5 ธ.ค. 2021 เวลา 02:50 • คริปโทเคอร์เรนซี
หรือบิตคอยน์จะซ้ำรอยดอกทิวลิป?
1
*ผู้เขียนพยายามตั้งคำถามชวนคิดอีกด้านเท่านั้น เพื่อเตือนสติให้กับนักลงทุนหน้าใหม่ ไม่ได้สรุปไปในทางใด และจำเป็นต้องอาศัยเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร*
5
หลายท่านคงเคยได้ยินปรากฏการณ์ “ความคลุ้มคลั่งในดอกทิวลิป” (Tulip mania) ที่ถูกจารึกไว้ว่า เป็นการเกิดภาวะ “ฟองสบู่” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลก (แม้นักวิชาการบางท่านจะมีความเห็นว่ามีการใส่สีตีไข่ให้เป็นเรื่องเกินจริงก็ตาม) กล่าวคือ ในเนเธอร์แลนด์ ช่วงราวปี ค.ศ. 1637 หรือราว 387 ปีก่อน ดอกทิวลิป ซึ่งกลายเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคมของความเป็นผู้มีอันจะกิน ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในหมู่ชนชั้นสูงและกระจายไปสู่ชนชั้นกลาง ถึงขั้นเกิดการซื้อขายดอกทิวลิปล่วงหน้า (คล้ายกับการซื้อขายล่วงหน้าหรือ futures contract ในตลาดอนุพันธ์ปัจจุบันนี้)
4
ทำให้ราคาสูงขึ้นถึงขนาดที่มีบันทึกไว้ว่า มีผู้นำที่ดินขนาด 49,000 ตารางเมตรหรือ 12 เอเคอร์ มาแลกกับดอกทิวลิปเพียงดอกเดียว ทั้งนี้ ดอกทิวลิปที่มีมูลค่าสูงสุดในยุคนั้นคือ Semper Augustus โดย 1 ดอกมีมูลค่าสูงสุดประมาณ 12,000 กิลเดอร์ ซึ่งเทียบเท่ากับการซื้อคฤหาสน์ราคาแพงบริเวณคลองใหญ่ใจกลางเมืองอัมสเตอร์ดัมได้ 1 หลังเลยทีเดียว!
5
มีนักเศรษฐศาสตร์นิยามปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นทฤษฎีไว้ในชื่อ “The Greater Fool Theory” หรือ “ทฤษฎีคนโง่กว่า” ซึ่งอธิบายไว้ว่า ในภาวะฟองสบู่ จะมีคนที่ยอมซื้อสินทรัพย์หนึ่ง ๆ ไม่ว่าจะมีราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานหรือไม่ก็ตาม โดยเชื่อว่าราคาจะแพงขึ้นอีก และทำกำไรด้วยความหวังว่าจะสามารถขายสินทรัพย์ในราคาที่แพงกว่านั้นให้กับอีกคนที่มีความเชื่อเหมือนกับเราได้ (หรืออีกนัยหนึ่ง คนที่ยอมซื้อต่ออีกทอดหนึ่งคือ the greater fool หรือคนที่โง่กว่านั่นเอง)
4
แต่แล้ว… เมื่อราคาดอกทิวลิปเพิ่มสูงขึ้นไปถึงจุดหนึ่งก็เริ่มไม่มีใครยอมซื้ออีกต่อไป ผู้คนเริ่มวิตกกังวลว่านี่คือราคาสูงสุดที่ยอมรับกันได้แล้วและต่างเทขายยกใหญ่ ทำให้ราคาดอกทิวลิปตกลงอย่างฮวบฮาบแทบไม่เหลือค่าภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน (ราคาเหลือเพียง 1 ใน 100 ของราคาที่เคยขึ้นสูงสุด)
1
แม้มีบทเรียนในครั้งนั้น แต่ภาวะฟองสบู่ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ตัวอย่างไล่มาตั้งแต่ South Sea bubble ในอังกฤษเมื่อประมาณปี 1720 ฟองสบู่ดอตคอมในปลายทศวรรษ 1990 จนกระทั่งฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเหตุหายนะที่ทำให้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 ในที่สุด
4
มาจนถึงปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ทุกคนให้ความสนใจอยู่ทุกวันนี้คือ “บิตคอยน์” หรือคริปโทเคอร์เรนซีตัวแรกของโลกที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันทรงคุณูปการอย่างบล็อกเชน โดยในช่วงที่ผ่านมามีราคาพุ่งทะยานแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทะลุ 41,000 ดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือประมาณเกือบ 1,300,000 บาทไปแล้วเมื่อวันที่ 8 มกราคมที่ผ่านมา จนหลายคนตั้งคำถามว่า นี่คือภาวะฟองสบู่อีกแล้วหรือไม่?
3
การทะยานขึ้นของราคาบิตคอยน์ในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งมาจากปรากฏการณ์
"บิตคอยน์ฮาฟวิ่ง (Bitcoin Halving)” ซึ่งเป็นกลไกของระบบบิตคอยน์เองที่เกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี
เป็นลักษณะของการจำกัดอุปทานของบิตคอยน์ที่ผลิตเข้ามาใหม่ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง
1
มีนักการเงินและผู้เชี่ยวชาญหลายท่านอธิบายว่า การทะยานขึ้นของราคาบิตคอยน์ในครั้งนี้เกิดจากปัจจัยหลายประการ ส่วนหนึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานคือ ปรากฏการณ์ “บิตคอยน์ฮาฟวิ่ง (Bitcoin Halving)” ซึ่งเป็นกลไกของระบบบิตคอยน์เองที่เกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี เป็นลักษณะของการจำกัดอุปทานของบิตคอยน์ที่ผลิตเข้ามาใหม่ให้ลดลงครึ่งหนึ่ง (เหรียญบิตคอยน์จะผลิตครบทั้งหมดและจำกัดอุปทานไว้ที่ 21 ล้านบิตคอยน์ภายในปี 2140)
2
โดยอันที่จริง การฮาฟวิ่งดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคมปีที่แล้ว ซึ่งราคาบิตคอยน์ไม่ได้ปรับสูงขึ้นในทันที แต่เริ่มปรับเพิ่มต่อเนื่องและเห็นได้ชัดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นมา นอกจากนี้ ความนิยมที่เพิ่มขึ้นจากการใช้งานของบริษัทระดับโลกต่าง ๆ ยังส่งผลให้ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย ยกตัวอย่างเช่น Visa ที่วางแผนจะออกบัตรเครดิตที่อิงกับบิตคอยน์โดยตรง หรือ Paypal ที่อนุญาตให้ลูกค้าซื้อขายบิตคอยน์ผ่านกระเป๋าเงินของตนเองได้
3
อย่างไรก็ตาม ราคาบิตคอยน์ที่เพิ่มขึ้นมาจากอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน นั่นคือ การเข้ามาลงทุนในเชิงเทคนิคของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อยทั่วโลกที่โหมกระหน่ำไล่ราคาขึ้นไปสูงมาก หรือก็คือ “การเก็งกำไร” จนมีนักวิชาการและนักการเงินหลายท่านออกโรงเตือนภัยความเสี่ยงสำหรับการเข้าลงทุน รวมทั้งให้คำนิยามบิตคอยน์ว่าเป็น “ฟองสบู่ตัวแม่ (The Mother of All Bubbles)” เลยทีเดียว
3
เอาเป็นว่า ไม่ว่าราคาบิตคอยน์จะเพิ่มขึ้นจากปัจจัยพื้นฐานหรือการเก็งกำไร (ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปแบบไม่กะพริบตา) ในฐานะนักวิชาการ คงต้องทิ้งท้ายฝากไว้ให้ท่านผู้อ่านเหมือนสปอตโฆษณาคุ้นหูที่เกี่ยวกับการลงทุนว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน” โดยเฉพาะการรู้ให้รอบและลึกในปัจจัยพื้นฐานและเชิงเทคนิค รู้ความเสี่ยงและระดับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้ รวมทั้งมีสติในการตัดสินใจลงทุนอยู่เสมอครับ!
1
***บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัด***
2
ผู้เขียน
สุพริศร์ สุวรรณิก
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์
2
โฆษณา