5 ธ.ค. 2021 เวลา 14:51 • หนังสือ
คุณเชื่อประโยคนี้หรือไม่? “ถ้าคุณเอาเงินทั้งหมดที่มีในโลกมา แล้วแบ่งมันออกให้กับคนทุกคนเท่าๆ กัน มันจะกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าใบเดิมที่มันเคยอยู่มาก่อนในไม่ช้า” ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
10
สรุปหนังสือ 7 Strategies for Wealth and Happiness ตอนที่ 6
1
กลยุทธ์ที่ 1: ปลดปล่อยอำนาจของเป้าหมาย >> คุณได้รู้จักความหมายของคำสำคัญทั้ง 5 คำ เหตุผลที่เป็นแรงผลักดันให้คนเราตั้งเป้าหมาย วิธีการตั้งเป้าหมายทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมไปถึงการทำให้เป้าหมายต่างๆ ให้ทำงานเพื่อเรากันไปแล้ว
กลยุทธ์ที่ 2: แสวงหาความรู้ >> คุณได้เรียนรู้วิธีที่จะใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพ และน่าตื่นเต้นอยู่เสมอ ผ่านการหาความรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอแล้ว
วันนี้แอดก็จะมาเล่าต่อถึงกลยุทธ์ที่ 3 ที่จะนำพาเราไปสู่ความมั่งคั่งและความสุขค่ะ
1
สิ่งที่คุณมีในวันนี้ส่วนใหญ่ คุณดึงดูดมาโดยการเปลี่ยนเป็นคนที่คุณเป็นในวันนี้ หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า...
2
WHAT YOU HAVE TODAY = WHAT YOU ARE TODAY
“คุณจะมีได้เท่ากับที่คุณเป็นในวันนี้”
7
ดังนั้นภาษิตที่ยิ่งใหญ่ของชีวิตก็คือ “จงมีให้มากกว่าที่คุณได้ จงเปลี่ยนไปเป็นให้มากกว่าที่คุณเป็นอยู่”
5
นั่นคือ “การพัฒนาตัวเอง” และการพัฒนาส่วนตัวนี้เป็นงานที่ต้องทำไปยาวนานตลอดชีวิต
เรามาเริ่มตอบคำถามทั้ง 6 ข้อกันเลยดีกว่าค่ะ
1
ทำไมคนคนหนึ่งจึงหาเงินได้มากกว่าเป็น 2 เท่า ในเรื่องของเงินตอบแทน อะไรคือความแตกต่างระหว่าง 2,000 และ 4,000 ดอลลาร์/เดือน?
เวลา? แต่คนเราทุกคนมีเวลาเท่าๆ กัน 24 ชั่วโมง/วัน คุณจะหามันเพิ่มมาจากที่ไหน?
ดังนั้น ถ้าคุณไม่สามารถสร้างเวลาได้มากขึ้น แล้วอะไรล่ะที่คุณสามารถสร้างขึ้นซึ่งจะทำให้เกิดความแตกต่างในผลทางด้านเศรษฐกิจ? คำตอบคือ “คุณค่า” คุณค่าทำให้เกิดความแตกต่าง
“คุณไม่สามารถสร้างเวลาได้ แต่คุณสามารถเปลี่ยนเป็นคนที่มีคุณค่ามากขึ้นได้” ไม่ว่าคุณจะทำงานเกี่ยวกับกระบวนการผลิต หรือขายสินค้า หรือบริการก็ตาม คุณได้รับการจ้างสำหรับคุณค่าที่เกิดขึ้นจากการทำงาน คุณไม่ได้รับค่าจ้างสำหรับเวลา คุณได้รับค่าจ้างสำหรับคุณค่าสำหรับผลผลิตของคุณ
3
คำถามที่สำคัญคือ มันเป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปลี่ยนเป็นคนที่มีคุณค่าได้มากขึ้นเป็น 2 เท่าและทำเงินให้ได้มากขึ้นเป็น 2 เท่า/ชั่วโมง?
มีหนทางสำหรับฉันที่จะกลายเป็นคนที่มีคุณค่าได้มากขึ้นเป็น 3 เท่า หรือแม้แต่ 4 เท่าภายในชั่วโมงเดียวกันหรือไม่? และคำตอบคือ “แน่นอน!” คุณสามารถเปลี่ยนเป็นคนที่มีคุณค่ามากขึ้น ถ้าคุณเริ่มต้นด้วยความพยายามอย่างหนักที่ตัวคุณเองก่อนในเบื้องต้น
3
ถ้าถามว่าชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงได้อย่าง? คำตอบก็คือ “ชีวิตของคุณจะเปลี่ยนแปลงได้เมื่อคุณเปลี่ยนแปลงเท่านั้น” “ทางเดียวที่จะดีขึ้นสำหรับคุณคือ เมื่อคุณดีขึ้น” การดีขึ้นไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่คุณปรารถนา มันคือบางสิ่งบางอย่างที่คุณเปลี่ยนมาเป็น
5
มีอยู่ 2 สำนวนที่จิมอยากบอกเราก็คือ
1.ชีวิตและธุรกิจเปรียบเสมือนฤดูกาล
2.คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงฤดูกาล แต่คุณสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
2
จิมจะขยายความต่อโดยใช้ 2 สำนวนนี้เป็นเครื่องนำทาง เพื่อใช้พิจารณาถึงฤดูกาลของชีวิตและวิธีที่เราจะสามารถจัดการกับมันได้ดีที่สุด
1
จิมบอกว่าเป็นเรื่องแรกและเรื่องที่สำคัญที่สุด คือ จงเรียนรู้วิธีจัดการกับฤดูหนาว มีฤดูหนาวทุกประเภท มีฤดูหนาวทางเศรษฐกิจ มีฤดูหนาวทางด้านร่างกาย เมื่อสุขภาพของเราเสื่อมถอย มีฤดูหนาวทางด้านส่วนตัว เมื่อหัวใจของเราแตกสลาย
1
คำถามคือ เราจะจัดการกับฤดูหนาวอย่างไร?
จิมบอกว่าฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่ใช้เพื่อการพัฒนาส่วนตัว เพื่อให้เราเข็มแข็งขึ้น ฉลาดขึ้น ดีขึ้น
คุณชอร์ฟอาจารย์ของเขาเคยสอนว่า...
“อย่าปรารถนาว่ามันจะง่ายขึ้น แต่จงปรารถนาให้ตัวคุณดีขึ้น อย่าปรารถนาว่าปัญหาจะน้อยลง แต่ปรารถนาให้ตัวคุณมีทักษะมากขึ้น อย่าปรารถนาให้ความท้าทายน้อยลง แต่จงปรารถนาให้ฉลาดขึ้น”
12
ดังนั้น ฤดูหนาวจึงเป็นช่วงเวลาที่ใช้เตรียมตัวสำหรับฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งมาเยือนหลังฤดูหนาวเสมอ
1
ฤดูใบไม้ผลิจะเกิดขึ้นหลังฤดูหนาวทันที โอกาสเกิดต่อจากความยากลำบาก การขยายตัวเกิดต่อจากความถดถอย
ฤดูใบไม้ผลิคือเวลาที่จะ “ใช้ประโยชน์” ถ้าคุณต้องการจะให้สิ่งดีปรากฏให้เห็นในฤดูใบไม้ร่วงนี่คือเวลาที่จะหว่านเมล็ดพันธุ์
ดังนั้นจงทำงานให้ยุ่งในฤดูใบไม้ผลิ มีฤดูใบไม้ผลิเพียงน้อยนิดสำหรับเราแต่ละคน เพราะชีวิตเรานั้นแสนสั้น
1
จงเรียนรู้ที่จะดูแลและปกป้องพืชผลของคุณตลอดฤดูร้อนจากเหล่าแมลงและวัชพืชที่จะพยายามทำลายพืชผลของคุณ
ส่วนหนึ่งของความสำเร็จคือ การเรียนรู้ที่จะปกป้องสิ่งที่คุณสร้างขึ้น และนั่นคือบทเรียนอันยิ่งใหญ่ที่สุดของฤดูร้อน
2
คุณค่าทุกอย่างต้องถูกปกป้อง ไม่ว่าจะเป็นสังคม การเมือง การแต่งงาน ธุรกิจ ต้องได้รับการปกป้อง สวนทุกสวนต้องได้รับการดูแลตลอดฤดูร้อน ถ้าคุณไม่ปกป้องสิ่งที่คุณเชื่อ เมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน คุณจะไม่มีอะไรเหลือเลย
ฤดูใบไม้ร่วงคือ ฤดูกาลที่เราเก็บเกี่ยวผลของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของเรา แต่หากคุณไม่ได้ลงเพาะปลูกหรือหว่านเมล็ดไว้ตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิ หรือคุณไม่ได้ดูแลปกป้องสิ่งที่คุณสร้างขึ้นในตลอดฤดูร้อน คุณก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ
2
จิมบอกว่า...เขาเคยเป็นคนหนึ่งที่มี “เหตุผลสำหรับการไม่ทำสิ่งที่ดี” มากมาย เขาโทษทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น รัฐบาล ภาษี ราคาสินค้า อากาศ การจราจร ญาติพี่น้อง เพื่อนบ้าน และสังคม
หลังจากที่เขาเล่าเหตุผลต่างๆ เหล่านี้ให้คุณชอร์ฟอาจารย์ของเขาฟัง คุณชอร์ฟตอบว่า... “มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ผิดในบัญชีรายการของคุณ คือคุณไม่ได้อยู่ในบัญชีรายการด้วย”
2
จิมบอกต่อว่า...หลังจากนั้นเขาฉีกกระดาษที่จด “เหตุผลสำหรับการไม่ทำสิ่งที่ดี” เหล่านั้นทิ้งไป แล้วเขียนแผ่นใหม่ โดยเขียนคำว่า “ฉัน” ไว้คำเดียว
กฎของเมอร์ฟี่ “ถ้ามีสิ่งใดก็ตามที่สามารถเกิดความผิดพลาดได้ มันก็จะเกิดขึ้นได้”
1
ดังนั้น มันไม่ใช่สิ่งซึ่งเกิดขึ้นที่กำหนดผล อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด และมันเกิดขึ้นกับทุกคน ทุกคนมีเรื่องราวของเขาหรือของเธอ ความผิดหวังไม่ใช่ของขวัญพิเศษที่สงวนไว้สำหรับคุณโดยเฉพาะ คำถามคือ คุณจะทำอะไรเกี่ยวกับมัน?
1
เพื่อที่จะประสบความสำเร็จ เราต้องทำงานทุกอย่างเพื่อทำลายข้อจำกัดที่สร้างให้ตัวเองที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาส่วนตัวของเรา
มีข้อจำกัดอยู่ 3 ประการด้วยกันที่คุณต้องต่อสู้กับมัน
1
1.การผัดวันประกันพรุ่ง
ถ้าเราปล่อยให้เรื่อง 2-3 เรื่องเลื่อนออกไปในระหว่างวัน มันอาจไม่ได้ดูเลวร้ายมากนักก็จริง แต่หากปล่อยให้วันเหล่านั้นทับถมกันมากพอแล้ว คุณอาจจะเป็นต้นเหตุของการทำให้เกิดปีแห่งหายนะก็ได้
1
2.การกล่าวโทษ
เราทุกคนโทษใครบางคนสำหรับบางสิ่งบางอย่าง ทำไมเราจึงชี้นิ้วออกไปข้างนอกแทนการมองเข้ามาข้างใน? คำตอบคือ อัตตาต่อสู้เพื่อปกป้องตัวของมันเอง ดังนั้น เมื่อเราโทษอิทธิพลจากภายนอก เราก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความอ่อนแอและความล้มเหลวของตัวเราเอง
2
จิมเล่าว่าเขาเคยบ่นเรื่องของ ราคาสินค้าและข้าวของที่แพงขึ้น ให้คุณชอร์ฟอาจารย์ของเขาฟัง คุณชอร์ฟตอบว่า “ฟังนะ จิม” เขาพูด “ราคาไม่ใช่ปัญหาของคุณ ไม่ใช่ว่ามันมีราคาแพงเกินไป ปัญหาคือว่าคุณไม่สามารถมีเงินพอที่จะซื้อมันได้”
6
จิมบอกว่า...คุณชอร์ฟพูดถูก มันไม่เคยเป็นความผิดของ “มัน” ถ้าคุณเฝ้าแต่ผลักความรับผิดชอบไปที่ “มัน” คุณจะถังแตกและผิดหวังอยู่เสมอ คุณจะไม่เคยหารายได้เพียงพอ แต่เมื่อคุณเริ่มต้นคิดในมุมมองของ “ฉัน” แทน “มัน” คุณจะพบกับการหลั่งไหลเข้ามาของความก้าวหน้าส่วนตัวและรายได้
2
3.การแก้ตัว
ซึ่งเป็นญาติสนิทของการกล่าวโทษ จิมให้เราทายว่ามีข้อแก้ตัวอยู่กี่ข้อ? ถูกต้อง ล้านข้อ! แล้วคนเราก็สามารถเพิ่มอีก 1 ล้านข้อในระหว่างชีวิตของพวกเขา ความจริงแล้ว คนเราพยายามเป็นอย่างมากในการแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับความจริง
จิมบอกว่า...การสร้างข้อแก้ตัว 1 ล้านข้อ กับ การสร้างเงิน 1 ล้าน คุณต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คุณไม่สามารถมีทั้ง 2 อย่างได้
ดังนั้น นี่คือคำถามเบื้องต้นที่คุณต้องตอบ “เริ่มต้นจากวันนี้คุณจะทำอะไรเพื่อปรับปรุงตัวของคุณเอง?”
1
สรุปก็คือ ถ้าคุณไม่ขจัดเอาบางอย่างของข้อจำกัดที่สร้างให้ตัวเองของคุณออกไป 5 ปีต่อจากนี้ก็จะเหมือนกับ 5 ปีที่ผ่านมา ต่างกันก็แค่คุณแก่ขึ้น แต่ถ้าคุณขจัดออกไปซึ่งข้อจำกัดที่สร้างให้ตัวเอง คุณสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ที่ดีขึ้น 5 ปีแทน
จิมบอกว่า นิสัยเราจะเริ่มเปลี่ยนเมื่อเราเริ่มต้นเปลี่ยนความคิดของเรา
เราส่วนใหญ่ไม่ได้พบกับความเปลี่ยนแปลงใหญ่โตที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันรุนแรง แต่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเช่นเดียวกับกระบวนการทางวิวัฒนาการของความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งแทบไม่สามารถสังเกตได้
1
เราเพียงแค่ค่อยๆ ผลักดันตัวเราเองไปในทิศทางที่ถูกต้อง ด้วยสร้างนิสัยที่ดีขึ้นหนึ่งหรือสองอย่างในเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนกระทั่ง ในที่สุดเราก็ตระหนักว่า เราได้หันกลับมาสู่เรื่องสำคัญในของเราแล้ว
@ขอบเขต 3 ประการของการพัฒนาส่วนตัว
คุณค่าทางจิตวิญญาณและศีลธรรมจะช่วยสร้างรากฐานอันแข็งแรงภายใต้การแสวงหาความมั่งคั่งและความสุขของคุณ
2.1 การแต่งกาย
เราปรากฎตัวหน้าผู้อื่นอย่างไรย่อมทำให้เกิดความแตกต่างในแง่ความสามารถของเราในการปฏิบัติงานได้ดีหรือไม่ในท้องตลาด
ถ้าเราคิดว่า ผู้ไม่ควรจะตัดสินเราด้วยการแต่งกายของเรา แต่จิมบอกว่าพวกเขาตัดสินเราเช่นนั้นจริงๆ และเพราะพวกเขาตัดสินเราเช่นนั้น เราจึงควรถือเป็นเรื่องสำคัญในการทำให้การปรากฏตัวของเราดูดีที่สุด
2.2 การทำให้ร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
ร่างกายและจิตใจทำงานด้วยกัน เพื่อให้จิตใจของคุณทนทานในการต่อสู้ ร่างกายของคุณควรจะแข็งแรงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
สำหรับคนส่วนใหญ่ การพัฒนาทางด้านความคิดสิ้นสุดลงที่อายุช่วงต้นทันทีที่พวกเขามีงานที่ดีทำ
คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับ “เส้นโค้งของการเร่งเรียนรู้หรือเปล่า?”
นับจากวันที่เกิดมาจนถึงอายุ 18 ปี เส้นโค้งการเรียนรู้ของเราเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจน เราเรียนรู้สิ่งต่างๆ สะเปะสะปะอย่างรวดเร็วเป็นจำนวนมาก แต่เมื่อเราอายุมากขึ้น และพบงานที่เหมาะสมของเราในตลาดแรงงาน เส้นโค้งแห่งการเรียนรู้ของเราก็มาถึงระดับคงที่
แต่ในยุคนี้ ขณะที่เทคโนโลยีเร่งให้เราเปลี่ยนแปลงให้ทัน ไม่มีใครสามารถรักษางานไว้ได้ง่ายๆ แล้วหวังว่างานนั้นยังคงเหมือนเดิมไปตลอด 40 ปี
แต่ถ้ามองในด้านบวก การที่คุณพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ คุณสามารถจินตนการได้หรือไม่ว่า คุณสามารถเปลี่ยนเป็นอะไร? ถ้าคุณรักษาเส้นโค้งที่เร่งการเรียนรู้ให้ดำรงไว้ตลอดทั้งชีวิตของคุณ? คุณสามารถจินตนาการได้หรือไม่ว่าทักษะอะไรที่คุณจะพัฒนา ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งอะไรที่คุณจะมี?
1
เพราะว่าการสร้างนิสัยของการพัฒนาส่วนตัวต้องการความพยายามที่เสมอต้นเสมอปลาย ซึ่งวินัยเท่านั้นที่จะทำให้มีขึ้นได้
จิมแนะนำวิธีการสร้างวินัยให้เราคือ...
เริ่มต้นด้วยวินัยเล็กๆ น้อยๆ และเริ่มผูกมันไว้ด้วยกัน คุณจะค้นพบว่าโดยการสร้างวินัยเล็กๆ น้อยๆ หลายๆ อย่าง คุณจะควบคุมเรื่องใหญ่ได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
เริ่มต้นด้วยเรื่องท้าทายเล็กน้อยก่อน บางสิ่งบางอย่างที่สามารถทำได้เดี๋ยวนี้เลย แล้วก็เริ่มต้นอีกสิ่งหนึ่งหลังจากนั้นสักพัก เมื่อการท้าทายใหญ่ๆ เข้ามาสู่วิถีชีวิตของคุณ คุณจะสามารถจัดการมันด้วยความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
ถ้าคุณไม่เคยเริ่มต้นก้าวเล็กๆ มาก่อน ก็ไม่มีใครรวมทั้งตัวคุณเองด้วยที่จะไว้วางใจให้คุณดูแลเรื่องใหญ่ๆ
จิมบอกว่า “แรงกระตุ้น” เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก ทำไมพนักงานขายคนหนึ่งพบลูกค้าคนแรกเวลา 7 โมงเช้า และพนักงานขายอีกคนหนึ่งเพิ่งตื่นนอนเวลา 11 โมง จิมบอกว่าเขาไม่รู้ มันคือส่วนหนึ่งในเรื่องที่เข้าใจยากของชีวิต
จิมยังเล่าให้เราฟังว่า...เขาให้การบรรยายแก่คนนับพัน ใครคนหนึ่งเดินออกไปแล้วพูดว่า “ฉันจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน” อีกคนหนึ่งเดินออกไปพร้อมกับการหาว แล้วบ่นพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้มาก่อนแล้ว” ทำไมเป็นเช่นนั้น? ทำไมคนทั้งสองจึงไม่ได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน? มันเป็นเรื่องที่เข้าใจยากอีกเรื่องหนึ่ง
เศรษฐีเงินล้านพูดกับคน 1,000 คนว่า “ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ และมันทำให้ผมเริ่มเดินไปบนถนนสู่ความมั่งคั่ง” ทายสิว่ามีกี่คนที่ออกไปซื้อหนังสือ? ถูกต้อง...น้อยมาก มันไม่น่าเชื่อใช่ไหม? ทำไมทุกๆ คนจึงไม่ไปซื้อหนังสือ? ...มันคือเรื่องที่เข้าใจยากอย่างหนึ่งของชีวิต
ถ้าถามแอดว่าเชื่อในประโยค caption ตอนต้นเรื่องหรือไม่? เชื่อค่ะ แอดคิดว่าเงินน่าจะวิ่งกลับไปหาคนที่มีลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1
1. เป็นคนพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตัวเอง
2. หว่านเมล็ดพันธุ์ไว้หรือสร้างทรัพย์สินขึ้นมาในตอนที่เป็นหนุ่มสาวร่างกายแข็งแรงอยู่
3. มีข้อจำกัดหรือเหตุผลที่ไม่ทำสิ่งดีน้อย
4. ดูแลตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ
5. มีวินัย
6. มีแรงกระตุ้นภายในตัวเอง
1
คุณล่ะคะคิดว่าอย่างไร? คุณใช่คนนั้นที่เงินจะวิ่งเข้ามาอยู่ในกระเป๋าหรือเปล่าคะ?
โฆษณา