2 ธ.ค. 2021 เวลา 08:39 • หนังสือ
Book Review By Kakommz : ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการ "ช่างแ ่ง" THE SUBTLE ART OF NOT GIVING A F*CK
สวัสดีผู้อ่านที่น่ารักทุกคนด้วยนะครับ ผม Kakommz วันนี้ผมมีหนังสือที่ดีเยี่ยมมาแนะนำอีกเช่นเคยครับ โดยต้องขออนุญาต​เกริ่นก่อนว่า เป็นหนังสือที่ผมได้มาจากการที่เพื่อนให้ยืมมาอ่านและรู้สึกว่า เป็นหนังสือเล่มแรก (ที่ผมอ่าน)​ ที่ภาษาการเขียน "เป็นกันเอง" มาก คือก็เป็นหนังสือที่แปลมาอีกทีนะครับ แต่ก็ต้องชื่นชมผู้แปลมา ณ ที่นี้ เพราะผู้แปลสามารถแปลได้อย่างละเมียดละไม​และค่อนข้างตรงกับต้นฉบับ (ที่ผู้เขียนเขียนได้เป็นเอกลักษณ์)​ เป็นอย่างมาก
เกริ่นมาขนาดนี้ ผมเพียงต้องการจะบอกกับผู้อ่านทุกคนว่า เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่ควรค่าแก่การแนะนำให้อ่านมากๆ ครับ
เข้าเรื่องดีกว่าครับ หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า "ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการ "ช่างแ ่ง" THE SUBTLE ART OF NOT GIVING A F*CK" ผู้เขียนคือคุณ Mark Manson และหนังสือเล่มนี้ได้รับการขนานนาม​ว่าเป็น New York Times Bestseller โดยเนื้อหาคร่าวๆ ภายในหนังสือกำลังจะบอกให้ทุกคน "ช่างแ ่ง" บ้าง เพราะชีวิตของเรานั้น ไม่ควรที่จะแคร์ทุกสิ่งอย่างที่เข้ามา หากแต่เป็นการเลือกแค่สิ่งที่ควรจะแคร์จริงๆ แต่สิ่งที่ควรจะแคร์คืออะไรนั้น ผม Kakommz​ ขอรับหน้าที่นำเสนอเนื้อหา (บางส่วน)​ เพื่อคลายความสงสัยนี้กันครับ
ศิลปะแห่งการช่างแ ่ง
Cr. : https://pixabay.com/th/users/joshuamiranda-1183994/
เริ่มต้นมาก็ช่างแ ่งทันทีครับ แต่ว่าผู้อ่านทุกท่านกำลังสงสัยไหมครับว่า คำว่า "ช่างแ ่ง" จริงๆ แล้วหมายความว่าอย่างไร? บ้างก็อาจจะบอกว่า มันคือการที่เราอยู่นิ่งๆ และเมินเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง​หรือผู้ที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดและไม่ยอมก้มหัวให้ใคร สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การช่างแ ่ง​ แต่คือ "คนบ้า" ต่างหากครับ
ถ้าอย่างนั้น การช่างแ ่ง​ หมายถึงอะไร? คุณ Manson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ จะมาไขข้อสงสัย​นี้ด้วย "เคล็ดลับ" 3 ประการกันครับ
เคล็ดลับ #1 : การช่างแ ่งไม่ได้หมายถึงการเมินเฉย แต่หมายถึง​การยอมรับ​ว่าตัวเองนั้นแตกต่าง
Manson กล่าวว่า คนที่เมินเฉย ที่จริงแล้วเป็นคนจำพวกที่คิดว่าตัวเองพิเศษ​กว่าคนอื่น มีปัญหา​ที่คนอื่นไม่มีวัน​เข้าใจ คนเหล่านี้จะซ่อนตัวเองอยู่ในหลุมสีเทาไร้อารมณ์​ที่พวกเขา​สร้างขึ้นเอง หมกมุ่นแต่กับตัวเอง และสงสารตัวเองตลอดเวลา คนเหล่านี้พยายามถอยตัวเอง​ออกห่างจากสิ่งที่คอยสูบทั้งพลังงานและเวลาของพวกเขาที่เรียกว่า ชีวิต นี่จึงไม่ใช่การช่างแ ่ง​ครับ
และต้องขอบอกว่า การช่างแ ่ง​นั้นไม่มีอยู่จริงด้วยซ้ำ เพราะชีวิตของคุณจะต้องแคร์บางสิ่งบางอย่างเสมอ คำถามคือเราควรจะแคร์อะไรบ้าง? คำตอบคือ "การไม่แคร์​กับอุปสรรคในการไปให้ถึงเป้าหมายต่างหากคือสิ่งที่ควรแคร์" เพราะคนเหล่านี้จะแคร์เฉพาะในสิ่งที่สำคัญและมีความหมายจริงๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น เพื่อน ครอบครัว​ เป้าหมาย​ ผัดกะเพราไก่ไข่ดาว อะไรแบบนี้ และด้วยเหตุผลนี้ เพราะคนเหล่านี้เลือกแคร์สิ่งที่สำคัญจริงๆ เท่านั้น คนอื่นๆ จึงแคร์พวกเขาเช่นกัน​
ความจริงอีกอย่างคือ โลกใบนี้ไม่มีคำว่าไร้อุปสรรคครับ คำคำนี้ไม่มีอยู่จริง เพราะไม่ว่าคุณอยู่ที่ไหน มันจะมีเรื่องแย่ๆ ที่รอทับถมคุณเสมอ แต่นั่นไม่สำคัญหรอกครับ ประเด็นของเราไม่ใช่การหลีกหนีเรื่องแย่ๆ แต่คือการค้นหาเรื่องแย่ๆ ที่คุณยินดีที่จะรับมือกับมัน
เคล็ดลับ #2 : ​หากจะมองข้ามอุปสรรค คุณต้องแคร์อะไรก็ตามที่สำคัญกว่าอุปสรรคก่อน
อย่าไปแคร์ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกตารางนิ้วของชีวิตครับ เพราะคนที่แคร์มากเกินไป คนที่แจกความแคร์ให้กับทุกอย่างเหมือนกับแจกใบปลิวโฆษณา​ตามบันไดเลื่อน ปัญหาของคนเหล่านี้คือ มันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้ให้แคร์อีกแล้วครับ ดังนั้นคุณควรที่จะค้นหาสิ่งที่สำคัญและมีความหมายต่อชีวิตของคุณ เพราะเป็นการใช้เวลาและพลังงานของคุณได้อย่างมีประโยชน์​ที่สุด​ เพราะถ้าคุณหาสิ่งที่มีความหมายนั้นไม่เจอ คุณจะไปแคร์กับเรื่องที่ไร้ความหมายและไร้สาระแทน
เคล็ดลับ #3 : คุณกำลังเลือกว่าจะแคร์อะไรบ้างอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะเลือกแคร์สิ่งที่ควรจะแคร์จริงๆ เพราะเวลาเป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดรอใคร การแคร์ทุกสิ่งอย่างจะทำให้เราเสียพลังงานโดยที่ไม่มีความจำเป็น พูดง่ายๆ คือ พอเราแก่ตัวลง เราจะเลือกมากขึ้นกับสิ่งที่เราจะแคร์ ซึ่งคุณ Manson กล่าวว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่า วุฒิภาวะ​ ครับ
ดังนั้น เราเหลือพลังงานที่จะแคร์น้อยลงและเราควรจะเก็บมันไว้เพื่อ​สิ่งที่ควรค่าแก่การแคร์ที่สุดในชีวิตของเรา นั่นคือครอบครัว เพื่อนสนิท ฯลฯ ซึ่งนั่นอาจทำให้แม้แต่ตัวเราเองยังต้องแปลกใจว่า แค่นี้ก็พอแล้วนี่ ความเรียบง่ายนี้เองที่ทำให้เรามีความสุขอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
ค่านิยมห่วยๆ
Cr. : https://pixabay.com/th/users/rilsonav-1824615/
หัวข้อนี้ ผมขอกล่าวสั้นๆ ถึงค่านิยมห่วยๆ ที่ทุกคนอาจคาดไม่ถึงครับ เพราะค่านิยมห่วยๆ นี้ กลับเป็นสิ่งที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ดี นั่นคือ ความสนุก ความสำเร็จทางวัตถุ การต้องถูกเสมอ และการคิดบวกตลอดเวลา ทำไมสิ่งที่กล่าวไปมันถึงเป็นค่านิยมที่ห่วยนะหรือ นั่นก็เพราะว่าคนส่วนใหญ่รู้ดี (แต่อาจลืมไป)​ ว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเราหลายๆ ครั้งนั้น ไม่น่าสนุก ไม่มีความสำเร็จ ไม่สามารถคาดเดาได้ และไม่ได้เป็นเรื่องบวก
นักจิตวิทยา​ชื่อดังอย่าง ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยกล่าวไว้ว่า "วันหนึ่งเมื่อมองย้อนกลับไป ช่วงเวลาอันยากลำบากนานนับปีที่คุณผ่านมาได้ จะกลายเป็นสิ่งที่สวยงามที่สุดในสายตาของคุณ"
ดังนั้น ทุกคนต้องเลือกค่านิยมที่ดี ที่อยู่บนพื้นฐานของความจริง เป็นที่ยอมรับของสังคม และส่งผลโดยตรงถึงคุณ จากนั้นความสุขและความสำเร็จจะเกิดขึ้นตามมา ทั้งสองสิ่งนี้เป็นผลพลอยได้จากค่านิยมที่ดีครับ
คุณไม่ได้พิเศษ​กว่า​คนอื่น
Cr. : https://pixabay.com/th/users/johnhain-352999/
​​​​​คนที่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ​ สุดท้ายจะวนกลับมาสู่กรอบแห่งความหลงตัวเอง กรอบที่พร้อมจะบิดความจริงทุกสิ่งทุกอย่าง​เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของมันเอง คนที่รู้สึกว่าตัวเองพิเศษ​จะมองทุกเหตุการณ์​ในชีวิตว่าถ้าไม่เป็นการยืนยันความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ก็เป็นความประสงค์​ร้าย ถ้าหากมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ นั่นก็เพราะความสามารถอันล้นเหลือของพวกเขา ถ้าหากมีสิ่งแย่ๆ เกิดขึ้น นั่นก็เพราะมีพวกขี้อิจฉาที่คอยพยายามจะฉุดพวกเขาให้ต่ำลง (หลงตัวเองจริงๆ เลย)​
ฉะนั้น ความรู้สึกว่าตัวเองพิเศษนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้เรื่อง มันก็แค่การได้มึนเมาไปกับความสุขชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง
การวัดคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ไม่ได้อยู่ที่ว่าคนคนหนึ่งจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องทางบวก แต่หมายถึงการที่คนคนหนึ่งจะรู้สึกอย่างไรกับเรื่องทางลบของตัวเองต่างหาก ถ้ามีใครคนหนึ่ง​ซ่อนปัญหา​ของตัวเองเอาไว้ด้วยการจินตนาการ​ความสำเร็จให้กับตัวเองทุกครั้งที่ทำได้ และเพราะเขาไม่สามารถเผชิญหน้า​กับปัญหา​ของตัวเองได้ ต่อให้ตัวของเขารู้สึกดีกับตัวเองมากแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังคงอ่อนแอ​อยู่ดี (นี่คือความจริงครับ)​
ผมหวังว่าเนื้อหาบางส่วนที่ผมได้หยิบยกมากล่าวนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจ​ให้ผู้อ่านทุกท่าน "ช่างแ ่ง​" กับบางสิ่งที่ไม่จำเป็นไปบ้าง ไม่มากก็น้อยนะครับ
สุดท้ายนี้ ผม Kakommz​ ต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่กับ Book Review​ By​ Kakommz ครั้งหน้า สำหรับวันนี้ ขอให้ทุกท่านมีความสุข สวัสดี​ครับ​
About Fact
ชื่อหนังสือ : ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการ "ช่างแ ่ง" THE SUBTLE ART OF NOT GIVING A F*CK
ผู้เขียน : Mark Manson
ผู้แปล : ยอดเถา ยอดยิ่ง
ราคา : 220 บาท
หมวด​หมู่​ : จิตวิทยา/​พัฒนา​ตนเอง
สำนักพิมพ์ : BINGO
Cr. : ภาพถ่ายโดยผู้เขียน
ภาพ​หน้าปก​โดย​ผู้เขียน​
บทความ​ Book Review อื่นๆ​ ที่น่าสนใจ​ของผู้เขียน
- Book Review By Kakommz : The Why Café คาเฟ่สำหรับคนหลงทาง
- Book Review By Kakommz : หัดขวางโลกบ้างก็ไม่เลวนะ EVIL PLANS
- Book Review By Kakommz : START WITH WHY ทำไมต้องเริ่มด้วย "ทำไม"
- Book Review By Kakommz : SUPER LEVEL กลยุทธ์​สร้างความต่างขั้นเทพ
- Book Review By Kakommz : นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ
- Book Review By Kakommz : ช่างหัวคุณสิครับ! IGNORE EVERYBODY
- Book Review By Kakommz : คนทำงานเร็วทำอะไร​ตอนที่​เรา​ไม่เห็น
- Book Review By Kakommz : SUPER PRODUCTIVE
- Book Review By Kakommz : เป็นเรา​คือ​พิเศษ
- Book Review By Kakommz : รื้อ​ สร้าง​ ต่าง​ โต​ REINVENT
- Book Review : Future Mindset เมื่อวิธี​คิดที่คุณมี​ ใช้กับงานในวันพรุ่งนี้​ไม่ได้
- Review Book​​ : โลกนี้สอนให้รู้ว่า...
- Review Book :​ Speech Secret เทคนิค​การพูด เพื่อความส​ำ​เร็จ​ก้าวหน้า
ช่วง​ แอบขายของ​ ของ​ Kakommz​
สามารถร่วมอุดหนุน​และเป็นเจ้าของ​สติกเกอร์​ไลน์​สุดน่ารัก​
[Komjung The Series 1] ได้แล้วตั้งแต่​วันนี้​ที่​
สามารถติดตาม Kakommz​ ได้ที่
โฆษณา