10 ธ.ค. 2021 เวลา 19:51 • กีฬา
#Equilibrium
สวัสดีแฟนเพจศาลาผี อัพเดทข่าวกันก่อนนอนในคืนวันศุกร์ ส่วนใหญ่ข่าววันศุกร์ก่อนที่จะเป็นช่วงเกมสุดสัปดาห์ ก็จะเป็นมุมมองและความพร้อมของทีม โดยเฉพาะจากสัมภาษณ์ของราล์ฟ รังนิค
เพื่อความชัวร์แอดจึงรอเวลาเล็กน้อยก่อนที่จะนำเสนอข่าว เพื่อความถูกต้องของเนื้อหา ที่ผู้ติดตามเพจของผมคู่ควรกับการจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดไปจากการติดตามเพจเล็กๆของผมเพจนี้
ตอนที่ตั้งต้นเขียนนี้ก็เป็นเวลาประมาณ 5ทุ่มในบ้านเรา ก็คิดว่าข่าวคงเริ่มที่จะนิ่งแล้ว แอดจะขอสรุปและวิเคราะห์คำสัมภาษณ์ของรังนิคทีละส่วนๆ
และโพสต์นี้ผมคงจะใช้เป็นคอลัมน์ "ผีเคาะหัว" ไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่ออกแนวนำข่าวมาวิเคราะห์ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นประเด็นพูดของรังนิคล้วนๆ ผมจึงขออธิบายในแต่ละประเด็นไว้ ดังเนื้อหาต่อไปนี้ครับ
เตรียมกาแฟกันสักแก้วก่อนอ่านจะดีมาก และหวังว่าคุณจะเห็นโพสต์นี้ตอนเช้าวันเสาร์ที่ตื่นมา และมีเบรคฟาสต์อร่อยๆสักมื้อนึงนะ ไม่ว่าจะเป็น ราดหน้าของป้าข้างบ้าน หรือจะหมูปิ้งหอมๆหน้าโรงงาน รวมถึงก๋วยจั๊บหมูกรอบถนนสิรินทรที่ซื้อมาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อวานก็ตามที
ขอเชิญอ่านกันเพลินๆได้เลยครับ
---------------------------------
-ควันหลงจากเกมวันก่อน มีรายงานว่า ราล์ฟ รังนิค อยู่ที่แคริงตันเพื่อที่จะติวเข้มเฉพาะนักเตะเยาวชนให้เป็นการส่วนตัวก่อนที่จะได้ลงสนามในเกมเจอยังบอยส์นัดที่ผ่านมา
จากภาพข่าวที่เราเห็นคือ นักเตะชุดใหญ่ไปอยู่ที่โรงแรมกัน 13 คน แต่ว่านักเตะเยาวชนไม่มีตามมาด้วยเลยเนื่องจากรับประทานมื้อก่อนเกมกันที่แคริงตันแทน
[@samuelluckhurst]
: อันนี้ชัดเจนนะครับว่า มันเข้มข้น ละเอียด และแกทุ่มเทขนาดไหน สโมสรเรา และเด็กๆพวกนี้ "ในทุกระดับชั้น" จะได้ชุดความคิดที่ดีและเป็นมือโปรจากรังนิคไปแน่นอน
- สืบเนื่องจากเมื่อวานก่อน มีคำพูดของน้องแม็คที่เอ่ยถึงราล์ฟ รังนิค ที่อ่านแล้วสะใจมากๆ และยิ่งใจชื้นขึ้นเมื่อการเข้ามาของรังนิค มันเพิ่มระดับความเข้มข้นของการฝึกซ้อม และความมั่นใจไปอีกคนละเลเวลเลย
จากสิ่งที่แม็คโทมิเนย์พูดไว้ประมาณว่า รังนิคสร้างตารางให้นักเตะอย่างดีเยี่ยมเพื่อการพักผ่อน และการเตรียมพร้อมที่เพียงพอ
"เบื้องหลังเราต้องเตรียมใจให้แข็งแกร่งขึ้น100% ทุกอย่างดูแน่นอน มีพลังขับเคลื่อนจัดๆ บอสรู้ดีว่าเขาต้องการอะไรจากผมและเขาเป็นคนที่ชัดเจนมากๆ การจะไปถึงเป้าหมายได้ คุณต้องชัดเจนและเต็มที่กับมัน ถ้าหากว่านักเตะไม่ทำตามคำแนะนำที่ถูกกำชับมา เขาจะพูดเลยทันที" [sky]
: หลายคนอาจจะมองว่า แม็คให้สัมภาษณ์แบบอยู่เป็น แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย นี่คือการพูดที่สะท้อนถึงความเข้มข้นที่ดีเยี่ยมของรังนิค และ "การตอบสนอง" ที่ดีเช่นกันของนักเตะอย่างแม็คโทมิเนย์ที่พูดอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยเรื่องราวเบื้องหลังของการทำงานหนักที่เฮี้ยบ และชัดเจนในแนวทางของรังนิค
มือโปรทั้งคู่ และผมอ่านแล้วสัมผัสได้เลยว่า น้องแม็คก็รออะไรที่มันเข้มข้นแบบนี้อยู่แล้วเช่นกัน อย่างที่แอดมินศาลาผีพูดบ่อยๆว่า เราต้องมาดูกันว่า นักเตะแต่ละคนนั้น "ตอบสนอง" ต่อการทำงานของรังนิคยังไง
สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เตรียมอัพเกรดชัวร์ๆแล้วหนึ่งตัว เมื่อresponseกลับมาในลักษณะนี้
ถ้ามองแต่แบบแง่ลบมันคือการสัมภาษณ์ชมเฮดโค้ช แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้มีอะไรที่เป็นการอวยรังนิคเลย มีแต่เนื้อๆเน้นๆของปฏิกิริยาที่ดีจากนักเตะทั้งนั้นที่เขาพูดออกมา
......
ในขณะที่ "การตอบสนอง" ของนักเตะบางคนก็ชัดเจนเช่นกัน จากข่าวที่ขึ้นมาทันทีอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องลุ้นกันให้นานว่า Philipe Lamboley เอเย่นต์ของอ็องโตนี่ มาร์กซิยาล ออกมาให้ข่าวอย่างชัดเจนสุดๆในรอบนี้ว่า
"อ็องโตนี่อยากจะย้ายออกในช่วงมกราคมนี้ เขาแค่อยากจะได้ลงเล่น เขาอยากออกเดือนมกราคมนี้แล้ว และเดี๋ยวผมจะคุยกับสโมสรในไม่ช้านี้"[sky]
: การตอบสนอง และความเคลื่อนไหวแตกต่างกันชัดเจน ในรายของมาร์กซิยาลเนี่ย เราไม่สามารถฟันธงได้ 100% ว่า เขาไม่ชอบ หรือรับไม่ไหวกับระบบของราล์ฟ รังนิค
แต่.. การที่ออกมาแจ้งทันทีว่าจะย้าย มันสามารถ "ตอบ" ได้ในระดับที่สูงมากๆว่า มาร์กซิยาล ไม่เลือกที่จะอยู่สู้ที่นี่แล้ว ทั้งๆที่สัญญายังเหลือ และโอกาสในการลงสนาม เขาก็สามารถที่จะยังชิงมาได้อยู่ เพราะมีการเปลี่ยนโค้ช
ถ้าโชว์ผลงานได้ดี ทำไมจะไม่ได้ลงสนามล่ะ หากพยายามเพียงพอ? ถูกไหมครับ
เพราะงั้นแล้ว จริงอยู่ว่า ตามข่าวและสถานการณ์ มาร์กซิยาลอยากย้ายหนีเพราะต้องการลงสนามก็จริง แต่มันก็สะท้อนถึงจุดสิ้นสุด และการที่ไม่พร้อมจะอยู่สู้ต่อเพื่อแย่งชิงตำแหน่งที่นี่อีกต่อไปแล้ว เพราะถ้าพร้อมสู้ หรือตัวเองพิจารณาแล้วว่าพอจะแย่งตำแหน่งได้ เขาจะอยู่ (เพราะมีโค้ชใหม่มา)
แต่ออกมา "เคลื่อนไหว" ทันทีแบบนี้ ก็แปลว่าเขาไม่สู้ที่นี่ต่อแล้วเช่นกัน ซึ่งแอดก็เห็นควรด้วยว่า ก็ควรจะหาทางย้ายออก โดยได้แต่หวังว่า เอเย่นต์จะหาสโมสรใหม่ให้มาร์กซิยาลให้ได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ให้นักเตะได้ลงเล่นอย่างเหมาะสม และเป็นตัวจริงที่ไหนสักที่นึง ในขณะที่ สโมสรเอง ก็จะลดภาระค่าใช้จ่ายมหาศาลจากค่าเหนื่อยสูงจัดๆของเขา แต่โชว์ฟอร์มได้ไม่คุ้มกับค่าแรงที่นี่
การเลือกที่จะอยู่รับเงินสูงๆไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งที่เขานอนกินได้สบายๆในสัญญาที่ยังเหลืออยู่ แต่หมากเลือกที่จะไปแบบนี้ มันก็บ่งบอกถึงแง่ดีได้เช่นกันว่า ตัวเขาเองก็ยังคงมีไฟที่อยากจะลงเล่นอยู่
วินวินทุกฝ่าย ในSquad และสโมสรเราก็จะได้เงินกลับคืนมาด้วย, offload ค่าเหนื่อยมหาศาลออกไปอีกหนึ่งคน ซึ่งเอาเงินจำนวนนี้ไปกระจายเป็นค่าแรงนักเตะเก่งๆที่ทุ่มเทเพื่อสโมสรได้อีกเพียบ
และในสนาม เราก็จะมีแต่คนที่วิ่งและทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อ "ตราสโมสร" และเพื่อ "แฟนบอล" อย่างเต็มที่เท่านั้น ใครไม่สู้ก็ถอยออกไปจากที่แห่งนี้
ถือเป็นข่าวที่ดีนะ วินวินทุกฝ่าย ดียังไงเราก็พูดกันตรงๆ เพราะแม้ว่าผมจะแฮปปี้กับข่าวนี้มากๆเพราะเราเองไม่ชอบนักเตะที่ไม่ทุ่มเท แต่ดูในแง่มุมอื่นๆ ก็ควรที่จะเข้าใจสถานการณ์ของนักเตะ และมองจาก "แง่มุมของเขา" เองเช่นกันว่า ยังคงอยากจะเล่นฟุตบอลอยู่
แต่ยุคต่อจากนี้ที่มันได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว
ที่นี่ไม่เหมาะกับเขาอีกต่อไปเท่านั้นเอง เขาจึงได้ "ตอบสนอง" ต่อการเข้ามาของ ราล์ฟ รังนิค เช่นนี้นั่นเอง
กรณี แม็ค-หมาก คือสิ่งที่ผมพูดไว้เรื่องนี้นั่นแหละ เป็นเบื้องต้นเท่านั้นเอง
แต่ยังเหลืออีกสเต็ปหนึ่งที่เป็นของ "ความสามารถในการปรับตัวและเล่นให้เข้ากับระบบ" ของราล์ฟ รังนิค
ยังต้องเป็นเรื่องที่ดูกันต่อไปอีกว่า นักเตะที่ตอบสนองต่อแนวทางได้ดี แต่บางที อาจจะไม่สามารถขึ้นไปแตะจุดmax ของการเล่นในลักษณะนี้ได้ เนื่องจากขาดคุณสมบัติในตัวบางอย่าง แม้ว่าใจจะได้ แต่ก็ต้องดูเรื่องอื่นๆด้วยเช่นกัน
-----------------------------
- ในการให้สัมภาษณ์ของรังนิคนั้น ภาพรวมๆบอสอธิบายถึงเรื่องที่ว่า ทำไมสโมสรถึงควรจะต้องลงทุนในตำแหน่งมิดฟิลด์ และแนะนำให้ทีมแมวมองเฝ้าตามติดนักเตะอย่าง อามาดู ไฮดาร่า (แอดยอมใช้ไฮดาร่าก็ได้ฟะ เพราะเดี๋ยวอีผู้บรรยายภาษาอังกฤษก็เรียกแบบนี้อยู่ดี)
และยังชี้ว่า จู๊ด เบลลิงแฮม และ คาลวิน ฟิลลิปส์ ก็เป็นมิดฟิลด์เป้าหมายที่อาจจะเป็นไปได้ด้วย
ถึงจะมีแรงสนับสนุนให้รังนิคหาทางและดูความเป็นไปได้ที่จะเซ็นสัญญาตัวใหม่เข้ามาในเดือนมกราคม แต่คาดว่าทั้งเขาและสโมสรน่าจะยังไม่เคลื่อนไหวมากนัก
เนื่องจากรังนิคเชื่อว่าทีมที่เขารับช่วงต่อมาจากโซลชานั้นมีขนาดที่ใหญ่มากเกินไป และด้วยเหตุนั้นจึงน่าจะเกิดการปล่อยตัวผู้เล่นออกจากทีม มากกว่าที่จะมีใครเข้ามา
[@RobDawsonESPN]
: ชัดเจนในตัวเนื้อข่าวอยู่ และรังนิคพูดแบบนี้บ่อยมากๆ ดังนั้นเรื่องเดือนมกราคม ที่แน่ๆคือ "ปล่อยแน่ๆ" ใครที่ดูแล้วน่าจะเป็นส่วนที่สโมสรไม่ได้ใช้งาน เขาจะจัดการปรับให้ทีมมีขนาดที่พอเหมาะมากกว่านี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีกับทุกๆฝ่าย
..ดีในแง่ที่ว่านักเตะสำรองหลายๆคนก็จะไม่ตูดด้าน ได้ออกไปลงเล่นอย่างเหมาะสมที่อื่น + สโมสรก็ลดค่าเหนื่อย และอาจได้เงินค่าตัวกลับมาด้วยอย่างสมควร ซึ่งเงินตรงนี้ก็จะไปหมุนเวียนให้กับ financeของสโมสร แต่อย่าเพิ่งคาดหวังว่าเงินจะถูกนำไปทดแทนโดยตรงกับงบซื้อนักเตะ (Transfer Budget) โดยตรง
ถ้าจะมีก็อาจจะเป็นกรณีพิเศษที่ดึงเงินมาเพิ่มเติมจากงบที่กันเอาไว้แล้ว ไม่ใช่สมมติว่า ขายนักเตะสองคน รวม 25+10 = 35 ล้านปอนด์ แล้วถึงจะค่อยเอาเงินไปฉีกสัญญานักเตะราคาราวๆ 33 ล้านปอนด์ได้
- รังนิค กล่าวชื่นชม "เมสัน กรีนวู้ด" ที่เป็นคนยิงประตูในนัดเจอ ยังบอยส์ เกมล่าสุดเมื่อคืนก่อนดังนี้
"เขาไม่ได้แค่ยิงประตูสวยๆได้เท่านัน้น แต่วิธีการเล่นที่สร้างสรรค์โอกาสยิงเหน่งๆให้ฆวน มาต้า เป็นพรสวรรค์เน้นๆ มันสุดยอดมาก ทั้งเท้าขวา เท้าซ้าย เล่นกับบอลได้ดี รวมถึงวิธีการตั้งบอลให้กับเฟร็ดยิงดับพาเลซเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว"
"แต่ทุกๆอย่างจะต้องพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง เขาเองยังต้องพัฒนาทางด้านความแข็งแกร่งในเชิงกายภาพอยู่ พูดในทางเทคนิคแล้ว เขาเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมสุดๆถ้าเทียบกับช่วงอายุนี้ และงานของผมคือพัฒนา ดึงศักยภาพการเป็นนักกีฬาออกมา และถ้าเขาสามารถรับมือกับการฝึกฝนดังกล่าวได้ เขาก็สามารถจะเป็นตัวยืนของสโมสรแห่งนี้ได้สบายๆ"
"ทั้งกรีนวู้ด และฮาลันด์นั้น พวกเขาเป็นดาวยิงที่แตกต่างกัน เออร์ลิ่ง ฮาลันด์ สุดโต่งมากทางด้านความแข็งแกร่งทางกายภาพ เออร์ลิ่งเป็นดาวยิงที่แตกต่างออกไป เขาคือตัวจบสกอร์ที่ยืนเป้าเดี่ยวคนเดียวได้สบายๆแบบกองหน้าตัวเป้า(target man) หรือไม่ก็เล่นหน้าคู่ได้ในระบบ 4-4-2"
"ส่วนเมสันนั้น เล่นเบอร์9คล้ายกับเออร์ลิ่งได้เหมือนกัน แต่เมสันเล่นแบบ [9ครึ่ง] คือเล่นเป็นกองหน้าตัวจบสกอร์ได้ แต่ก็สามารถเล่นเกมบุกเข้ามาจากตำแหน่งปีกได้ และเขาสามารถเล่นในลักษณะของกองหน้าคู่ที่ยืนคู่กับตัวจบสกอร์คนอื่นได้เช่นกัน เทคนิคการเล่นของเมสันดีมากๆ"
"บางครั้งเขาดูเหมือนจะยังแตะไม่ถึงจุดมาตรฐานของนักฟุตบอลนิดหน่อย และเราต้องพัฒนาทางด้านกายภาพของเขา แต่ในด้านเทคนิค ทุกๆอย่างที่เขาสามารถเล่นกับบอลได้นั้นคือทำได้โคตรโดดเด่นแล้ว ผมไม่กังวลเรื่องเทคนิคของเขาเลย แต่เราต้องพัฒนาทางด้านจิตใจและร่างกายของเขาให้กลายเป็น "ร่างสมบูรณ์ของเมสัน กรีนวู้ด" ให้ได้ในอนาคต
: ป๋าชมน้องเขียวขนาดนี้ แถมรู้จุดที่ต้องปั้นนักเตะถูกอีก คงจะมีการสั่งเทรนบางเซสชั่นให้หนักเป็นพิเศษสำหรับเมสัน กรีนวู้ดแน่ๆ และรังนิคพูดเองขนาดนี้ ยกย่องขนาดนี้ แปลว่าพรสวรรค์ของกรีนวู้ด "ของจริง" แน่นอน เพราะระดับรังนิคพูดเอง
แถมยังแย็บให้แฟนผีได้ฝันกันเล่นๆอีกว่า ในอนาคตมีโอกาสที่เราจะได้มีหน้าคู่เป็น "ฮาลันด์ กรีนวู้ด" ยืนคู่กันแบบที่น่าจะเข้าขากันสุดๆ ตัวนึงค้ำสูงตัวบนสายกองหน้าตัวเป้า แล้วใช้กรีนวู้ดเป็นSecond Striker โจมตีลูกไฟวงนอก
แค่คิดก็สยองเรื่องการพังประตูแล้ว กูตั้งชื่อ Unit หน้าคู่นี้รอไปเลยดีไหม
คู่หอก "ยักษ์วัดเหลือง กับ ยักษ์วัดเขียว" (ฮา)
- เรื่องความพร้อมของนักเตะบางคนที่มีอาการบาดเจ็บ รังนิครายงานเอาไว้สองคนที่น่าสนใจดังนี้
"เรามีเรื่องที่กังวลอยู่สองสามเรื่องเกี่ยวกับนักเตะ แต่เนื่องจากพวกเขายังไม่มา เพราะทีมเราซ้อมกันตอนสองนาฬิกา เราเลยต้องรอจนกว่าจะถึงช่วงซ้อม ไม่ว่าจะเป็นก่อนหรือหลังซ้อม ถึงจะรู้เรื่อง เพราะต้องรอหมอและฝ่ายแพทย์ที่จะแจ้งผลกับผมว่าสถานการณ์ของนักเตะเป็นยังไงบ้าง"
"อารอนมีอาการบาดเจ็บสองบริเวณในร่างกายขณะที่ลงแข่งขัน และก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาการมีไข้ของเนมันย่า มาติช แต่ไม่ถึงกับเป็นพวกไข้หวัดใหญ่นะ แล้วก็ไม่ได้เป็นโควิดด้วยเพราะเทสต์ผลออกมาเป็นลบ ผมยังหวังว่าเขาจะสามารถลงสนามได้ แต่เราต้องรอดูว่าเขาเป็นไงบ้างวันนี้"
: คิดว่าค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้วว่า อารอนบาดเจ็บแน่นอน ไม่ว่าจะเล็กน้อยยังไงก็ตาม แต่แมนยูจะไม่ต้องเข็นเขาลงเหมือนยุคโซลชาอีกแล้วแน่นอน
ในขณะที่ฟอร์มการเล่นของวานบิสซาก้า เทียบไม่ติดกับนักเตะอีกคนที่พัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และผมเชื่อว่าในสายตาของรังนิค หมอนี่ยึดตำแหน่งแบ็คขวาไปแล้ว สำหรับ ดิโอโก้ ดาโลต์ ที่อดทนกัดฟันสู้ในยุคโซลชา จนได้รับผลตอบแทนเช่นนี้
เนมันย่า มาติช ก็เป็นกัปตันทีมในนัดที่แล้ว เพราะงั้นเราคงไม่ได้เห็นเขาลง 11 ตัวจริงแน่นอนอีกคนเช่นกัน และไม่น่ามีชื่อเป็นสำรอง
เพราะงั้น ดีไม่ดี เกมถัดไปหากว่า ราล์ฟ รังนิค ต้องการความแน่นอนของการ "เล่นเกมเยือน" มากขึ้นกว่าเดิมแล้วล่ะก็ อาจจะมีชื่อของ "Charlie Savage" ขึ้นมาในม้านั่งสำรองอีกครั้งก็ได้ ในฐานะมิดฟิลด์ตัวแบ็คอัพที่ใส่มาไว้กันเหนียว ต่อจากดอนนี่ ฟานเดอเบค อีกคน หากว่ามาติช มีไข้
นี่คือการวิเคราะห์ตัวลงสนามเบื้องต้น ซึ่งเอาจริงๆมันดูง่ายอยู่แล้ว เพราะรังนิค แบ่งให้เห็นชัดเจนว่า จะใช้คนไหน อยู่ในการใช้งานกับทีมชุดไหน ดังนั้นชุดที่เจอยังบอยส์ ก็น่าจะไม่ได้ลงเล่นในเกมกลางดึกคืนพรุ่งนี้ที่เจอกับนอริช ซิตี้ แน่นอน
ส่วนนักเตะอีกสองรายที่เหลือ ซึ่งหลายๆคนรอคอยอย่าง ราฟาเอล วาราน และ เอดินสัน คาวานี่ สองพระหน่อฝีเท้าระดับท็อปคลาสนั้น กลับมาร่วมซ้อมกับทีมแล้วเป็นที่เรียบร้อย แต่อยู่ในระหว่างเรียกความฟิตอยู่ และยังไม่น่าที่ราล์ฟ รังนิค จะนำขึ้นมาใช้งานเป็นตัวจริง
แถมนักเตะบางคนที่ลงเล่นแทนพวกเขา อย่าง ลินเดอเลิฟ และ โรนัลโด้ ก็กำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มทั้งคู่ ถึงจะกลับมาก็คงจะต้องชิงตำแหน่งกันดุเดือดน่าดู ต่อหน้าบอสใหม่อย่าง ราล์ฟ รังนิค
รอกันต่อไปสำหรับFCของราฟาและเอดี้ แต่การมีนักเตะในทีมที่เก่งระดับท็อปอยู่เยอะๆ เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว เรื่องนี้ ย.ห. นะครับ
อย่าห่วง
----------------------------------
- "เรามีเวลา 45 นาที ในการเตรียมตัววันซ้อมก่อนเกมเจอพาเลซ ซึ่งเราใช้ฟุตเทจวีดิโอค่อนข้างเยอะเพื่อที่จะสื่อสารให้นักเตะได้เห็นว่า เราอยากจะให้เขาเล่นแบบไหน และตามที่พวกเราทุกคนได้ดูสิ่งนั้นร่วมกัน พวกเขาก็เอามาทำได้ดีในเกมนั้นกับพาเลซด้วย แม้ว่าจะไม่ได้สมบูรณ์แบบไปซะทุกๆอย่าง แต่ว่าหลายๆสิ่งก็ค่อนข้างทำงานกันได้อย่างดี"
"เราเล่นได้เหนือกว่า และมักจะเร็วกว่าพาเลซอยู่ก้าวนึงเสมอ เราคุมเกมไว้ได้ ซึ่งตอนนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องว่ากันถึงขั้นตอนถัดไป ซึ่งสิ่งที่เราแสดงให้เห็นเกมเจอคริสตัล พาเลซนั้นทำได้ดี เราป้องกันไม่ให้คู่แข่งทำประตูได้ หรือไม่ได้ปล่อยให้พวกเขามีโอกาสยิงบ่อยครั้งจนเกินไปนัก"
: ตามนั้นครับ ทุกสิ่งไม่ได้ perfect ในเกมเจอ พาเลซ พวกเราทุกคนที่เป็นคนดูฟุตบอลย่อมเข้าใจในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ว่าทีมมีข้อบกพร่อง เรายังเล่นกันพลาดบ้าง เช่น ยิงกันไม่คม จังหวะสุดท้ายไม่ดี ฯลฯ
แต่การเปลี่ยนแปลงมันเห็นชัดเจนอยู่แล้ว และผมคงไม่ต้องย้ำกับแฟนเพจที่นี่แน่ๆ ทุกคนคงเข้าใจว่าการจูนทีม ต้องใช้เวลาอีกเยอะ และไม่มีทางสำเร็จสมบูรณ์ได้ภายในสิ้นฤดูกาลนี้แน่ๆ คงต้องใช้เวลาอีก 2-3ปี และตรงนั้นก็จะเป็น "จุดสมดุล" ที่มาบรรจบกันพอดี (ขออนุญาตใช้คำว่า Equilibrium มันชัดเจนสุด)
ทางด้านอายุ ประสบการณ์ และการสุกงอมของนักเตะ แอดพูดไว้เสมอว่า จุดพีคของนักเตะรุ่นนี้ชุดนี้ จะอยู่ที่ราวๆ 2023-2025 ซึ่งมันยังเดินทางไปไม่ถึงจุดของเวลาตรงนั้น เราต้องบ่มเพาะนักเตะ โดยเฉพาะทางด้านประสบการณ์ ร่างกาย ฝีเท้า บ่มด้วย "เวลา" ที่จะดำเนินไปเรื่อยๆตามกระแสการไหลของมัน
นักเตะตัวหลักที่ "เริ่มเข้าช่วงพีค" ก็จะไปบรรจบกับ "เวลา" อีกสองสามปี ระบบของรังนิคถึงจะไปแตะจุดที่เป็นฟุตบอล "Death Metal" ได้ อันเกิดจากบอลระบบสายบุกดุเดือด เล่นเพรสซิ่งบีบสูง และเล่นเกเก้นเพรสซิ่ง โซนเพรสซิ่งไล่ขยี้ใส่คู่ต่อสู้
เมื่อมันรวมกับ "จิตวิญญาณไม่ยอมแพ้แบบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด" บอลสายร็อค ที่เดือดอยู่แล้ว มันยิ่งทวีคูณความเดือดที่สูงขึ้นไปอีก แอดถึงได้บัญญัติคำนี้ขึ้นมาเองว่า ผมอยากจะเห็นบอล "Death Metal" มากๆ ซึ่งเป็นการต่อสู้แข่งขันที่เอาชีวิตและศักดิ์ศรีสโมสรเป็นเดิมพันในทุกๆนัด
ผมไม่เคยตั้งชื่ออะไรเล่นๆ ผมเอาจริงกับการเชียร์แมนยูเสมอ และทุกๆสิ่งจะต้องมีความหมายในนั้น
------------------------------------
ดังนั้น แมนยูของเราจึงต้องการเวลาปรับจูน และพัฒนาอีกเยอะ(มากกกก) อย่างที่คำให้สัมภาษณ์และมุมมองของรังนิคกล่าวไว้แบบตรงไปตรงมา ซัดกันตรงๆ ไม่ต้องใช้คำพูดสวยหรู ไม่ต้องcompromiseกับอะไรทั้งนั้น ทำงานแบบมือโปรจริงๆ
ทีมเราต้องแก้ไขจุดบกพร่องอีกเยอะมาก ซึ่งแฟนบอลที่ดีควรจะ "เข้าใจ" ในจุดนี้
เราสามารถที่จะ Hype และตื่นเต้นกับการทำทีมของ Ralf Rangnick กันได้อย่างเต็มที่ ตามความรู้สึก ความเชื่อมั่นของเราเอง ซึ่งศาลาผีอยู่ในกลุ่มนี้ ในขณะที่หลายๆส่วนอาจจะไม่ได้เห็นแล้วปลื้ม หรืออวยรังนิคขนาดนั้น ซึ่งก็เป็นสิทธิ์ของเขาเช่นกัน อันนี้คนเราไม่ต้องด่ากันก็ได้ถ้าคิดต่าง
แต่..มันก็จะมีแต่แฟนบอลบางประเภทนี่แหละที่ไม่เคยพอใจอะไรสักอย่าง ขนาดว่าเกมวันก่อนที่เจอยังบอยส์ แฟนผีที่ดีๆส่วนใหญ่เค้าก็จะดูกันแบบชิลๆ สนุกๆ ไม่ซีเรียสกันทั้งนั้น
เพราะนอกจากมันเป็นเกมที่ไม่มีผลอะไรกับการเข้ารอบแล้ว ยังเป็นเกมสนุกๆที่รังนิค ได้ทดลองใช้ตัวสำรองให้ครบทุกคน ด้วยบรรยากาศฟีลป๋า แถมยังมีทอนเหลือๆด้วยการได้เห็นนักเตะดาวรุ่งเยาวชนของเราลงกันแบบเต็มๆ
แถมเด็กเราได้เดบิวต์กันอีก "สามคน"
ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักเตะที่มาจากอะคาเดมี่ของเราที่ได้เดบิวต์ในวัย 35 ปีด้วย กับ ทอม ฮีตัน / ซีดาน อิคบาล และ ชาร์ลี ซาเวจ ในลำดับที่ 244, 245 และ 246 ตามลำดับ ของนักเตะเยาวชนตลอดประวัติศาสตร์สโมสรเรา ผู้ซึ่งสามารถกระซวกส์ถุงยางแตก แหกขึ้นมาเล่นในเกมเป็นทางการกับทีมชุดใหญ่ได้สำเร็จ
เกมเสมอยังบอยส์เป็นอะไรที่ดีมากๆ และก็สอดรับกับคุณภาพของตัวสำรอง และเด็กเยาวชนที่ส่งลงไปแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรเลย ไม่ใช่เกมจำเป็นที่จะต้องล้างแค้นอะไรถึงขนาดเอาวันพักผ่อนของนักเตะตัวหลัก มาเสียเวลากับเกมแบบนี้ ซึ่งนี่คือสิ่งที่ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ทำบ่อยๆสมัยป๋ากี้คุมทีม
แต่มันก็ยังมีคนส่วนน้อยมากๆบางจำพวกที่ไม่พอใจอยู่ดี ด่าทีมเสียๆหายๆ
ซึ่งแอดขออนุญาตนอกเรื่องวิเคราะห์ข่าวตรงพารากราฟต่อจากนี้นิดเดียว ถ้าใครไม่อยากอ่าน ข้ามพารากราฟไปยังเส้นคั่นถัดไปได้เลย
-------------------------------------------
สิ่งที่ผมอยากพูดก็คือ ขึ้นชื่อว่าแฟนบอลเกรียนๆ มัน "มีอยู่ทุกทีม" แฟนทีมเราก็ใช่ว่าจะดีเลิศเลอเพอร์เฟ็คต์ครับ ทีมอื่นๆก็เหมือนกัน ต่างกันแค่ว่าทีมไหนคนเชียร์เยอะคนเชียร์น้อย ปริมาณประชากรในลักษณะนั้นก็จะเพิ่มขึ้นแค่นั้นเอง
แฟนบอล "หมาแดง" ของเราก็มีเยอะไม่ต่างจาก "เป็ดแดง" เช่นกัน
1
วันก่อนแอดก็เจอคอมเม้นอะไรประหลาดๆอยู่เม้นนึงในคลิปนู้นนนนน แล้วผมก็ไปตอบอย่างดีด้วยความสุภาพ ในขณะที่แฟนเพจและคนอ่านท่านอื่นๆอารมณ์ขึ้นแทนแอดกันหมดแล้ว(ฮา)
ผมก็ไปอธิบายเขาอย่างดีและสุภาพสุดๆ เลือกที่จะไม่แบนคนทัศนคติแบบเขา เพื่อ "รอ" ให้คุณพี่เขากลับมาตอบผม แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่มา ตอนแรกคิดว่าคงจะเลิกติดตามไปแล้ว
สุดท้าย โพสต์เกมยังบอยส์หน้าเพจ คุณพรี่เค้าก็มาอีกครั้ง ไม่ได้กลับมาตอบเม้นนั้นของแอดด้วย - -'' พร้อมสาดทัศนคติแง่ลบใส่ทีมแบบรัวๆ อย่างที่แฟนเพจที่นี่หลายๆคนที่ผ่านมาเจอเม้นคุณพรี่เค้าถึงกับมึนตึ้บ และเข้าไปreply กันหลายคนเลย (ผมก็เพิ่งเห็นทีหลัง)
แหม่.. บอกจะไม่ติดตาม นู่นนี่นั่น รำคาญคลิปทำอาหารไป คุยเรื่องฟุตบอลของผมไป แต่สุดท้ายก็ยังมาสาดคอมเม้น toxic ให้ผู้คนในสังคมออนไลน์คนอื่นๆเห็นแล้วเป็นมลพิษทางความคิดอีก
ก็ถือเป็นความผิดของแอดเอง ที่ไม่ยอมแบนเค้า แล้วเลือกที่จะรอให้เค้ามาตอบ จนทำให้แฟนเพจท่านอื่นๆต้องมาเจอคอมเม้น toxic แบบโลว์คลาสยิ่งกว่าโนวิซเลเวล1ของพี่แก
แอดต้องขออภัย 4-5 คนตรงนั้นที่ผ่านมาเจอเม้นพี่แก จนทนไม่ไหวต้องไปตอบโต้กับมุมมองแคบๆของเขา
แอดรู้สึกผิดครับที่ไม่แบน และก็นี่แหละ เหตุผลที่ว่า ทำไมผมต้องคอยตามแบนให้อยู่เรื่อยๆ เพื่อให้ได้อ่านที่นี่กันอย่างสบายใจ เพราะเหตุนี้แหละ ผมรู้สึกผิดเลย - -''
ยังไงจะคอยตามจัดการให้เหมือนเดิมตามเหมาะสมนะครับ บางคนเขาก็ไม่เข้าใจ และเขาจะเอาผมไปด่าที่ไหนผมก็ไม่รับรู้ด้วยหรอก
ผู้ที่ทำเพจทุกๆท่าน ทุกๆเจ้า เวลาจะแบนใครเขาต้องมีเหตุผลอยู่แล้ว ไม่ใช่อยู่ดีๆจะแบนเล่นเพื่อ เพราะว่าการที่เพจสักเพจนึงจะแบนใครสักคน มันต้องผ่านการพิจารณาอยู่แล้วครับ ไม่มีใครอยากจะลดยอดผู้ติดตามตัวเองเล่นๆหรอก
อยากบอกแฟนเพจว่า ทุกการกระทำของผม ผ่านการกลั่นกรองมาทั้งหมดแล้วเท่าที่พอจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดี เรื่องเกรียน อะไรก็ตามที
การแสดงออกทั้งในด้านเนื้อหา, การแสดง Passion ระหว่างเกมด้วยคำหยาบเล็กน้อยที่อยากให้ได้เห็นอารมณ์การเชียร์บอลของผม (ที่หวังว่าคนอ่านจะเข้าใจ และไม่มองผมในแง่ลบ เพราะตัวผมเองถือมากกับการใช้คำหยาบในที่สาธารณะ แต่เพื่อสื่อสารฟีลเชียร์บอล มันจำเป็นจริงๆครับ)
การเลือกแสดงความรู้สึกจริงๆข้างในต่อการเป็นอริตลอดกาลของทีมบางทีม แบบที่ผมอาจจะโดนมองในแง่ร้ายได้ อย่างที่แฟนเพจพันธุ์แท้ของผม และอยู่ด้วยกันมานาน จะต้องรู้อยู่แล้วว่าผมเป็นยังไงกับเรื่องนั้น
แต่การแสดงออกทุกอย่างบนเพจ ผมกลั่นกรอง และเลือกแล้ว แถมพ่วงด้วยการช่วยแนะนำเพิ่มเติม และคอยเบรคผมของ "แอดมินเงา" ผู้ที่เป็น "ครึ่งหนึ่งของเพจนี้" อย่างแท้จริง
ที่หลายๆคนไม่รู้ว่า จริงๆแล้ว ศาลาผี มีเขาอยู่เบื้องหลังเยอะมากในแง่ของการตัดสินใจ และการเอาใจใส่กับแฟนเพจที่นี่เป็นอย่างดี
ซึ่งบางทีตัวผม(แอดโป้ง) ไม่ละเอียดเท่าเขา บางทีก็จะจัดการกับอะไรบางอย่างด้วยซ้ำ เช่น เรื่องการมาเนียนลงโฆษณาในบางโพสต์ที่คนไลก์-แชร์เยอะๆ แต่แอดเงาก็เป็นคนบอกไว้ แล้วกล่าวว่า ช่วงเวลาแบบนี้เราปล่อยเถอะ ช่วยๆกัน เป็นต้น
แอดมินเงา หรือ แอดยิ้มที่ตอนนี้ไม่สบายเพราะแพ้MDNเข็มบูสต์อยู่นั้น ดูแลที่นี่ให้เป็น "ศาลาผี" มากกว่าที่พี่ๆน้องๆเพื่อนๆทราบเยอะมากครับ ผมใช้ศัพท์ว่าแอดมินเงานั่นแหละ ถูกแล้ว
และเชื่อว่าคนที่ติดตามก็น่าจะเข้าใจกันอย่างดีครับ เพราะถ้าไม่เข้าใจ คุณคงอ่านมาไม่ถึงบรรทัดนี้แน่นอน ผมถึงได้มีแรงมาเขียนอะไรยาวๆแบบนี้ได้ เพราะผมทำเพจแบบ "ใช้ความสุข" เป็นตัวตั้งไงครับ
-----------------------------------------
1
- จบการนอกเรื่องแต่เพียงเท่านั้น กลับมา เคาะหัวกันต่อ ด้วยข่าวที่รังนิคพูดถึงป็อกบาให้ฟังว่า
"เราได้คุยโทรศัพท์กันเมื่อวันอังคาร เขายังอยู่ที่ดูไบ เขาคิดว่าจะบินกลับมาในวันนี้ แล้วเดี๋ยวเราจะต้องพูดคุยซึ่งกันและกันในวันอาทิตย์ แต่ก็มีคุยโทรศัพท์กันแล้ว เขาบอกว่าเขาเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่ว่ายังไม่ฟิตเต็มที่"
"และจากที่ผมรู้เรื่องมาก่อนนานแล้ว คงจะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์พอควรจนกว่าที่ป็อกบาจะกลับมาซ้อมได้อีกครั้ง แต่ก็จะต้องใช้เวลาอีกพอควร ซึ่งก็จะประมาณอีกสักสองสามสัปดาห์สำหรับเรียกความฟิตอีกต่อหนึ่ง"
"ประการแรกสุดเลย มันสำคัญมากที่เขาจะต้องฟิตให้เต็มที่ก่อนเพื่อที่จะกลับมาซ้อมกับเพื่อนๆในกลุ่มให้ได้ แล้วจากนั้นเราจึงค่อยพัฒนาเขาทั้งในด้านกายภาพและทางเทคนิคการลงเล่น เพื่อให้สามารถใช้งานในเกมพรีเมียร์ลีกให้กับเราได้"
: อัพเดทป็อกบานะครับ ก็อย่างที่ได้อ่านกัน สองคนนี้จะได้คุยกันส่วนตัวมากกว่าเดิมหลังแมตช์เดย์ แล้วเดี๋ยวหลายๆอย่างคงชัดเจน
แต่ที่แน่ๆแอดค่อนข้างเชื่อชัวร์ๆว่าป็อกบาคงอยู่จนจบฤดูกาล แล้วก็จะกลายเป็นฟรีเอเย่นต์อีกครั้ง และหาสโมสรใหม่ที่เหมาะสมและคู่ควรกับฝีเท้าในช่วงพีคของเขา กับการตามล่าความสำเร็จในระดับสโมสร ที่มากกว่าแค่โทรฟี่ทีมชาติ
ป็อกบาควรได้อยู่ในทีมที่ลงตัวกับเขามากกว่านี้ และดูไม่น่าจะเหมาะกับทีมเราที่หน้าฉากการเล่นกำลังจะกลายเป็นบอลวิ่งเพรสซิ่งเต็มตัวในอนาคต ซึ่งมันไม่ใช่สไตล์ของป็อกบา
แต่ผมก็อยากเห็นป็อกบาภายใต้ยุคของรังนิคนะ ไม่ว่าใครจะว่ายังไง ผมอยากเห็นว่า ป็อกบาจะ "response" ต่อบอลเพรสซิ่งของรังนิคได้ขนาดไหน เพราะจากสถิติที่ผ่านมามันออกมาว่า เขาคือหนึ่งในคนที่วิ่งบีบคู่แข่งเยอะที่สุดของทีมซะด้วย
น่าสนใจไหมล่ะ ^^
- ป๋าราล์ฟกล่าวถึงคู่ต่อสู้คืนพรุ่งนี้ว่า
"นอริช ซิตี้ พวกเขาพัฒนาขึ้นมากนับจากการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีม พวกเขาเล่นบอลไดเร็คต์มากขึ้น ทำเกมกันในแนวverticalมากกว่าเดิม ภายใต้การทำทีมของ Daniel Farke ดังนั้นการไปเยือนแคร์โรว โร้ด จะเป็นอะไรที่ท้าทายมากๆ"
"การมีดาวิด เดเคอาอยู่ ถือว่าเรามีผู้รักษาประตูระดับท็อปเป็นมือหนึ่ง ซึ่งในตำแหน่งนี้เรามีโกลดีๆอยู่เพียบ อย่างน้อยๆสาม สี่ หรือไม่ก็ห้าคน เดี๋ยวต้องดูสถานการณ์กันว่าจะเป็นยังไงในช่วงตลาดหน้าหนาวนี้ อาจจะมีพวกเขาสักคนหรือสองคนแหละที่อยากจะย้ายออกไปยืมตัวสโมสรอื่น"
"แต่ในทางกลับกันนั้น เราจะต้องท่องจำขึ้นใจ และไม่ลืมว่า เรามีรายการที่ต้องลงแข่งถึงสามรายการในช่วงหกเดือนข้างหน้า เราจำเป็นต้องทำความรู้จักกับนักเตะในทีมให้มากขึ้นในอาทิตย์นี้"
"ผมได้เห็นนักเตะส่วนใหญ่ทั้งหมดในทีมลงสนามแล้วกับสองเกมที่ผ่านมา และมีเซสชั่นฝึกซ้อมอีก 3-5ครั้งในสัปดาห์นี้ แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะฟันธงว่า ตลาดหน้าหนาวนี้เราจะจัดการอะไรบ้าง"
"เราต้องมั่นใจว่านักเตะดังกล่าวต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่อถึงแม้ว่าจะไม่ได้ลงสนามมากพอสำหรับเขา เพราะงั้นการที่ต้องไปคุยเป็นการส่วนตัวเรียงคน เพื่อที่จะพิจารณาว่าการปล่อยเขายืมตัวออกไปนั้นเหมาะสมกว่า มันก็ถือเป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ว่าต้องทำเช่นกัน"
"แต่ถ้าจะให้พูดถึงเรื่องนั้นตอนนี้เลย ผมว่ามันเร็วเกินไป"
: แอดคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมแล้ว เพราะราล์ฟ รังนิค เป็นคนตรงๆที่ตัดสินใจเด็ดขาด และเปิดเผยแนวทางความคิดเขาอย่างชัดเจน ไม่ต้องมาแทงกั๊ก หรือพูดอย่างทำอีกอย่างเพื่อให้สัมภาษณ์ไปในทิศทางที่ดูดีแต่อย่างใด
อันนี้คือผมชื่นชมรังนิคนะครับ และไม่เจตนาจะแซะโอเล่ด้วย แฟนเพจทุกคนควรรู้อยู่แล้วว่า "ผมรักโอเล่มากขนาดไหน" จากการเขียนวิเคราะห์ตลอดเวลาเกือบสามปีที่ผ่านมาในยุคโอเล่
ท่านผู้อ่านขึ้นไปดูcover pageผมได้เลย แต่เรื่องที่เป็นความจริง เราก็สามารถหยิบมาพูดกันได้ด้วยเหตุผลนะ :)
และทั้งหมดนี้คือ ภาคการวิเคราะห์ข่าว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของราล์ฟ รังนิค ทั้งหมด
แต่ทำไมแอดไม่ขึ้นภาพปกเป็น ราล์ฟ รังนิคล่ะ? เอาภาพอะไรมาประกอบวะแอด? ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อหาโพสต์เลย เดี๋ยวคนก็จะเข้าใจผิด พาลจะไม่อ่านกันอีก
รักกันจริงต้องเข้าใจแอดเซ่!!!
คือภาพนี้แอดชอบมาก และอยากนำมาแถมเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆให้ได้อ่าน และลากันด้วยภาพของ "โปสการ์ดหายาก" ที่เป็นภาพฉลองแชมป์ดิวิชั่น1 ที่ "Manchester United Football Club" (ชื่อเต็มของเราจริงๆจนถึงทุกวันนี้) ได้คว้าแชมป์ลีกในฤดูกาล "1910/11"
หรือประมาณ 110 ปีที่แล้ว
นานพอที่ "ดีโอ บรันโด" บรรพบุรุษรุ่นปู่ทวดของ "ดิโอโก้ ดาโลต์" จะลุกออกมาจากโลงพอดี หลังจากที่นอนมาข้ามศตวรรษ
ในฤดูกาลนั้น ยูไนเต็ดเตะครบ 38 นัด จบด้วยอันดับที่ 1 ของตารางมี 52 คะแนน เบียดรองแชมป์อย่าง "Aston Villa" แค่คะแนนเดียวที่ 51 แต้ม และตามมาด้วย Sunderland ในอันดับสาม
ปีนั้นผู้จัดการทีมของเราคือ Ernest Mangnall บรมกุนซือคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่เคยคุมทั้ง แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ "แมนเชสเตอร์ซิตี้" ด้วย ซึ่งเขาย้ายไปคุมซิตี้ภายหลัง ในปี 1912 ออกจากแมนยูแล้วไปคุมซิตี้เลย ใจหินสุดๆ!
 
(สมมติเล่นๆว่า ในอนาคตข้างหน้า มันชินี่ หรือ เป๊ป ทะลึ่งมาคุมแมนยู เขาก็จะเป็น ผจก คนที่สองในประวัติศาสตร์เท่านั้นที่เคยคุมทั้งสองทีมแห่งเมืองแมน)
Ernest Mangnall
โดยมีนักเตะดาวซัลโวของทีมเราคือ Enoch West ที่กดไป 20 ประตู สำหรับยุคนั้นก็ถือว่าเยอะแล้ว
คู่กัดของเราคือวิลล่าจริงๆ ถึงขนาดว่า ทำสถิติผู้ชมในสนามเหย้าสูงสุดอยู่ที่ 65,101 คน ทั้งๆที่คนดูเฉลี่ยแต่ละนัดตามปกติ ตกราวๆแค่ 29,055
(ก็ตามปกติของทีมธรรมดาๆ เวลาที่เป็นแมตช์ไม่สำคัญ คนก็จะไม่เต็มสนาม แต่พอจะเตะกับทีมใหญ่อย่างพวก เมืองทอง บุรีรัมย์ทีไร แฟนบอลชลบุรีFCแบบผมก็ไม่เคยได้เข้าไปสนามสักทีในยุคที่รุ่งๆ)
ส่วนทีมเก่าแก่อย่าง Newcastle จบอันดับ 8 / Blackburn อันดับ 12 / Liverpool อยู่อันดับ 13 / Manchester City 17 / และเจ้าป่า Nottingham Forest ตกชั้นในอันดับที่ 20 (ยุคนั้นตกชั้นสองทีม)
ส่วน Chelsea ได้แค่อันดับ3 ของ "ดิวิชั่น2" อดเลื่อนชั้นขึ้นมาในฤดูกาลถัดไป เช่นเดียวกันกับลีดส์ของแอด ก็อยู่แค่อันดับ 11 ของดิวิชั่น 2 เช่นกัน
แสดงให้เห็นว่า ทีมเหล่านี้รวมถึงเราด้วย เป็นทีมฟุตบอลระดับ "คลาสสิค" มากๆของโลกจริงๆ และเราตั้งอยู่มายาวนานเกินกว่าช่วงอายุสั้นๆของเราในยุคนี้มากๆ
และก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการส่งต่อประวัติศาสตร์นี้ ไปในอนาคตข้างหน้าต่อไปเช่นกัน ในยามที่เราไม่ได้รับรู้อะไรแล้ว หรือแม้กระทั่งเกิดมาใหม่ชาติหน้า
ผมอาจจะกลายไปเป็นแฟนบอลทีมแบรดฟอร์ดก็ได้
แต่แฟนบอลแบรดฟอร์ดคนนั้น (ซึ่งเป็นผมกลับชาติมาเกิด) ไม่ว่ายังไงก็ตาม จะต้องได้ยินชื่อเสียงและความยิ่งใหญ่ของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในยุคที่พวกเรามีชีวิตอยู่ในตอนนี้อย่างแน่นอนครับ ^^ <3
ในภาพนี้ี่ เป็น "แชมป์ลีกครั้งที่2" ของสโมสรเรา ที่บันทึกภาพเอาไว้ จากหนังสือที่ชื่อว่า "Manchester United – Postcards From The Past” " (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด - ไปรษณียบัตรจากอดีต)
หนังสือที่เล่าเรื่องและมีภาพประกอบของสโมสรเราตั้งแต่ช่วงตั้งไข่สมัยยังใช้สีเหลืองทอง-เขียว ยุค Newton Heath จนถึงช่วงคว้าแชมป์ยุโรปในปี 1968 ยุคTrinity หน้าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดนั่นแหละ
ในเล่มก็จะมีภาพโปสการ์ดที่เก่าและหายากแสดงในหนังสือนี้ โดย James A Thomas ซึ่งเป็นคอลเลคเตอร์ เป็นช่างภาพ และเป็นนักสะสม ใครสนใจไปหาสั่งซื้อกันเอาได้ในเน็ต เสิร์ชกันเองถ้าใครสนใจ
มันเป็นภาพระดับตำนานที่เชื่อว่า หลายๆคนรวมถึงผมด้วยยังไม่เคยเห็นกันแน่นอน ฝากให้ได้ดูกันทิ้งท้ายไว้ในโพสต์นี้ครับ
รากฐาน และ ประวัติศาสตร์ สมควรที่จะถูกพัฒนาไปพร้อมๆด้วยกันกับความเปลี่ยนแปลงจากสิ่งใหม่ๆที่เข้ามาตามยุคสมัย
ผมถึงได้บอกว่า ราล์ฟ รังนิคจะไม่ทำแค่เกเก้นเพรสซิ่งเพื่อเป็นฟุตบอลสายร็อคธรรมดาๆหรอก
แต่มันจะเป็นฟุตบอลเมทัลที่หลอมรวมกับ DNA ปีศาจแดง ที่ไม่เคยยอมแพ้จนกว่าจะวินาทีสุดท้าย แม้จะล้มลงไปกี่ครั้งก็ตาม เราจะสู้สุดกำลังจนวินาทีสุดท้ายที่ความตายมาถึง
ผมถึงได้เรียกมันว่า "Death Metal" ฟุตบอลเดธเมทัล ที่หนักหน่วงกว่า Heavy Metal และเป็นบอลที่จะวิ่งสู้ฟัดจนกว่าจะตายกันไปข้างนึงไง!!
สงสัยต้องฝากให้ไอ้ หัตถาครองพิภพ รีวิววงร็อคตระกูล Death Metal
ให้แฟนเพจ ศาลาผี สักวงแล้วละมั้ง ^^
#BELIEVE
-ศาลาผี-
โฆษณา