10 ธ.ค. 2021 เวลา 11:29 • การตลาด
มารู้จักช่วงเวลาสำคัญทั้งก่อนและหลัง mega sale day ในการ optimize campaign กันครับ
Credit: https://unsplash.com by Bruce Mars
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ Mega Day Sale campaign บน e-marketplace เจ้าดังอย่าง Shopee และ Lazada นะครับ
วันที่เราคนไทยคุ้นหูคือ 9.9, 11.11, 12.12 ซึ่งเป็นวันที่ทุกแบรนด์พร้อมใจกันนำเสนอส่วนลดหรือโปรโมชั่นแรงๆ ลด แลก แจก แถม แบบกระหน่ำมากมายเลยทีเดียว
เป็นที่มาของพฤติกรรมนักช้อปชาวไทย ที่มักจะอั้นซื้อของที่อยากได้แต่ไม่เร่งด่วน รอไปซื้อในวัน Mega Sale Day ต่างๆ เพราะรู้สึกคุ้มกว่า หรือสินค้าหลายๆ ประเภทที่ต้องใช้เยอะๆ ล็อตใหญ่ๆ อย่างผ้าอ้อมเด็กและนม UHT ที่กลุ่มเป้าหมายจะรอซื้อทีเดียวเป็นลังๆ ใน Mega Sale Day เพื่อประหยัดกว่าซื้อแบบน้อยๆ บ่อยๆ
แต่รู้ไหมครับว่า ตามหลักการ optimize campaign สำหรับ Mega Sale Day แล้ว ไม่ใช่ว่าเราจะลงเงินและทุ่มงบโฆษณาลงเฉพาะวันที่มี Mega Day Sale หรือเพียงไม่กี่วันก่อนหน้านะครับ
เพราะจริงๆ แล้ว การที่แบรนด์จะประสบความสำเร็จ มียอดขายถล่มถลายใน Mega Sale Day แต่ละแบรนด์จำเป็นต้อง optimize ทั้งช่วงก่อนและหลังวันดังกล่าวด้วยครับ
ขออ้างอิงศัพท์ที่ทาง Facebook ใช้เรียกช่วงเวลาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ Mega Sale Day ดังนี้นะครับ
D-Day คือวันที่เป็น Mega Sale Day หรือคือวันที่เป็นวันปล่อยโปรโมชั่น อย่าง 9 เดือน 9 วันที่ 11 เดือน 11
Teasing period คือช่วงเวลาประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ก่อน Mega Sale Day
After Party คือช่วง 3-4 วันหลังจาก Mega Sale Day
Always-on คือช่วงเวลานอกเหนือสามช่วงนี้
การ optimise Mega Sale Day ให้ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องบริหารจัดการ การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายใน 4 ช่วงเวลานี้เป็นอย่างดีครับ อย่างที่บอกไปว่า ไม่ใช่อยู่ดีๆ ทุ่มงบและการสื่อสารลงไปในไม่กี่วันก่อน Mega Sale Day แล้วจะได้ยอดขายกลับมาทันที
มาดูที่ช่วง Teasing period กันก่อน ช่วงนี้เป็นช่วงที่แบรนด์จะเริ่มโปรโมทโปรโมชั่นต่างๆ ที่จะนำเสนอในวัน D-Day โดยที่เป้าหมายหลักในช่วงนี้คือ ชวนให้กลุ่มเป้าหมายมาติดตามเพื่อรับข่าวสารอัพเดทจากแบรนด์ทั้งเกี่ยวกับ campaign ที่จะถึงและ campaign ต่อๆ ไป และดีที่สุดคือชวนให้พวกเขา Add to Cart หรือใส่สินค้าในรถเข็นไว้ก่อนเพื่อรอ check-out วัน Mega Sale Day เพื่อรับโปรโมชั่นตาม campaign
ดังนั้นช่วงนี้ นอกจากจะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแบบกว้าง (broad audience) ที่มีความสนใจกับสินค้าของแบรนด์แล้ว ยังต้องสื่อสารกับกลุ่มที่รู้จักแบรนด์เราอยู่แล้วผ่านการทำ retargeting ด้วยครับ
ช่วง D-Day โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงเที่ยงคืนของวัน แบรนด์ต้องเริ่มเพิ่มการสื่อสารกับคนที่เคยมีส่วนร่วมกับเราเพื่อย้ำให้คนเข้ามาซื้อในวันดังกล่าว โดยเฉพาะกลุ่มที่เคยใส่สินค้าไว้ในรถเข็น ต้องเน้นย้ำให้เขากลับมา check-out เพื่อไม่พลาดโปรโมชั่นพิเศษนี้
ดังนั้นช่วงนี้ สัดส่วนในการเน้นกลุ่มเป้าหมายคือ เน้นไปที่คนที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว หรือเคยมีปฎิสัมพันธ์กับแบรนด์ โดยแบ่งงบประมาณให้กลุ่มนี้ 80% ส่วนอีก 20% เก็บไว้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายแบบกว้างเช่นเดิม
After Party ตามขื่อเลย เป็นช่วงหลัง D-Day ไปแล้ว ช่วงนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์และ e-marketplace บางที่ไม่ซีเรียสเรื่องโปรโมชั่นในวัน D-Day ว่าจะขยายต่อได้ไหม ก็สามารถอาศัยช่วงนี้ในการชวนคนที่พลาดซื้อในวัน D-Day หรือคนที่ add to cart แล้วยังไม่ได้ checkout ให้กลับมาซื้อโดยยังได้โปรโมชั่นเดียวกัน แต่บางแบรนด์บาง E-marketplace ซีเรียส ก็จะออกโปรโมชั่นใหม่มาซึ่งแรงน้อยกว่าตัวใน D-Day แต่ก็ยังเป็นโปรโมชั่นที่พิเศษกว่าช่วงปกติ เพื่อต่อยอดเพิ่มยอดขายต่อได้อีกหน่อยหลังฝุ่นตลบใน D-Day ค่อยๆ จางไป
สุดท้ายคือช่วงที่เรียกว่า Always-on หรือช่วงอื่นๆ ที่ไม่ใช่ 3 ช่วงที่กล่าวไป โดยช่วงนี้เป็นช่วงที่ทุกแบรนด์ต้องเน้นเรื่องของการสร้าง brand awareness อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุค digital นี้ ที่ brand loyalty ต่ำมากๆ ผู้บริโภคพร้อมจะเปลี่ยนแบรนด์ตลอดเวลา จากข้อมูลที่ Facebook ทำร่วมกับบริษัทวิจัย Bain & Company ระบุว่า ผู้บริโภคคนไทยเปลี่ยนแบรนด์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมามากถึง 63% ซึ่งสูงสุดในบรรดาประเทศอาเซียน ที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 51% (https://www.twfdigital.com/blog/2021/10/5-reasons-why-consumer-switch-brand/)
แน่นอนว่าแบรนด์ที่มี awareness กับกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่องในช่วง “always-on” จะมีโอกาสทำยอดขายได้ดีกว่ากับแบรนด์คู่แข่งที่ทำ brand awareness ไว้น้อย พูดง่ายๆ ก็คือ แบรนด์ที่มี awareness ต่ำในช่วงปกติ จะต้องใช้แรงและเงินมากกว่าในการสร้างยอดขายในช่วง Mega Sale Day
นอกจากนั้นช่วง Always-on นี้ เป็นช่วงที่แบรนด์สามารถทำ A/B testing หรือลองปรับวิธีการ optimize ต่างๆ ที่จะสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งในแง่ชิ้นงาน creative และกลยุทธ์การสื่อสารต่างๆ ไปจนถึง bidding strategy ต่างๆ เพื่อนำเอาสิ่งที่ test & learn เหล่านั้นมาวิเคราะห์และปรับใช้กับ Mega Sale Day ถัดๆ ไปต่อได้
โฆษณา