Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Devil Diary
•
ติดตาม
4 ธ.ค. 2021 เวลา 12:30 • กีฬา
[15 ปีของ ไมเคิล คาร์ริค กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด]
ผลงานการคุมทีมของ ไมเคิล คาร์ริค ในฐานะกุนซือขัดตาทัพที่ผ่านมาแล้ว 3 เกมนั้นเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่เขาได้แสดงให้แฟนๆเห็นด้วยระยะเวลาเพียง 3 นัดเท่านั้น ซึ่งเกมล่าสุดคือการเปิดบ้านเอาชนะทีมอย่างอาร์เซนอลไปได้ 3-2 ทำให้ทีมคว้า 3 แต้มสำคัญมาได้ และเป็นการส่งไม้ต่อให้กับ ราล์ฟ รังนิก อย่างสวยงาม
ซึ่งหลังจากที่เกมจบลง สิ่งที่ทำให้แฟนๆและนักเตะอึ้งไปตามๆกัน นั่นก็คือการประกาศอำลาสโมสรหลังจากอยู่กับทีมยาวนานมาถึง 15 ปี ทั้งในฐานะนักเตะ ผู้ช่วยโค้ช และผู้จัดการทีม
ผมใจหายกับการประกาศอำลาของ ไมเคิล คาร์ริค มากเพราะเห็นภาพของเขาอยู่กับทีมมาตลอดตั้งแต่ยุคที่ยิ่งใหญ่และเป็นแชมป์จนมาถึงยุคนี้ แต่นับจากนี้ไปเขาคงไม่ได้อยู่ช่วยทีมในฐานะทีมงานแล้ว แต่จะมาในฐานะแฟนบอลปีศาจแดงแบบพวกเรา
พูดถึงเกมกับอาร์เซนอลเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาต้องบอกว่าเซอร์ไพร์สกับผู้เล่น 11 ตัวจริงอีกเช่นเคย แต่การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากอาการบาดเจ็บกะทันหันของแบคขวาตัวหลักอย่าง อารอน วาน-บิสซาก้า และกองกลางตัวเก๋าอย่าง เนมานย่า มาติช ทำให้ไม่มีชื่อของทั้งสองคนในเกมนี้ และต้องเปลี่ยนมาใช้นักเตะสารพัดประโยชน์อย่าง ดิโอโก้ ดาโล่ต์
โดยตำแหน่งอื่นๆก็ยังคงเป็นผู้เล่นที่เป็นตัวหลักเหมือนเดิม โดยมีผู้รักษาประตูเป็น ดาบิด เดเกอา คู่กองหลังเป็น กัปตันทีมแฮรี่ แมคไกวร์ จับคู่กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ฟูลแบ็กสองฝั่งเป็นตัวสำรองทั้งคู่เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บของตัวหลัก โดยเป็น อเล็กซ์ เตลลิส และดิโอโก้ ดาโล่ต์ คู่กลางเป็น เฟร็ด กับ สก็อต แมคโทมิเนย์ สามตัวรุกเป็น บรูโน แฟร์นันเดส ตรงกลาง มาร์คัส แรชฟอร์ด ถูกโยกไปเล่นฝั่งขวา และฝั่งซ้ายเป็น เจดอน ซานโช่ หน้าเป้าเป็น คริสเตียโน โรนัลโด
หลังจากเสียงนกหวีดเริ่มเกมดังขึ้นก็เป็นทางฝั่งทีมเยือนที่บุกใส่ยูไนเต็ดชุดใหญ่ และได้ลูกเตะมุมอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนมาถึงนาทีที่ 13 ประตูแรกของเกมก็เกิดขึ้น โดยเป็นฝั่งทีมเยือนที่ออกนำก่อนจากลูกยิงไกลแบบฮาล์ฟ วอลเลย์ของ เอมิล สมิธ-โรว์ ที่เข้าประตูไปในขณะที่ ดาบิด เดเกอา นอนเจ็บอยู่ท่หน้าปากประตู ซึ่งประเด็นสำคัญของจังหวะนี้คือการที่ผู้ตัดสินเห็น ดาบิด เดเกอา ที่กำลังนอนเจ็บอยู่แต่เลือกที่จะปล่อยให้ฝั่งอาร์เซนอลยิงก่อนและค่อยเป่านกหวีดบอกยกเลิกประตู ซึ่งแน่นอนว่าผู้เล่นอาร์เซนอลไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะภาพช้าที่ชี้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนทำฟาล์ว แต่เป็นเฟร็ดที่ไปเหยียบเอ็นร้อยหวายของ ดาบิด เดเกอา ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้ตัดสินก็ต้องให้ประตูไป เพราะไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ประตู ถ้าเกิดว่ามีการเป่าหยุดเกมก่อนที่บอลจะข้ามเส้นไป ในกรณีนั้นจะไม่มีประตูเกิดขึ้น
หลังจากจังหวะเสียประตูแรกคนที่กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาแฟนๆเลยคือเฟร็ด เพราะนอกจากจังหวะที่ไปเหยียบใส่ เดเกอา แล้วก็มีจังหวะการจับบอลลั่น เล่นไม่ตรงจังหวะกับเพื่อน ออกบอลเสีย หรือโดนกระแทกจนล้ม ซึ่งเขาก็ยังพยายามเล่นด้วยความขยันของเขาต่อไปจนมาในช่วงนาทีที่ 44 เจดอนซานโช่ที่ถูกโยกมาอยู่ฝั่งซ้ายในเกมนี้ได้จ่ายบอลเข้ามาให้กับ เฟร็ด ที่วิ่งสอดเข้ามาในกรอบเขตโทษและเป็น เฟร็ด ที่ไหลให้กับทาง บรูโน แฟร์นันเดส ซัดประตูนี้เข้าไปทำให้ตีเสมอมาเป็น 1-1 ซึ่งประตูนี้ของ บรูโน นั้นเหมือนเป็นการปลดปล่อยของเจ้าตัว หลังจากที่ปืนฝืดและไม่ได้ยิงให้กับทีมมาระยะหนึ่ง และประตูนี้เป็นเหมือนการฉลองนัดที่ 100 ของเขากับยูไนเต็ดอีกด้วย
หลังจากเริ่มครึ่งหลังมาก็เป็นอาร์เซนอลที่ยังเปิดเกมบุกใส่ยูไนเต็ดอีกเช่นเคย และได้จังหวะโจมตีจากลูกเตะมุมแต่ยังไม่ดีพอที่จะผ่านมือ เดเกอา ไปได้โดยทางฝั่งของ อารอน แรมส์เดล ก็ไม่น้อยหน้าที่จะโชว์เซฟสวยๆจากการป้องกันลูกยิงมุมแคบของ คริสเตียโน โรนัลโด
และในนาทีที่ 52 ก็มีประตูเกิดขึ้นแต่คราวนี้เป็นฝั่งเจ้าบ้านที่สามารถขึ้นนำได้จากลูกยิงของ คริสเตียโน โรนัลโด โดยเริ่มจากจังหวะการให้บอลพลาดของ นูโน ตาวาเรส และเป็น ดิโอโก้ ดาโล่ต์ที่ฉกบอลมาได้ จ่ายให้กับ มาร์คัส แรชฟอร์ดเลี้ยงไปบริเวณด้านขวาของกรอบเขตโทษ ดึงจังหวะและจ่ายให้ โรนัลโด แทปอินเข้าไปกลายเป็นยูไนเต็ดพลิกแซงอาร์เซนอลเป็น 2-1 และประตูนี้ก็เป็นประตูที่สำคัญต่อ โรนัลโด เพราะนี่คือประตูที่ 800 ตลอดอาชีพการค้าแข้งของเขา ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆสำหรับผู้เล่นคนนึง
แต่หลังจากดีใจจากการขึ้นนำกันยังไม่ทันสุด ในนาทีที่ 54 อาร์เซนอลก็ตีเสมอขึ้นมาเป็น 2-2 จากลูกเปิดคัตแบ็คมาหน้ากรอบเขตโทษของ กาเบรียล มาติเนลลี่ ให้กับ มาร์ติน โอเดการ์ด ได้ยิงเข้าไป ซึ่งจังหวะนี้คนที่พลาดคนแรกคือ อเล็กซ์ เตลลิส ที่ปล่อยให้ มาติเนลลี่นั้นได้ ยืนรอบอลโล่งๆ และคู่กลางรับที่ไม่ได้ประกบตัวหน้ากรอบเขตโทษ กลายเป็นว่าสกแร์กลับมาเท่ากันเป็น 2-2 อีกครั้ง
เป็นอีกครั้งที่ เฟร็ดถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายในเกมนี้ แต่ต้องบอกว่าเฟร็ดนั้นก็เป็นนักเตะที่ทำเอาแฟนผีเป็นไบโพลาร์เลยทีเดียวเพราะในนาทีที่ 67 นั้น เจดอน ซานโช่ จ่ายบอลให้ เฟร็ด ที่วิ่งสอดเข้าในกรอบเขตโทษ และถูก มาร์ติน โอเดการ์ด สไลด์รวบจากด้านหลังแบบไม่โดนบอลเลย แต่ในขณะนั้นผู้ตัดสินไม่ได้ให้เป็นจุดโทษและให้เล่นต่อ แต่สุดท้ายผู้ตัดสินจากห้อง VAR ได้แจ้งให้เช็คอีกรอบ และเป่าให้เป็นจุดโทษในที่สุด ซึ่งคนที่เรียกจุดโทษนั้นก็เป็นนักเตะสายคอนเท้นต์อย่าง เฟร็ด อยู่แล้ว
ผู้สังหารจุดโทษลูกนี้คือ คริสเตียโน โรนัลโด โดยยิงเต็มแรงไปที่กลางประตูให้ยูไนเต็ดขึ้นนำอีกครั้งที่ 3-2 และประตูนี้นอกจากจะเป็นประตูชัยของเกมนี้ยังเป็นประตูที่ 801 ของ โรนัลโด และเริ่มนับสู่หลัก 900 ประตูเป็นที่เรียบร้อย
ในนาทีที่ 77 นั้นมีจังหวะของ โอบาเมยองได้ยิงจ่อๆจากบริเวณหน้ากรอบ 6 หลาแต่ก็ยังคงติดเซฟของ ดาบิด เดเกอา อยู่ดี เป็นอีกครั้งที่มีจังหวะจ่อๆแบบนี้แล้วทำไม่ได้สำหรับ โอบาเมยอง ก็ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าตัวกลับมาคืนฟอร์มเก่งได้ไวๆนะครับ
จังหวะที่น่าจะได้ลุ้นอีกจังหวะของอาร์เซนอลคงไม่พ้นนาทีที่ 87 ที่ บูกาโย่ ซาก้า ที่ได้ยิงบริเวณมุมขวาของกรอบเขตโทษ แต่ต้องชมความขยันของ เฟร็ด ที่วิ่งมาสไลด์บล็อกลูกยิงได้ทัน
จบเกมด้วยสกอร์ 3-2 โดยเจ้าบ้านอย่างยูไนเต็ดได้ 3 แต้มสำคัญและขึ้นมาอยู่ที่ 7 ของตาราง ในเดือนธันวาคมนี้จะมีโปรแกรมเตะที่ถี่มากๆ ซึ่งยูไนเต็ดจะมีนัดกับ คริสตัล พาเลซ วันอาทิตย์นี้ และเกมนั้นจะเป็นการคุมทีมเกมแรกของ ราล์ฟ รังนิก อีกด้วยเราคงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของทีมไม่มากก็น้อย แต่ด้วยระยะเวลาที่น้อยมากในการเตรียมตัวคงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากมายนัก
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากถูกใจ ฝากกดไลก์ กดแชร์ และกดติดตาม เพื่อเป็นกำลังใจในการเขียนต่อด้วยครับ ขอบคุณครับ 😊
บันทึก
2
3
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย