4 ธ.ค. 2021 เวลา 06:06 • กีฬา
หากคุณคิดจะเป็นสุดยอดโค้ช คงไม่มีอะไรจะดีไปกว่า ได้ศึกษาจากตำนานอย่างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นผ่านสายตาของไมเคิล คาร์ริก ชายที่อยู่กับแมนฯ ยูไนเต็ด ยาวนานถึง 15 ปี
2
ตั้งแต่รอย คีน โดนปล่อยตัวจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเดือนพฤศจิกายน 2005 สโมสรก็กลุ้มใจว่าจะเอาใครมายืนเป็นกองกลางตัวรับดี
1
ผู้เล่นมิดฟิลด์ตัวรับแบบธรรมชาติที่มีอยู่ เหลือแค่ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์ ทำให้หลายๆ เกม เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันต้องจับเอาอลัน สมิธ, พาร์ก จี-ซอง หรือ จอห์น โอเช มายืนในตำแหน่งนี้แทน ซึ่งก็แน่นอน มันก็ไม่สามารถทดแทน นักเตะระดับรอย คีน ได้
แมนฯ ยูไนเต็ด จบฤดูกาล 2005-06 ด้วยการเป็นรองแชมป์ พวกเขาพลาดแชมป์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน นั่นทำให้เซอร์อเล็กซ์รู้แล้วว่า ทีมขาดอะไร ใช่แล้ว พวกเขาขาดมิดฟิลด์ตัวรับที่จะมาเป็นคีย์แมนให้กับทีม
ตำแหน่งอื่นตอนนี้พร้อมแล้ว กองหน้ามีโรนัลโด้ - รูนี่ย์ กองหลังมีวิดิช-ริโอ เหลือแค่มิดฟิลด์ตัวรับนี่ล่ะ ถ้าได้คนที่ใช่ล่ะก็ จิ๊กซอว์ก็จะสมบูรณ์พร้อม
และเป้าหมายเดียวของเซอร์อเล็กซ์ คือไมเคิล คาร์ริก จากสเปอร์ส เขาขอแค่ตัวเดียวเท่านั้น ก็มั่นใจว่าสามารถคว้าแชมป์พรีเมียรลีก ในซีซั่น 2006-07 ได้
ไมเคิล คาร์ริก เป็นเด็กฝึกหัดของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ก่อนจะย้ายไปสเปอร์ส ในปี 2004 ด้วยค่าตัว 2.5 ล้านปอนด์ ปรากฏว่าพอย้ายปั๊บ เขาเล่นดีขึ้นเรื่อยๆ และก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมันด้วย
จุดเด่นของคาร์ริก คือรูปร่างสูงใหญ่ (188 เซนติเมตร) คุมจังหวะดี จ่ายบอลคม และบาดเจ็บยากมาก ตั้งแต่เล่นอาชีพมา ไม่เคยเจ็บหนักๆ เลยสักหน ลงเล่นทุกฤดูกาล เกิน 30 นัดตลอด
2
คาร์ริกเองก็อยากย้ายออกจากสเปอร์สเช่นกัน เหตุผลข้อแรกคือ สเปอร์สไม่ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก
ในฤดูกาล 2005-06 สเปอร์สติดท็อปโฟร์มาตลอด ขอแค่สเปอร์สชนะเวสต์แฮมนัดสุดท้ายก็จะจบอันดับ 4 ได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกทันที แต่พวกเขาทำไม่ได้ แพ้เวสต์แฮมไป 2-1 จึงโดนอาร์เซน่อลปาดหน้าในเกมสุดท้ายอย่างน่าเจ็บใจ
1
ในมุมของคาร์ริก ถ้าคุณอยากเป็นนักเตะที่ได้รับการจดจำมากขึ้น ก็จำเป็นต้องได้เล่นในถ้วยระดับสูงสุด ดังนั้นเขาจึงมองว่าได้เวลาแล้วที่จะย้ายทีม
และเหตุผลอีกข้อคือ คาร์ริกได้รับค่าเหนื่อยน้อยเกินไป เขาอธิบายว่า "ผมได้รับค่าจ้างที่ต่ำมาก พอๆ กับสมัยที่ผมเล่นในแชมเปี้ยนชิพเลย ทุกคนรู้ดีว่าเพดานเงินเดือนของสเปอร์สมันจำกัด แต่ผมรู้สึกว่าตัวเองสมควรได้รับค่าจ้างมากกว่านี้ ถ้าหากแดเนียล เลวี่ ให้ข้อเสนอที่ยุติธรรมกับผม ผมอาจจะอยู่สเปอร์สต่อไป"
เมื่อตัดสินใจได้แล้วว่าจะย้ายออก ทำให้หลายๆ สโมสรเข้ามาติดต่อคาร์ริก ทีมแรกคืออาร์เซน่อล สตีฟ รอว์ลีย์ หัวหน้าแมวมอง ได้เข้ามาสอบถามความสนใจแบบไม่เป็นทางการ แต่ชอยส์ทีมปืนใหญ่ ถูกปิดตายอย่างเร็ว เพราะตัวคาร์ริกก็ไม่กล้าพอ ที่จะข้ามฟากจากสเปอร์สไปอาร์เซน่อล
ทีมต่อมาคือลิเวอร์พูล ที่ติดต่อเข้ามาสอบถามราคา อย่างไรก็ตาม ทีมที่เดินหน้าอย่างจริงจังมากที่สุด คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ข้อเสนอแรกของเซอร์อเล็กซ์ ที่ยื่นให้สเปอร์ส คือ 10 ล้านปอนด์ ซึ่งคาร์ริกคิดว่า สเปอร์สน่าจะขายแน่ เพราะได้กำไรเพิ่มถึง 4 เท่า จากที่ซื้อคาร์ริกมาจากเวสต์แฮมเมื่อ 2 ปีก่อน แต่แดเนียล เลวี่ ปฏิเสธอย่างง่ายดาย
แมนฯ ยูไนเต็ดยื่นข้อเสนออีกครั้งที่ 12 ล้านปอนด์ แต่เลวี่ บอกกับเดวิด กิลล์ ซีอีโอของแมนฯ ยูไนเต็ดว่า "เราต้องการมากกว่า 12 ล้านปอนด์"
ตัวคาร์ริกน่ะอยากไปแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เข้าใจว่าทำไมเลวี่ ไม่ขายเสียที ทั้งๆที่ ได้กำไรตั้งเยอะแล้ว เขาบอกกับเดวิด ไกส์ ผู้จัดการส่วนตัวว่า "ผมมั่นใจว่า 12 ล้านปอนด์ คือราคาสูงสุดที่ยูไนเต็ดจะเสนอให้แล้ว"
เมื่อยื่นราคาไปสองครั้งแล้วยังไม่ได้ ตัวคาร์ริกจึงว้าวุ่นอย่างมาก เจ้าตัวกลัวว่าดีลจะล่ม "ตอนสเปอร์สปฏิเสธข้อเสนอ ผมคิดว่าการย้ายครั้งนี้อาจไม่เกิดขึ้น" อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 มิถุนายน 2006 เฟอร์กูสันโทรศัพท์สายตรงหาคาร์ริก ตอนอยู่ที่โรงแรมเบรนเนอร์ส-พาร์ก ที่เยอรมัน
เซอร์อเล็กซ์ถามว่า "เป็นไงบ้าง นายได้ลงเล่นในเกมต่อไปไหม?" เฟอร์กูสันถามถึงเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่อังกฤษจะเจอกับโปรตุเกสในฟุตบอลโลก ซึ่งคาร์ริกตอบว่า เขาไม่ได้ลงเล่น เพราะสเวน โกรัน-เอริคส์สัน จะเลือกใช้งานโอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ในเกมนั้น
1
เซอร์อเล็กซ์เข้าประเด็นทันที เขาพูดตรงๆว่า "อดทนไว้ก่อนนะไมเคิล ตอนนี้ทอตแน่มกำลังทำให้เรื่องมันยาก แต่เราจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย" เป็นคำสัญญาที่หนักแน่นว่า แมนฯ ยูไนเต็ด จะดึงคาร์ริกมาอยู่ด้วยกันให้ได้
หลังจบฟุตบอลโลก ผ่านไป 1 เดือน การซื้อขายยังไม่มีท่าทีว่าจะลุล่วง ฤดูกาลใหม่กำลังจะเริ่มแล้ว ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ระบุว่า ฝั่งสเปอร์สตั้งราคา คาร์ริกสูงถึง 18 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นราคาขายสถิติสูงสุดของสโมสร
1
เมื่อได้ยินข่าวแบบนี้ ทำให้คาร์ริกร้อนใจมาก เขาไม่เชื่อว่าจะมีทีมไหนกล้าจ่าย 18 ล้านปอนด์ ให้กองกลางตัวรับ ดังนั้นจึงเข้าไปคุยกับแดเนียล เลวี่ตรงๆ แล้วถามว่า "ผมไม่คิดว่าจะต้องมาคุยกับคุณแบบนี้ คือจริงๆ ผมมีความสุขกับสเปอร์สนะ แต่นี่คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คุณปล่อยให้ผมย้ายทีมไม่ได้หรอ"
1
แดเนียล เลวี่ ตอบกลับมาว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็ต้องยื่นข้อเสนอที่ดีกว่านี้เข้ามา" ยังไงเลวี่ก็ไม่ยอม เขาคิดว่าถ้าแมนฯ ยูไนเต็ดอยากได้จริงๆ ก็ต้องกล้าจ่ายสิ
1
ระหว่างนั้น ฝั่งเซอร์อเล็กซ์ ก็ต้องไปสู้กับบอร์ดของสโมสรเช่นกัน เพราะตัวเลข 18 ล้านปอนด์ เป็นราคาที่สูงมาก และจริงๆ คาร์ริกก็ไม่ใช่นักเตะระดับโลกขนาดนั้น มีชอยส์อื่นให้เลือกอีกตั้งเยอะ เช่นมาร์กอส เซนน่า ของบียาร์เรอัล หรือ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ของบาเยิร์น มิวนิค ซึ่งมีราคาถูกกว่า และคุณภาพไม่ได้ต่างกันมาก
อย่างไรก็ตาม เฟอร์กูสันรับปากคาร์ริกไปแล้ว ว่าจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะผิดคำพูดของตัวเอง
สุดท้าย 30 กรกฎาคม 2006 เฟอร์กูสันก็ยอมสเปอร์ส ยื่นข้อเสนอ 18 ล้านปอนด์ ตามที่เลวี่ต้องการ ซึ่งทำให้ดีลทุกอย่างลุล่วง คาร์ริกได้ย้ายมาแมนฯ ยูไนเต็ดในที่สุด
ณ เวลานั้น แฟนแมนฯ ยูไนเต็ดตั้งคำถามเยอะว่า คาร์ริกก็เป็นผู้เล่นที่โอเคนะ แต่เงินจำนวนนี้ไม่แพงเกินไปหน่อยหรือ
ซึ่งนั่นก็เป็นโจทย์ที่คาร์ริกจะต้องตอบ และพิสูจน์ให้เฟอร์กูสัน และแฟนบอลได้เห็นว่า เขาคู่ควรกับราคานี้จริงๆ
--------------------------
2
พอสองสโมสรตกลงกันได้แล้ว มีการเซ็นสัญญากันเรียบร้อย คาร์ริกต้องไปที่สนามซ้อมแคร์ริงตัน เพื่อคุยกับเซอร์อเล็กซ์อย่างเป็นทางการ
เมื่อเจอกัน เซอร์อเล็กซ์กล่าวว่า "ยินดีต้อนรับไอ้หนุ่ม ฉันดีใจที่ทุกอย่างได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว บอกได้เลยว่านายจะชอบที่นี่ ถ้านายมุ่งมั่นทำงานหนัก บอกได้เลยว่านายจะไปได้สวย"
"เราเคยชินกับชัยชนะที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ความกระหายของพวกเรา ไม่เหมือนกับทีมไหนที่นายเคยอยู่มา และเมื่อย้ายมาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกคนจะมองนายเปลี่ยนไป เมื่อนายลงเล่นกับทีมที่คว้าชัยเป็นประจำอย่างเราแล้ว คู่แข่งทุกคนจะต้องการขยี้นาย พวกเขาต้องการจะฉีกนายให้เป็นชิ้นๆ และแฟนบอลจะจับจ้องนาย ทุกการเคลื่อนไหว"
โดยไม่ได้ตั้งใจ คาร์ริกตอบเซอร์อเล็กซ์ไปว่า "ก็เหมือนกับเชลซีตอนนี้" คือเชลซีได้แชมป์ในซีซั่น 2004-05 และ 2005-06 คาร์ริกจึงเข้าใจว่า แต่ละทีมก็จ้องจะโค่นเชลซีให้ได้เหมือนกัน
เมื่อได้ยินคำว่าเชลซี เซอร์อเล็กซ์ มองคาร์ริกด้วยสายตากดดันสุดขีด แล้วพูดว่า "ไม่ใช่ ไอ้หนุ่ม นี่คือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เราไม่เหมือนทีมไหนทั้งนั้น"
คาร์ริกเล่าให้ฟังภายหลังว่า "ไม่รู้ว่าผมเป็นบ้าอะไรถึงพูดว่าเชลซีออกมาได้ นี่เป็นการเริ่มต้นวันแรกกับยูไนเต็ดที่ย่ำแย่เป็นบ้าเลย!"
สิ่งที่คาร์ริกสังเกต คือเวลาเซอร์อเล็กซ์พูดถึงสโมสร จะพูดคำว่า "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด" เต็มๆ เสมอ จะไม่ย่อใช้แค่ "ยูไนเต็ด" เพราะมีหลายๆ ทีมในลีก อาจเป็นยูไนเต็ดได้ แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีแค่สโมสรเดียวเท่านั้น
2
เซอร์อเล็กซ์ ได้เริ่มอธิบายให้คาร์ริกเข้าใจหลายๆ เรื่องที่สำคัญ ตัวอย่างเช่น ทำไมทีมปีศาจแดง "จะไม่มีโบนัสสำหรับชัยชนะในเกมพรีเมียร์ลีก"
1
ตอนคาร์ริกอยู่เวสต์แฮม หรือสเปอร์ส ทุกแมตช์ที่ลงสนามแล้วชนะในเกมลีก นักเตะจะได้เงินโบนัสพิเศษเสมอจากสโมสร น่าแปลกที่ทีมที่ใหญ่กว่าอย่างแมนฯ ยูไนเต็ด กลับไม่มีเงินโบนัสตรงจุดนี้
เหตุผลของเซอร์อเล็กซ์ที่ไม่ให้เงินโบนัส เพราะต้องการให้นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มองเกมพรีเมียร์ลีกว่าเป็นเรื่องปกติที่คุณต้องชนะอยู่แล้ว การมีโบนัสแสดงว่า กว่าจะชนะสัก 1 เกม เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก จนต้องมีการตบรางวัลกัน แต่สำหรับทีมปีศาจแดง มันเป็นหน้าที่ ที่คุณต้องชนะในพรีเมียร์ลีก การเก็บ 3 แต้มได้ในแต่ละวีก มันไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร
3
ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็เช่นเดียวกัน ในรอบแบ่งกลุ่ม จะไม่มีโบนัสมอบให้ เพราะการผ่านรอบแรก เป็นเรื่องที่ต้องทำได้อยู่แล้ว แต่พอเข้ารอบน็อกเอาต์ คราวนี้เซอร์อเล็กซ์ จะมีโบนัสให้
1
ถึงตรงนี้คาร์ริกรู้เลยว่า ระดับความคาดหวัง และเป้าหมายที่จะชนะของแมนฯ ยูไนเต็ด มันต่างกับทุกทีมที่เขาเคยอยู่มาจริงๆ
เฟอร์กูสันต่อด้วยการชี้แจงถึง Unwritten Rule หรือกฎที่ไม่ได้ระบุไว้อย่างเป็นทางการ แต่ต้องทำ นั่นคือห้ามพูดถึงเรื่องภายในของสโมสร และ ห้ามพูดถึงนักเตะของทีมอื่นเป็นอันขาด
หน้าที่แถลงข่าวเป็นของผู้จัดการทีม ส่วนนักเตะสามารถพูดได้แค่เรื่องทั่วๆไป เช่น หลังเกมการแข่ง หรือความรู้สึกดีใจ เสียใจ เมื่อเกมจบแค่นั้น
มันเป็นข้อบังคับที่ขัดขวางสิทธิเสรีภาพของนักเตะ แต่เฟอร์กูสันก็ต้องวางกฎให้ชัดเจน เพื่อคอนโทรลให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
นอกจากนั้นยังมี Code of Silence ห้ามพูดถึงผู้จัดการทีมให้ใครฟัง ถ้าไม่พอใจอะไร เดินมาเคาะห้องทำงาน แล้วคุยกันอย่างเปิดอก อย่าเอาไปนินทากับคนอื่น
2
ขั้นต่อมา เซอร์อเล็กซ์พาคาร์ริกไปหาสตาฟฟ์ของสโมสรชื่อแบร์รี่ มัวร์เฮาส์ ที่จะจัดการตัดชุดสูท เสื้อแจ็กเก็ต และทุกชุดของสโมสรให้ โดยที่แมนฯ ยูไนเต็ด นักเตะจะไม่ใส่เสื้อไซส์ M L XL ที่วางขายทั่วไป แต่จะใส่เสื้อผ้าที่ทำ Customize แบบพอดีตัวเท่านั้น
1
เฟอร์กูสันกล่าวว่า "เวลานายเดินทางไปแข่งที่ต่างๆ โดยใช้สนามบิน ผู้คนก็จะเห็นนาย ณ จุดนั้น นายเป็นตัวแทนของสโมสรแล้ว นายจำเป็นต้องแต่งตัวให้ดูดีและเรียบร้อย"
1
นอกจากนั้นยังสอนว่าคาร์ริกต้องให้เกียรติสตาฟฟ์ทุกคนของสโมสร ตั้งแต่ผู้บริหาร สตาฟฟ์โค้ช เพื่อนร่วมทีม ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ซักผ้าชื่อแคโรล และ แม่ครัวชื่อริต้า ทุกๆ องค์ประกอบ มันก่อร่างให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายมาเป็นยอดทีมได้แบบนี้ นักเตะแม้จะได้ค่าจ้างแพง แต่ไม่ได้วิเศษวิโสมาจากไหน คนทุกคนมีศักดิ์ศรี และมีหน้าที่ของตัวเองกันทั้งนั้น
9
หลังจากอธิบายสิ่งต่างๆ ให้เข้าใจแล้ว เรื่องสุดท้ายในการพูดคุยครั้งแรก เซอร์อเล็กซ์ถามว่า คาร์ริกอยากใส่เสื้อเบอร์อะไร คาร์ริกตอบไปว่าใส่เบอร์อะไรก็ได้
สุดท้ายเฟอร์กูสันให้เสื้อหมายเลข 16 กับคาร์ริก ซึ่งเป็นเบอร์ในตำนานของรอย คีน นี่ก็เป็นกลยุทธ์เชิงจิตวิทยาเหมือนกันว่า เขาเห็นคุณค่าของคาร์ริก และมั่นใจว่าอนาคตข้างหน้าคาร์ริกจะสามารถเป็นคีย์แมนของสโมสร ได้เหมือนที่รอย คีนเคยทำได้ในอดีต
2
--------------------------
ในช่วงเวลาที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คาร์ริกลงสนามอย่างตั้งใจเต็มที่ และช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้แชมป์มากมาย ทั้งพรีเมียร์ลีก และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
แต่ในระหว่างที่เป็นผู้เล่น เขาก็ศึกษา "วิธีการ" ของเซอร์อเล็กซ์ ในการบริหารทีมไปด้วย
คาร์ริกได้เรียนรู้ว่าข้อพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือต้องรักษาสัญญากับผู้เล่นเสมอ ไม่ใช่รับปากส่งเดช แต่พูดแล้วต้องทำให้ได้จริง เหมือนตอนที่สัญญาว่าจะซื้อเขาจากสเปอร์สให้ได้ เฟอร์กี้ก็ทำตามที่พูด
2
หรือตอนที่สัญญากับคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ว่าให้อยู่ช่วยทีมอีก 1 ปีอย่างไม่งอแง แล้วจะขายให้เรอัล มาดริด สุดท้ายเฟอร์กี้ก็ทำตามที่บอกได้จริงๆ
1
"ตั้งแต่วันแรกที่ได้คุยกับเซอร์อเล็กซ์ จากนั้นมาผมได้เห็นความอัจฉริยะมากมาย ที่เขาแสดงออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องจิตวิทยาก่อนเกม" คาร์ริกเล่า"เขาจะให้เราศึกษาข้อมูลของคู่แข่ง ด้วยการดูเทปวีดีโอแต่ก็แค่แป้บเดียว ไม่เคยเกิน 10 นาที"
สาเหตุที่เฟอร์กี้ทำแบบนั้น คือแค่ต้องการให้รู้จักคู่แข่งก็พอ แต่อย่าไปโฟกัสมากจนเสียความเป็นตัวเอง ถ้าเล่นได้ตามที่ซ้อมรับรองว่าจะสามารถชนะคู่แข่งได้
อีกอย่างที่คาร์ริกชอบที่สุดในการคุมทีมของเฟอร์กี้ คือการ "เล่าเรื่องบางอย่าง" ที่ไม่เกี่ยวกับฟุตบอลเลย ให้ทั้งทีมได้ฟังพร้อมกัน แต่สิ่งที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวนั้น กลับเชื่อมโยงได้อย่างประหลาด
1
ไม่ว่าจะเป็น เรื่อง "ฝูงห่าน" โดยเฟอร์กี้เล่าว่า "ฉันจะเล่าให้พวกแกฟังเกี่ยวกับเรื่องฝูงห่าน ที่บินข้ามน้ำ ข้ามทะเลในช่วงหน้าหนาวจากแคนาดามาสู่ฝรั่งเศสเป็นระยะทาง 4,000 ไมล์ เพื่อไปหาแผ่นดินที่อบอุ่นกว่า พวกมันบินมาด้วยรูปทรงตัววี มีจ่าฝูงบินนำหน้าสุด ตัวอื่นบินตามหลัง ในระหว่างที่จ่าฝูงบินนำ ตัวอื่นๆ จะเก็บแรงไว้ และเมื่อไหร่ที่จ่าฝูงอ่อนแรง ตัวที่อยู่ด้านหลัง จะมารับบทนำแทนทันที นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าทีมเวิร์ก เจ้าห่านพวกนี้ใช้ความพยายามเป็นเดือนกว่าจะมาถึงที่หมาย ดังนั้นสิ่งที่ฉันขอพวกแกทุกคน คือตั้งใจเล่นอย่างมีทีมเวิร์กแค่สัปดาห์ละครั้ง ฉันว่าก็ไม่ได้ขออะไรที่มากมายเกินไปนะ"
4
หรืออย่างก่อนเกมสำคัญที่แมนฯ ยูไนเต็ด จะเจอกับอาร์เซน่อลในปี 2010 เฟอร์กี้พูดถึงคนงานเหมืองชิลี 33 คน ที่ติดอยู่ใต้ดิน 69 วัน แต่สามารถเอาชีวิตรอดได้สำเร็จ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า คนที่เขาจะวิกฤติขนาดนั้น ยังมีพลังใจที่จะเอาชนะปัญหาได้ ดังนั้นนักเตะในทีม แม้จะเจอคู่แข่งที่เก่งกาจ แต่ก็สามารถเอาชนะไปได้เช่นกัน ถ้าใจเข้มแข็ง
1
หรือตอนเล่นเกมสำคัญ ศึกแดงเดือดกับลิเวอร์พูล เฟอร์กี้จะเล่าถึงประวัติศาสตร์ว่า สมัยก่อนชาวแมนเชสเตอร์ โดนเอารัดเอาเปรียบอย่างไร แล้วทำไมถึงโกรธแค้นชาวเมืองลิเวอร์พูลมากขนาดนั้น เพื่อให้นักเตะได้เข้าใจว่า เกมนี้มันมีความหมายจริงๆ กับแฟนๆ
การเป็นผู้จัดการทีม ไม่ใช่แค่จะรู้เรื่องแท็กติกอย่างเดียวเท่านั้น แต่ต้องมีความรอบรู้ในเรื่องสังคม เหตุบ้านการเมืองด้วย เพื่อที่จะสามารถหยิบประเด็นต่างๆ มาถ่ายทอดให้ลูกทีมได้เข้าใจอย่างชัดเจนขึ้น
2
นับวันที่คาร์ริกได้เห็นสิ่งที่เฟอร์กูสันทำ มันทำให้เขารู้สึกในใจว่า "อยากเป็นผู้จัดการทีม" อนาคตถ้าเขาแขวนสตั๊ด ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะเดินไปในเส้นทางนี้
คาร์ริกเล่าว่า "นักเตะที่ดี ไม่ได้แปลงร่างเป็นผู้จัดการทีมที่ดี โดยอัตโนมัติ ผมเข้าใจเรื่องนี้ดี แต่ผมก็จะพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ ผมจะปีนหน้าผาสูงชันนี้ขึ้นไปให้ได้"
ฤดูกาลสุดท้ายของไมเคิล คาร์ริก กับแมนฯ ยูไนเต็ด คือซีซั่น 2017-18 โดยช่วงปลายซีซั่น โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้จัดการทีมปีศาจแดงขณะนั้น มาถามเขาว่า สนใจจะมาทำงานเป็นทีมสตาฟฟ์หรือไม่ แน่นอนว่าคาร์ริกตอบตกลงทันที
ระหว่างที่ทำงานกับมูรินโญ่ เขาไปสอบ A-Licence ผ่านอย่างรวดเร็ว และลงเรียน Pro Licence ก็ผ่านอีกเช่นกัน ตอนนี้เขามีวุฒิพร้อมแล้วที่จะคุมสโมสรด้วยตัวเอง แต่คาร์ริกขอเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่แมนฯ ยูไนเต็ดต่อไปอีกนิด
คาร์ริกกล่าวว่า "ผมมีความสุขกับการโค้ชชิ่ง แน่นอน มันคงเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมาก กว่าจะได้คุมทีมจริงๆ แต่ผมรอได้ ระหว่างนั้นผมจะทำงานหนักไม่แพ้สมัยที่ผมเป็นนักฟุตบอล"
หลังจากมูรินโญ่โดนปลด คาร์ริกยังทำงานเป็นสตาฟฟ์ของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาต่อ และสุดท้ายเมื่อโซลชาโดนไล่ออก เขาทำหน้าที่เป็นกุนซือขัดตาทัพ รอราล์ฟ รังนิกได้เวิร์กเพอร์มิต ซึ่งผลงาน 3 นัดของคาร์ริก ถือว่ายอดเยี่ยม ชนะ 2 เสมอ 1
1
และทันทีที่เขาชนะอาร์เซน่อลได้ ในโอลด์แทรฟฟอร์ด คาร์ริกประกาศลาออกทันที พร้อมส่งต่อหน้าที่ให้ราล์ฟ รังนิก และสตาฟฟ์ชุดใหม่ ส่วนตัวเขาก็ได้เวลาออกไปโบยบินด้วยตัวเองแล้ว
จริงๆ สโมสรก็อยากให้คาร์ริกอยู่ต่อ เพราะเขาเป็นทั้งผู้เล่นและสตาฟฟ์ จะเป็นตัวเชื่อมที่ดีมาก ของนักเตะกับผู้จัดการทีมคนใหม่ แต่คาร์ริกยืนยันว่า เขาคิดมาดีแล้ว
อนาคตของคาร์ริกจากนี้ไป เขาตั้งใจแน่ชัดว่าจะเป็นผู้จัดการทีม และประสบการณ์ที่ผ่านมา เขาได้เรียนรู้จากผู้จัดการทีมที่เป็น The Best ของวงการ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน รวมถึงจาก Special One โชเซ่ มูรินโญ่ รวมถึงคนที่ร่วมงานกันสั้นๆ อย่างเดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาด้วย
ดังนั้น นี่จะเป็นความท้าทายอีกครั้งของคาร์ริก นับจากปี 2006 ที่เขาต้องพิสูจน์ให้แฟนบอลได้เห็นว่า ตัวเองคู่ควรกับราคา 18 ล้านปอนด์
มาคราวนี้ เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเองให้โลกได้เห็นว่านับจากนี้ เขาไม่ใช่คนที่คอยทำงานอยู่เบื้องหลังเท่านั้น แต่สามารถยืนอยู่กลางสปอตไลท์ และเป็นผู้จัดการทีมที่ดีในวงการฟุตบอลอังกฤษได้เหมือนกัน
#NEXTCHALLENGE
โฆษณา