจง่าย อ่านจบได้ใน 5 นาที
.
.
References:
1. รายได้บริษัท Seeking Alpha
2. ตัวเลข Ebitda
3. What is the Rule of 40 and How to Calculate it and Use it for SaaS
GROWTH
4. Hacking Software’s Rule of 40
5. The Rule of 40 for SaaS and Subscription Business
6. The SaaS Rule of 40 | How to Calculate and Why It Matters
7. Using Rule Of 40 For Picking Winning Stocks
8. Rule of 40 for stock selection
9. How to Find the Best Software (SaaS) Stocks Using the Rule of 40
10. Calculating the Rule of 40
11. Rule of 40
12. SaaS and the Rule of 40: Keys to the critical value creation metric
13. A Quick Primer on the Rule of 40
โฆษณา