4 ธ.ค. 2021 เวลา 14:22 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] It’s Gonna Be OK - Tilly Birds
มันจะต้องดียิ่งขึ้น
[รีวิวอัลบั้ม] It’s Gonna Be OK - Tilly Birds
-หนึ่งวงอัลเทอเนทีฟรุ่นใหม่ไฟแรงที่ผมเคยให้สมญานามว่า อะตอม-ชนกันต์ เวอร์ชั่นแทททูคัลเลอร์ที่เป็นเด็กจบนอก กลับมาแล้วด้วยระยะเวลาที่รวดเร็วมากๆ ถัดจากอัลบั้ม #ผู้เดียว แค่ปีกว่าเอง พอมาเป็นอัลบั้มนี้ที่มีแค่ 8 แทร็คเท่านั้น กลับทำให้ผมลืมสมญานามที่เคยให้ไว้โดยสนิทใจ ผมไม่เห็นภาพนั้นหลงเหลืออีกแล้ว ผมเห็น เติร์ด-บิลลี่-ไมโล กำลังสนุกกับการทดลองอะไรใหม่ๆ แล้วดันมีความมั่นใจเอามากๆ กล้าได้กล้าเสียเอาเสียด้วย สังเกตได้จากการทิ้งช่วงจากอัลบั้มแรกปีกว่า ผิดวิสัยศิลปินยุคนี้ที่ทยอยปล่อยซิงเกิ้ลในช่วง 1-3 ปีแล้วก็มารวบรวมเป็นอัลบั้มในภายหลัง
1
-ขอย้ำอีกรอบว่าการที่ผมสมญานามในแบบนั้นไม่ได้หมายความเลยเถิดในการพยายามเจริญรอยตามจนไม่เป็นตัวของตัวเอง พวกเขาเป็นวงดนตรีจำพวกไฮบริดที่ใกล้เคียงตัวตนของพวกเขาเหล่านั้นผสมปนเปกัน ซึ่งดีอยู่แล้ว แค่รอบนี้ดียิ่งขึ้นในแบบที่พวกเขากล้าที่จะหลุดกรอบเดิมๆเหมือนกัน เป็นความ specific ที่ไม่ได้ระบุตายตัวแล้วว่า เค้าต้องอยู่แนวไหน อัลเทอร์เนทีฟยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้ซับซ้อนเกินกว่าจะเข้าใจ พวกเขายังคงใช้ศัพท์เบสิค วลีติดหูมากพอที่จะให้คนฟังเก็ตได้เช่นกัน
ซ้ายไปขวาตามลำดับ ไมโล-ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) และ บิลลี่-ณัฐดนัย ชูชาติ (กีตาร์)
-อัลบั้มนี้มีแค่ 8 แทร็คถ้วนเท่านั้น สัดส่วนเพลงที่ตัดเป็นซิงเกิ้ลและ unreleased singles 4 ต่อ 4 อย่างละครึ่งเป๊ะ โซนซิงเกิ้ลอยู่ครึ่งแรก โซนเพลงในอัลบั้มอยู่ครึ่งหลัง สามหนุ่มยังคงใส่ใจในการเรียงเช่นเคย ค่อนข้าง make sense ทั้งในแง่การทำให้คุ้นชินแล้วค่อยไต่ระดับเลเวลไปสู่ความแปลกใหม่ขึ้น รวมไปถึงแง่ของบริบทที่เริ่มต้นด้วยความไม่โอเค ไปสู่จุดที่คลี่คลาย ปล่อยวาง พอทำให้ประโยค เดี๋ยวมันจะโอเคขึ้นแหละ มีน้ำหนักพอสมควร
-4 แทร็คแรกอันเป็น 4 ซิงเกิ้ลที่น่าจะวางแผนกันอย่างดีว่าควรเสิร์ฟอะไรให้คนฟังก่อน เริ่มด้วยความสมัยนิยมด้วยซิงเกิ้ลแรก #เพื่อนเล่นไม่เล่นเพื่อน (Just Being Friendly) ที่สนุกเอามากๆทั้งท่วงทำนองและวลี ยอดนิยมรองลงมาจาก #จำเก่ง เลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือแทนที่จะแร็ปเปอร์สาวจิ๋วจี๊ดน้อง Milli ทำหน้าที่พาร์ทแร็ป แต่กลับมาร้องด้วย charisma ที่เฉิดฉายมากๆ แล้วให้เติร์ดเป็นคนแร็ปพอหอมปากหอมคอแทน เป็นการดูเอ็ทที่เจ๋งเฟี้ยวเงาะเป็นที่สุด ต่อด้วยการพาเราไปสู่การเขยื้อนไปข้างหน้าพร้อมเดินเครื่องในเพลง #ลู่วิ่ง (Can’t Keep Up) ที่เดินเพลงดุ่มๆเป็นการวิ่ง joking แล้วค่อยติดสปีดวิ่งมาราทอนเค้นรีฟกีตาร์สุดเข้มข้นเป็นการสร้างจุดพีค ยิ่งได้ดูเอ็มวีที่เติร์ดลงมือกำกับ คุณจะเห็นภาพนี้ได้แจ่มชัดดี การวิ่งตามคนอื่นโดยที่เค้าไม่หันกลับมามอง มันเป็นอะไรที่เหนื่อยลากมาก
-จากโหมดวิ่งมาราทอน สู่โหมดรถไฟเหาะในเพลงที่เดือดสุดในอัลบั้ม เดือดที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำมาด้วยอย่าง #เบื่อคนขี้เบื่อ (I’m Not Boring, You’re Just Bored) ผมได้ยินตั้งแต่ Teaser อัลบั้มล่ะอย่าง hype พอมาฟังเต็มถึงกับร้องอื้อหือในความท็อปฟอร์มจริงๆเว้ย พวกเขายำรวมจุดเด่นของเพลงที่ผมเสาะหา มันจะเป็นไปได้มั้ยวะที่เพลงๆนึงจะมีทั้งความหวือหวา ทั้งความจัดจ้าน เข้มข้น เดือดๆ ขาดอย่างเดียวคือว๊ากสำรอกเนี่ยแหละ ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาไม่ทำแน่555 อย่างน้อยมันก็คือความเกรี้ยวกราดในนิยามของทิลลี่เบิร์ดที่ควรจะเป็นเนี่ยแหละ สะใจมาก Best Song So Far เลยฮะ พอมาตัดสลับกับซิงเกิ้ลที่สามอย่าง
#เดอะแบก (Baggage) ผมแปลกใจมากๆที่วงเลือกที่จะตัดเพลงนี้เป็นซิงเกิ้ล ด้วยโหมดเพลงที่ค่อนข้างดิ่ง และดูเหมือนจะเป็นเพลงสายลึกที่ซ่อนเอาไว้ในอัลบั้มเสียมากกว่า ซึ่งผิดวิสัยศิลปินไทยที่ต้องเน้นเพลงสนุก หรือไม่ก็เข้มข้นจัดจ้านไปเลย แต่ในใจจริงผมกลับชื่นชมในความกล้าได้กล้าเสียนะ ไม่เน้นฮิต พวกเขาโอเคที่จะเสิร์ฟเพลงสายลึกให้คนฟังได้ลองเปิดใจ ได้ลองท้าทายเสียมากกว่า เพลงนี้ก็ไม่ได้มีจุดพีคที่โดดแบบ #ลู่วิ่ง แต่ก็เป็นเพลงดุ่มๆที่ค่อยๆปล่อยความอัดอั้นออกมาในแบบห่าฝน ไม่ได้ระเบิดตูมขนาดนั้น อีกหนึ่งตัวอย่างของความกล้าท้าทายผู้ฟังอย่างแท้จริงครับ และมันเป็นเพลงกลางอัลบั้มที่ปูพื้นไปสู่การไหลออก ถ่ายเทความรู้สึกอันไม่โอเคทั้งหลายไปสู่ในทางที่น่าจะคลี่คลายกว่าเดิม
-เข้าสู่ครึ่งหลังเพลงที่ไม่ยังถูกตัดซิงเกิ้ลบ้าง เริ่มที่ #ติดตรงที่ฉัน (It’s Not You, It’s Me) ถ้าจำท่อน outro ของเพลง #เบื่อคนขี้เบื่อ ได้อยู่ เพลงนี้แหละคือเพลงเต็ม ซึ่งผมไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกี่ยวโยงอะไรมั้ย แต่ที่แน่ๆมันคือเพลง slow tempo บอกปัดด้วยท่าทีประนีประนอมกว่า สำหรับคนที่ยังไม่ลืมคนเก่า แต่ไม่พร้อมที่จะเริ่มใหม่เสียที เป็นไปได้ว่า คนที่เข้ามามากมายแค่ไหนก็มาได้แค่ชั่วคราว ไม่สามารถยืดความสัมพันธ์ระยะยาวได้เลย
-เข้าสู่โหมดเพลง stadium rock ที่ upbeat ขึ้นอย่าง #ขอให้เธอโชคดี (Send You Off) อินโทรเปิดเพลงอย่างล้ำ ภาคดนตรีโดดเด่น rearrange synthesizer คงจะมันส์น่าดู วาดลวดลายได้แพรวพราวมากๆ เนื้อเพลงก็โคตร lift up เลย เธอไม่รักเราไม่เป็นไร มันคงมีซักวันที่มีคนเห็นคุณค่าของเรามากพอ ในเพลงที่ผ่านๆมาความไม่โอเคดังกล่าวเกิดจากความยึดติดเสียเยอะ ไล่ตามแต่เขา แบกความรู้สึกเหมือนหลอกตัวเอง แต่พอมาเป็นเพลงนี้เป็นการส่งสัญญาณแห่งการปล่อยวาง let her go นั่นเอง
#เธอไม่อยู่คนเดียว (On My Shoulder) น่าจะเป็นเพลงที่ตรงกับบริบท #ItsGonnaBeOK มากสุด ชื่อเพลงและบริบทบ่งบอกการให้กำลังใจด้วยสไตล์ Soul-Pop ที่ซ่อนความโดดเด่นที่เสียงเครื่องเป่าและกลองดุริยางค์ที่ก้องกังวานส่งสัญญาณบอกคนที่เราแคร์ให้รู้ว่า เค้าไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีคนส่งเสียงอยู่ไกลๆ ต่อให้ข้างนอกมีเสียงรถจอแจมากมายก็ตาม
-ปิดท้ายอัลบั้มแบบไม่ลืมที่จบซึ้งอย่าง #ถ้าเราเจอกันอีก (Until Then) บัลลาดเว้าวอนถึงใครซักคนที่อยู่ห่างไกลเหลือเกิน แต่ถ้าได้เจอกันอีก จะขอกอดให้แน่นๆไปเลย ในมุมมองหลายคนอาจจะมองถึงการรอคอยใครซักคนที่เพิ่งตีตัวจากเราไปก็ได้ ถ้ามองในแนวแฟนเซอร์วิสทางวงก็อยากจะสื่อสารกับแฟนเพลงก็เป็นไปได้ แต่สำหรับผมอดที่จะนึกถึงอีกมุมมองนึงไม่ได้ นั่นก็คือ ประสบการณ์สูญเสียคนใกล้ตัวของเติร์ดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีก่อน โดยเฉพาะท่อนแรก มันทำให้ผมตีความเพลงนี้ในทางคิดถึงคนบนฟ้า เลยน้ำตาตกในกว่าเดิม ที่แน่ๆคอรัสท่อนแยกช่างทรงพลัง แล้วเพิ่มความยิ่งใหญ่ด้วยเครื่องสีออเครสตร้าที่ตีคู่สูสีกันในท่อนฮุกที่เติร์ดถ่ายทอดได้ emotional พอกัน เป็นเพลงปิดท้ายที่ส่งต่อพลังงานเว้าวอนได้อย่างซาบซึ้งตราตรึง อาจมีเสียน้ำตาได้
-ยอมรับว่าอัลบั้มแรก #ผู้เดียว พวกเขาตั้งมาตรฐานไว้สูงมากๆ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังคงฟังเรื่อยๆ เรียนตามตรงว่าชอบอัลบั้มแรกมากกว่าในแง่ของรายละเอียดคอนเซ็ปท์ที่ครบถ้วน เพลงติดหูได้ไว ลงล็อคในทุกเมโลดี้ ฟังได้เรื่อยๆ แต่ไม่ต้องใจหล่นไป อย่างไรก็ดีอัลบั้มนี้มันเป็นการเปิดทางให้พวกเขาทำสิ่งที่ท้าทายคนฟังยิ่งกว่าเดิมนะ นั่นเป็นเรื่องที่โคตรดีเลยกับการที่วงไม่คิดจะซ้ำรอยเดิม ยังคงพัฒนาลูกเล่นให้หลากหลายกว่าที่เคย มีแค่แทร็คแรกที่ฟีทกับน้องมิลลิที่ผมรู้สึกว่าเป็น blockbuster ของจริง เตรียม viral ได้เลย ทรงเดียวกับ #จำเก่ง แต่พอมาเป็นเพลงอื่นๆแทบจะอยู่ในจำพวก sleeper hit ไม่ฮิตปังในแรกเริ่ม แต่พอฟังเรื่อยๆเริ่มมีซัมติงให้ฟังต่อจนไม่กล้ามองข้าม ฟังไปทุกแทร็คแบบเรียงนั่นแหละ
-อีกทั้งการเล่นคอนเซปต์ที่มาในแบบนามธรรมปลายเปิด ไม่ได้ตายตัวแบบชุดแรกที่พุ่งประเด็น self-worth ส่งต่อแทร็กต่อแทร็ก ยังพอสามารถคาดเดาปลายทางได้ว่าจะจบอัลบั้มด้วยอารมณ์ไหน มันมีบางเพลงในงานชุดสองที่พอตีความได้หลายทาง ความไม่โอเคบางอย่างอาจจะเจอเรื่องที่หนักหน่วงไปมากกว่าประเด็นรักใคร่ก็เป็นได้ นั่นคือสิ่งที่อัลบั้มชุดสองเป็น และมันทำให้ผมเห็นว่าพวกเขาเริ่มมีแนวทางไม่ตายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เดาทางไม่ออกจริงๆว่าชุดที่สามจะมาไม้ไหนเหมือนกัน ที่แน่ๆความเก่งของพวกเขายังสะกิดจุดให้เราไปต่อได้ไม่ยาก น่าติดตามกว่าที่เคย
พวกเขาจะต้องท็อปฟอร์มแน่ๆ
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา