10 ธ.ค. 2021 เวลา 13:10 • ปรัชญา
พอจิตออกจากร่าง ร่างที่ไม่มีจิตอาศัย ก็เน่าเปื่อยผุพัง ลมไปแล้วไม่เข้าไม่ออกแล้ว ไฟก็ไปเหมือนกัน น้ำก็ไหลออก จะเหลือแต่ดิน ผุพังไป ลมพัดมาอีกที่ รูปนั้นก็สลายหายไป แต่จิตที่ออกจากร่างไม่สูญสลายไปเหมือนกาย ด้วยกรรมตัดรอนบ้าง กรรมที่บั่นทอนชีวิต บั่นทอนอายุขัย ก็กลายเป็นดวงจิตเร่ร่อน หิวกระหาย บางพวกเป็นโอปาติกะเร่รอน บางพวกก็เป็นเปรตเป็นอสุรกาย ไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ บางพวกก็อาศัยอยู่ตามวัดตามวา รอคอยคนเค้ามาทำบุญ หวังจะได้บุญ แต่ก็ไม่ได้ เพราะพวกมาทำบุญ ก็หวังบุญให้หนุนนำ ให้ข้าพเจ้าร่ำรวย เค้าบอกว่า บุญกำลังไหลไปถึงเค้าแล้ว มันเรียกร้องกลับ ขอให้ร่ำรวย ทำเหมือนจะให้ แต่ให้ไม่จริง มันเรียกร้องกลับคืนเสียอีก ดวงจิตที่มารอยคอยก็อดไป
เคยไปงานศพ มีภิกษุหนุ่มมาสวดอภิธรรม ท่านสวดเหมือนกับนักร้อง เราก็แปลกใจ ทำไมมีเงาดำยืนเรียงกันเป็นแถวต่อจากภิกษุหนุ่มนั่น ก็ไปถามครูบาอาจารย์ ท่านก็บอกว่าจิตที่เร่รอนมาคอยรับบุญกุศลมากมายอยู่ในวัด พอมีใครเค้าทำบุญก็มายืนคอย เรียงแถวเป็นระเบียบเรียบร้อย มองดูเค้าเป็นระเบียบยิ่งกว่าคนที่มีชีวิตเสียอีก บุญที่เค้าอยากได้ คือบุญที่บริสุทธิ์ ทำด้วยปัจจัยที่ตนไปเสาะแสวงหาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายของตน กลับมาเรื่องผีที่ยืนต่อภิกษุสวดเหมือนนักร้อง มันก็ไม่ใช่จิตของผู้ที่จะเป็นพระ สิ่งที่เป็นกุศลก็ไม่เกิด น่าสงสารจิตที่มายืนคอย คอยแล้วก็อด ไม่มีบุญกุศลอะไรเกิดขึ้น โมฆะไปที่รอคอย
จิตที่เร่รอนอยู่ในวัต ตอนเป็นคนก็ชอบเรื่องเจ้าพ่อเจ้าแม่คาถาอาคมไสยศาสตร์ พอเค้าปลุกเสกหุ่นอะไรขึ้นมา ก็เข้าไปหาเหมือนไปดูของที่เคยชอบ จิตก็ถูกดูดไปติดอยู่กับหุ่น ผ้ายันต์ ตะกรุด จระเข้บ้าง อะไรต่างแล้วแต่ที่เค้าอุปโลกถ์ขึ้นมา ไปเจอหุ่นที่ผีตายโหงเข้า เอามาบูชาก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน แล้วผู้ที่บูชาก็จะมีแต่เรื่องเดือดร้อน ส่วนมากแกล้งให้ตายใจตินเอามาใหม่ๆ ถูกหวยเรียงเบอร์ มีโชคมีลาภ แล้วกรรมก็ตามมา มีแต่ทุกข์ มันเวรกรรมของเราเองไปเสาะแสวงหาหามา ต้องหาอะไรมาถวาย มีผู้ที่รู้จักบอก วันไหนถวายเหล้า โอ้โห..วันนั้น สายตามองดูหุ่นนั้นมันปากแดง ลิ้นห้อยออกมาเลย ตอนหลังแก่ก็เอาไปฝากพระแม่คงคา ลงน้ำไป แล้วก็ทำบุญไปให้จิตดวงนั้นไป จิตที่มีกรรมเค้าจึงถูกดึงมาอยู่ในหุ่นนั้น ที่ล่ามโซ่ไว้ด้วยคาถาอาคม มันน่าสงสารออก ถ้าเราไปถูกกระทำแบบนั้น
มีพระที่นับถือ ท่านถามว่ารู้จักมั้ยว่า เวลาจิตวิญญาณ (ตายไปแล้วเรียกว่า จิตวิญญาณ)มาขอส่วนบุญส่วนกุศล เค้าทำยังไง บอกท่านไปว่าไม่รู้ ท่านก็บอกว่า เหมือนคนเรานี่แหละ เวลาจะขอให้ใครช่วยเหลือ เค้าก็มาดีๆ กิริยานอบน้อม มาพนมมือตรงหน้าเราแหละ บอกเค้าในใจ ให้เค้าอนุโมทนาบุญกุศล ให้มีความสุขเพียงแค่นี้ ภาพที่แสดงนั้นก็หายไป ตอนหลังถึงได้เรียนรู้ เหมือนกับที่ท่านบอกมาจริงๆ บางพวกมันก็เหมืนคนอันธพาล คนเกเร พวกนี้ดื้อ ไม่รับบุญ ก็เหมือนกับคนเรานั้นแหละ แต่สิ่งที่พวกนี้กลัวเกรงก็เรื่องแสงของธรรม ที่บุคคลใดประพฤติปฏิบัติธรรม สร้างบุญสร้างกุศลบารมีได้ พวกนี้ก็ไม่ค่อยเข้ามาใกล้ เข้ามาก็ได้แต่อยู่ห่างๆ เพราะก็อยากได้บุญกับเค้าเหมือนกัน
บุญนั้นเหมือนเป็นแสงส่องให้จิตนั้นสว่างไสว ได้รับบุญก็เหมือนจิตนั้นได้รับกระแสไฟได้กำลัง เดินไปสถานที่ที่มีความสุขสบายมากขึ้น จิตวิญญาณที่ไม่มีบุญนั้น ไปไหนไม่ได้ ก็กินนอนตรงนั้นแหละ เรื่องพวกนี้ จึงมีที่มาของคำพูดว่า ตอนเป็นคนบอกให้ช่วยตัวสร้างบุญสร้างกุศล ฝึกหัดสวดมนต์ไหว้พระไว้นะ พอตายจิตออกจากร่างก็มาขอบุญ ทีตอนเป็นคนไม่ทำกับมือตัวเอง ถึงตอนนั้นใครก็ช่วยเหลือไม่ได้ ช๋วยได้แต่ตอนเป็นคน บอกให้สร้างบุญสร้างกุศลบารมี สะสมไว้เป็นเสบียง เมื่อถึงเวลาต้องเดินทางออกจากสังขารนี้
คนสมัยก่อน เค้าสร้างวัด ถวายที่ดินสร้างวัด ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใช้เป็นสถานที่สร้างบุญสร้างกุศล(เค้าไม่ได้สร้างมาเพื่อภิกษุไปสร้างเครื่องรางของขลัง หรือไปหมกมุ่นเรื่องราวคาถาอาคมไสยศาสตร์ หรือเป็นสวนสนุกแหล่งบันเทิงท่องเที่ยว ค้าขายตะกรุดผ้ายันต์ กันผีสาง อะไรก็กันไม่ได้ เพราะแท้จริงของพวกนี้ไปเรียกร้องผีมา หรือเป็นที่สิ่งจิตวิญญาณที่ยังไม่ผุดเกิดเกาะติดมา แล้วก็เรื่องที่เค้าเรียกว่า ลมเพลมพัด เข้ามาอีก ซึ่งสมัยนี้คนไม่ค่อยรู้จัก แต่ก็มีมากยิ่งกว่าแต่ก่อน (เราจึงเห็นคนที่จิตเจ็บป่วยซึมเศร้า ผิดปกตินิสัยตนเพิ่มขึ้นมาจากเรื่องราวเหล่านี้ส่วนหนึ่งเหมือนกัน) มีผู้ที่มาขอบวชครองเครื่องหมาย ว่าจะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรม ครองผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเครื่องหมายของธรรม ที่จะเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เกิดเป็นบุญกุศลบารมี ช่วยเหลือจิตของตนให้พ้นบ่วงมาร บ่วงที่พาเกิดแก่เจ็บตาย
เมื่อมีภิกษุประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พักอาศัย ก็เป็นสถานที่ที่ให้ญาติโยม ได้มาสร้างบุญสร้างกุศล รักษาศีล ทำบุญสร้างกุศล เผื่อแผ่ไปให้นามธรรมตลอดจนเรื่องของญาติมิตรที่จากโลกนี้ ไปสู่อีกภพภูมิหนึ่ง ไม่มีวิญญาณรับรู้เรื่องโลกที่เคยอาสัยเหมือนตอนอาศัยสังขารมนุษย์ บุญนั้นจะเกิดขึ้นได้ที่มาจากผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมครองเครืองหมายธรรม (ผ้ากาสาวพัสตร์) ปฏิบัติให้กายเป็นธรรมจิตมีธรรม ธรรมรักษาจิต เมื่อเราไม่รู้ว่าภิกษุนั้นปฏิบัติอย่างไรทำอะไร เราก็ทำบุญกับผ้าเหลือง ถวายต่อองค์พระสัมมาพุทธเจ้า อธิษฐานได้ ตอนสิ่งของนั้นอยู่ในมือเรา กรวดน้ำอุทิศกุศลฝากพระแม่พระธรณี ทำก่อนถวายภิกษุ ทำของเราให้เรียบร้อยแล้วจึงถวายกับเครื่องหมายธรรมผ้ากาสาวพัสตร์ ไม่ไปยึดตัวบุคคล ถึงตอนนั้นเราก็ทำไปตามประเพณีที่เค้าว่ากัน แต่ขอให้จิตเรามั่นคง ตั้งใจทำบุญสร้างกุศล
เมื่อมีผู้ที่น้อมนำปัจจัยที่ไปเสาแสวงหามาด้วยแรงกายตน ที่ต้องอาศัยอารมณ์โลภโกรธหลงนำพาไป นำมาวาง สละออกไป สละวางต่อหน้าเครื่องหมายธรรม (ซึ่งไอ้ความโลภโกรธหลง มันก็ซ้อนเร้นอยู่ในวัตถุนั้น เมื่อเราสละออกไป ก็เหมือนเราสละความยึดถือในโลภโกรธหลง ที่เคยยึดมาสร้างกรรมนั้นให้เบาบาง )ถวายต่อภิกษุที่มาดำรงตนอยู่ในศาสนา ก็เกิดเป็นบุญ เป็นแสงของบุญกุศลสีเหลืองอร่าม (เรื่องราวแสงของธรรมเป็นแสงรัตนะ) สู่จิตที่ล่องลอย ที่ทุกข์ยากลำบาก ให้ได้บุญบุญกุศล บรรเทาทุกข์ ที่จิตที่เป็นนามธรรมอาศัยรูปเป็นโอปปะติกะ เป็นเปรตบ้าง ได้อนุโมทนาบุญกุศล ซึ่งก็ทำให้เค้าได้เบาบางทุกข์ชั่วขณะหนึ่งก็ยังดี
โลกวิญญาณ เค้าก็มีระเบียบกฎเกณฑ์เหมือนกัน จิตวิญญาณไหน ไปทำให้คน ตื่นตกใจ เค้าก็ถูกทำโทษเหมือนกัน ก็เหมือนโลกเราเหมือนกัน จะทำได้ก็ผู้ที่มีกรรมคล้องกันมาเอง ไม่อย่างงั้น คงเห็นกันไปทั่วหมดแล้ว อีกทั้งเรื่องของคำว่าสัมผัส วิญญาณหกของเรามันยังหนาด้วยบาปกรรมจึงไม่สามารถรับรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้ แต่บางพวกก็เป็นพวกผีเห็นผีอีกเหมือนกัน พวกไปเอาอะไรต่างๆเข้ามาเป็นร่างทรง อย่างนั้นอย่างนี้ ส่วนมากก็เป็นผีไม่มีบุญเสียด้วย จิตสูงๆ เค้ากลัวกรรมไม่มายุ่งเกี่ยวเข้าใกล้คนที่มีแต่กรรม เค้าไม่มาสมสู่ด้วยหรอก
เรื่องของภิกษุที่ครองกาสาวพัสตร์ ไม่ได้มีการสังวร ประพฤติปฏิบัติธรรม ไปยุ่งเรื่องราวคาถาอาคมไสยศาสตร์ เมื่อจิตออกจากร่าง ก็ตกนรกทั้งนั้น ไปถึงสถานที่นั้น เค้าก็ให้ถอดเครื่องหมายที่ห่มออก ไปพาดที่ราวเหล็กใหญ่ๆ พาดกันเสียจนราวเหล็กนั้นแอ่น ไปพาดกันมากมาย เพราะสิ่งที่เค้าสอนในโบสถ์ ไม่เอาไปทำ เดินออกจากโบสถ์ ก็ทิ้งมันไว้ตรงนั้นแหละ แล้วก็ไปฉันไปกินของที่เค้า ถวายมาภัตตาหารมิตตาหาร ปัจจัยอะไรบ้าง เค้าถวายด้วยความนอบน้อม ด้วยของที่เสาะแสวงหามาด้วยแรงกายเหน็ดเหนื่อย สละการยึดถือโลภโกรธหลงออกไป เพื่อแปรสภาพใ้ห้เกิดเป็นบุญกุศล เมื่อไม่ระมัดระวังไม่สังวร ก็กลายเป็นหนี้กรรมเหมือนกัน เปอร์เซ็นต์ตกนรก จึงมากกว่าฆราวาสเสียอีก เค้าบอกว่า อยากสร้างกรรม ก็สร้างให้มันมากๆ มารเค้าส่งเสริม จะได้ตกนรกลึกๆ ไปยาวนาน
โฆษณา