4 ธ.ค. 2021 เวลา 09:02 • หนังสือ
กลับมาแล้วหลังจากห่างหายไปนาน ช่วงนี้เป็นช่วงคลื่นลมสงบก่อนมรสุม (สอบ) จะถาโถมค่ะ เลยมีแอบอู้นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ เล่นกับหมากับแมวที่บ้านให้หนำใจก่อน บวกกับช่วงนี้มีนัดเจอกับญาติมิตรเพื่อนฝูงบ้างเลยไม่มีเวลาหยิบหนังสือ (แน่นอนว่าไม่ใช่หนังสือเรียน 😅) มาอ่านเลย
วันนี้เป็นหนังสือที่ทุกคนน่าจะคุ้นหูกันดีอย่าง #ก็องดิด นิยายเชิงปรัชญาตลกร้ายของวอลแตร์ เล่มที่เราอ่านเป็นพิมพ์ครั้งที่ 7 ของสำนักพิมพ์อ่าน ๑๐๑ ค่ะ เนื้อเรื่องก็เล่าถึงชีวิตของตัวเอกชื่อ “ก็องดิด” พ่อคนใสซื่อจิตใจบริสุทธิ์ที่เชื่อมั่นในคำสอนของอาจารย์อย่างสุดหัวใจว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้เป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีกว่า โลกใบนี้เป็นโลกที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แล้ว แต่หลังจากนั้นก็องดิดก็มีอันต้องได้ระหกระเหเร่ร่อนไปยังที่ต่างๆ ประสบเคราะห์กรรมมากมาย ได้เจอะเจอผู้คนมากหน้าหลายตาจนความคิดความอ่านของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิด (นิดจริงๆนะคะ ช้ามากกกกก 🤣)
คือมันเป็นนิยายที่มีน้ำเสียงเสียดสีประชดประชันแหละ ถ้าถามว่ามันตลกไหม ก็มีบ้างนิดหน่อยอะนะ ตลกตรงที่ก็องดิดจะเป็นคนใสซื่อและโลกสวยอะไรขนาดนั้น 5555555 แต่คือมันเป็นนิยายที่ต้องการจะจิกกัดแนวคิดที่มองโลกในแง่ดีไง ซึ่งในเรื่องนี้ก็คือการที่มองว่าภัยพิบัติหรือเรื่องราวเลวร้ายทั้งหลายมันมีอยู่เพื่อทำให้โลกดีขึ้นอะไรทำนองนี้ คือมันเป็นแนวคิดที่ดูเพ้อๆและเหมือนเป็นการหลอกตัวเองให้ยอมก้มหน้ารับชะตากรรมยังไงไม่รู้ นอกจากนี้ก็ยังมีพวกเรื่องการเมืองกับศาสนาด้วย เรื่องการช่วงชิงอำนาจทั้งในหมู่ฆราวาสหรือพวกนักบุญก็ตาม รวมถึงพวกคนที่ทำร้ายคนอื่นเพราะความต่างในเรื่องของศาสนาอะไรแบบนี้ เป็นหนังสือที่วิพากษ์วิจารณ์ได้สนุกดี
“ข้าอ่านเพื่อตัวข้า ข้าชอบเฉพาะสิ่งที่ข้าจะนำมาใช้ได้เท่านั้น”
ประเด็นที่ยังเห็นอีกก็คือเรื่องศิลปะกับเรื่องยศถาบรรดาศักดิ์ เรื่องศิลปะเนี่ยจะมีตอนที่กล่าวถึงพวกการชื่นชมความงามของศิลปะ บทละคร หนังสือ ภาพวาดอะไรแบบนี้ ซึ่งมันก็จะขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน แต่เราชอบประโยคที่ยกมามากๆ คือคนหลายๆคนเสพงานศิลป์ตามผู้อื่นหรือสะสมไว้เพื่อให้ตัวเองดูโก้หรูมีความรู้ แค่เพราะคนอื่นบอกไว้ว่างานชิ้นนั้นดีมีคุณค่า แต่จริงๆแล้วตัวเองอาจจะไม่ได้ชอบหรือเข้าใจมันเลยก็ได้
ส่วนเรื่องบรรดาศักดิ์ก็จะเห็นได้จากการที่น้องชายของคนรักก็องดิดยังยึดติดอยู่กับตำแหน่งเก่าของบิดาและเทือกเถาเหล่ากอที่สูญสิ้นไปนานแล้ว โดยไม่คำนึงถึงความเป็นจริงตรงหน้าว่าตอนนี้ตัวเองไม่มีอะไรเหลือ ซ้ำยังเป็นหนี้บุญคุณก็องดิดอยู่อีก หรือจะเป็นในตอนท้ายของเรื่องที่พวกก็องดิดไม่ทำอะไร เอาแต่ถกเถียงปรัชญาฟุ้งเฟ้อเพื่อหาเหตุหาผล แข่งกันอวดความรู้ของตัวเองทั้งที่เอามากินไม่ได้ด้วยซ้ำ มีแต่กะกอมโบที่เป็นคนใช้ทำงานงกๆอยู่คนเดียว
จนสุดท้ายพวกก็องดิดก็เบื่อหน่ายและเริ่มเข้าใจว่าคุณค่าในการมีชีวิตอยู่คือการลงมือทำงานเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีขึ้น ไม่ใช่การเฝ้าสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า การขบคิดปริศนาธรรม หรือการปล่อยชีวิตของตัวเองให้เดินไปบนเส้นทางที่เชื่อกันเอาเองว่าถูกกำหนดไว้แบบนั้นแบบนี้ ซึ่งการทำงานนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยงว่ามันต้องเป็นของใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่คนทุกคนในสังคมก็ควรจะช่วยกันทำงานของตนให้เต็มที่เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม
เราว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นได้ดีนะว่าคนทุกคนมีความทุกข์เป็นของตัวเองกันหมด แต่มนุษย์เราก็ช่างสรรหาคิดเอาว่าตัวเองนี่แหละผ่านเรื่องเลวร้ายมามากกว่าใครในโลก เผชิญความทุกข์ตรมแสนสาหัสที่สุด คนอื่นช่างมีชีวิตชื่นมื่นน่าอิจฉา แต่นั่นก็เป็นเพราะเราไม่เคยไปรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรกับเขาด้วยเท่านั้นเอง ซึ่งตลอดทั้งเรื่องก็องดิดของเราก็ซื่อซะจนบื้อ ทั้งที่ผ่านเรื่องอะไรมามากขนาดนั้นก็ยังโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นก็เพราะต่อให้เจอเรื่องเลวร้ายมากแค่ไหน แต่ถ้าเจอเรื่องดีแค่สักเสี้ยวหรือเห็นใครที่ดูมีความสุขสมบูรณ์ ก็องดิดก็พร้อมจะกลับมาเชื่อมั่นในแนวคิดโลกสวยนี้อีกครั้ง
ดังนั้นถ้าถามว่าเราชอบใครที่สุดในเรื่องก็คงเป็นมาร์แต็ง ถึงจะมองโลกในแง่ร้ายเกินไปหน่อย แต่การมองโลกแบบนั้นทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ทุกข์ตรมมากนัก คือใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย เจอเรื่องลำบากก็เข้าใจได้ว่าโลกก็เป็นเช่นนี้ เจอเรื่องน่ายินดีก็ยอมรับได้ว่ามันไม่คงอยู่ตลอดไป นั่นเพราะเขามองว่าโลกใบนี้มีแต่ความชั่วร้าย มนุษย์ล้วนแก่งแย่งชิงดี รบราฆ่าฟันกันไปไม่จบสิ้น
ถึงเราจะไม่ได้เห็นด้วยกับมาร์แต็งทั้งหมด เพราะลึกๆเราเชื่อว่ามนุษย์เองก็ยังพอมึคุณงามความดีหลงเหลือในหัวใจบ้าง และต่อให้มนุษย์เลวร้ายอย่างนั้นจริง มันก็ย่อมต้องมีคนที่ไม่เป็นเช่นนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน แต่แนวคิดแบบมาร์แต็งเป็นแนวคิดที่จะช่วยให้ตนเองสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย ไม่ถูกหลอก ไม่โดนคดโกง เพราะไม่ไว้ใจใครและไม่ไว้ใจโลกด้วย แม้อาจจะฟังดูขมขื่นในตอนนี้ แต่ด้วยฉากหลังแบบในเรื่องถ้าไม่คิดแบบนี้ก็คงไม่มีวันเอาตัวรอดจากการถูกเอาเปรียบได้
“ข้าพเจ้าตายโดยยังนับถือพระผู้เป็นเจ้า มิได้เกลียดชังศัตรูของข้าพเจ้า แต่รังเกียจความเชื่องมงาย”
นี่คือบันทึกของวอลแตร์ก่อนที่จะเสียชีวิตและเป็นสิ่งเดียวกับที่เราคิดอยู่เสมอ โลกของเราดูหม่นหมองและยุ่งเหยิงก็จากผู้คนที่มีความคิดความอ่านงมงายและผูดมัดเอาว่าทุกคนที่ไม่คิดเหมือนกับตนเป็นคนเลว ไม่ว่าจะศาสนา การเมือง หรือเรื่องอื่นใดก็ตาม ส่วนตัวเราเชื่อว่าความเชื่อหรือความศรัทธาต้องมาพร้อมกับความกล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์ในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่ถูกไม่ควร หากความเชื่อพวกนั้นไม่ดำรงอยู่คู่กับเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่แตกต่าง มันก็ไม่อาจจะเป็นสิ่งที่ยั่งยืนและดีงามได้ มันไม่มีความเชื่อใดที่จะบริสุทธิ์ผุดผ่อง ถูกต้องจริงแท้ ไม่มีการแสดงออกหรือการกระทำใดที่สูงค่าหรือต้อยต่ำกว่า ดังนั้นการกำจัดคนคิดต่างหรือปฏิเสธผู้คนที่แสดงออกไม่เหมือนตน จึงไม่ใช้วิถีทางที่ถูกต้องในการรักษาความบริสุทธิ์ของสิ่งที่ตนเชื่อมั่น
ตอนแรกนึกว่าจะไม่มีอะไรให้เขียน แต่สงสัยจะเขียนเพลินไปหน่อย 😂
โฆษณา