12 ธ.ค. 2021 เวลา 02:36 • หนังสือ
Le Petit Prince || Done 2nd Time
Antoine de Saint-Exupery
Publish || 1945
หนังสือคลาสสิคตลอดกาลอีกหนึ่งเล่ม ที่ตอนอ่านครั้งแรกก็...เหมือนยังเข้าไม่ถึง แต่พอดีมีเพื่อนพูดถึงก็เลยลองสั่งมาอ่านดูอีกซักรอบ คราวนี้ด้วยเวลาที่ผ่านมาน่าจะ 10 ปีได้ ก็ทำให้เห็นอะไรต่างออกไปนิดหน่อย ผนวกกับบทส่งท้ายที่เขียนโดย รศ. ดร. วัลยา มีเนื้อหาของการวิเคราะห์เนื้อเรื่องในมุมของอาจารย์อยู่เล็กน้อย แต่ก็ทำให้เราฉุกคิดอะไรบางอย่าง และมุมมองที่เรามองเส้นเรื่องของเจ้าชายน้อยก็เปลี่ยนไป
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้รู้สึกชอบแบบ ช้อบชอบ อะไรแบบนั้นนะ รู้สึกค่อนไปทางเฉยๆ [ ซึ่งมีคนในวงโคจรรอบตัวเราชอบเล่มนี้เยอะเลยนะ ถ้าผ่านมาอ่านย่อนี้พอดีอยากจะรบกวนให้แลกเปลี่ยนกันทีว่าชอบเพราะอะไรตรงไหนกันบ้าง เผื่อจะเปิดมุมมองใหม่ๆในหัวเราออกไปให้กว้างขึ้นอีก ]
.
.
.
🌟ในส่วนของเนื้อหา ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์แปลกประหลาดของนักบินคนหนึ่ง ซึ่งก็คือตัวเขาเอง ซึ่งประสบกับคราวเคราะห์ถึงฆาตเมื่อเครื่องบินของเค้าประสบปัญหาและตกลงกลางทะเลทรายที่ไร้ผู้คน เค้าต้องซ่อมเครื่องบินให้กลับมาบินได้อีกครั้งภายในเวลา 8 วัน เพราะเค้ามีน้ำดื่มเหลือพอประทังชีวิตถึงแค่เวลานั้น และในช่วงเวลานั้นเองที่เค้าได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มาจากดาวดวงอื่น ในรูปลักษณ์ของเจ้าชายซึ่งยังเป็นเด็กน้อยอยู่ ในช่วงแรกนักบินออกจะรำคานนิสัยช่างซักถามและตรรกะประหลาดๆของผู้มาเยือนตัวเล็กอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เค้าก็ได้ฟังเรื่องราวการผจญภัยของเจ้าชายน้อยที่จากบ้านเกิดอันแสนไกลมาตกลงที่ดาวโลกแห่งนี้
ตลอดการเล่าเรื่อง เราจะได้เห็นว่าเจ้าชายน้อยแสดงออกถึงคุณลักษณะสำคัญของความบริสุทธิ์ทางความคิด ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนล้วนครอบครองในวัยเด็ก แต่ค่อยๆเลือนหายไปเมื่อเติบโตขึ้นและถูกหล่อหลอมโดยสังคม สภาพแวดล้อม และค่านิยมต่างๆ จินตนาการถูกทดแทนด้วยตรรกะ และอารมณ์ความรู้สึกก็ถูกแทนที่ด้วยเหตุผลไปจนหมดสิ้น ซึ่งนั่นก็คือใจความหลักๆที่เราเข้าใจว่าหนังสือต้องการจะสื่อ
🌤 แต่หลังจากอ่านบทส่งท้ายจบ ความคิดที่ไม่เคยมีมาก่อนก็สว่างวาบขึ้นมาในหัว หรือจริงๆแล้วเจ้าชายน้อยคือจินตนาการที่นักบินสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ชีวิตเข้าใกล้ความตายแบบสุดๆ น้ำและอาหารก็กำลังจะหมด ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดรายรอบ อยู่กับตัวเองอย่างแท้จริง และที่นั่น เค้าก็สร้างเด็กคนหนึ่งขึ้นมา เด็กที่เป็นเหมือนตัวแทนของตัวเค้าเองเมื่อครั้งยังเยาว์วัย เรื่องราวการผจญภัยของเจ้าชายน้อยก็คือการระลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา ว่าการเป็นผู้ใหญ่นั้นช่างน่าเศร้า การเป็นผู้ใหญ่คือการทำแต่เรื่องที่ไม่มีคุณค่าอันแท้จริงแต่ต้องหลอกตัวเองว่าเรากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องตามหลักเหตุผลอยู่ การเติบโตขึ้นคือการละทิ้งจิตวิญญาณแห่งการผจญภัย ละทิ้งความคิดสร้างสรรค์ และกลายไปเป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำเนินชีวิตตามแบบแผนที่สังคมกำหนดไว้แม้ว่าจะดูโง่งมเพียงไหนก็ตาม
และในวันที่ 9... เครื่องบินก็ดันซ่อมเสร็จราวกับปาฏิหาริย์ ในคืนวันนั้น เจ้าชายน้อยก็โบกมือลานักบิน กลับสู่ดวงดาวบ้านเกิดของตน กลับไปหาต้นกุหลาบแสนรักที่ตนจากมา เค้าบอกนักบินว่าอย่าเศร้าเสียใจ เค้ากลายไปเป็นดวงดาวบนฟากฟ้า เพียงแหงนหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนคุณก็จะได้ยินเสียงหัวเราะของเค้า - นักบินรอดตาย กลับไปใช้ชีวิตปกติอย่างที่เคย และไม่ได้เล่าเรื่องเจ้าชายน้อยให้ใครฟังอีกเลยจนกระทั้งตัดสินใจเขียนหนังสือเล่มนี้
👑 พอถึงตรงนี้ก็เหมือนกับว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าชายน้อยตายจากไปหรือเจ้าชายน้อยได้กลับไปสู่มาตุภูมิจริงๆ แต่เมื่อนักบินต้องกลับไปอยู่ในสังคมผู้ใหญ่ กลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่สังคมขีดฆ่าไว้ ตัวตนในวัยเด็กของเค้าก็ต้องสลายไป เค้าไม่อาจปล่อยให้ชีวิตในจินตนาการนั้นโลดแล่นต่อไปได้อีก ทำได้แค่เพียงแหงนหน้ามองดวงดาวเพื่อปลอบใจตัวเองเป็นครั้งคราวเท่านั้น
.
.
.
พอตีความแบบนี้แล้วก็คล้ายๆกับ Life of Pi ที่เราร้องกรี๊ดออกมาตอน Final Twist เราชอบหนังเรื่องนั้นมากๆเหมือนกัน แต่เรื่องนั้นจะหนักและดำดิ่ง ช่องทางในการจินตนาการถึงแม้จะแคบ แต่ก็ลึกล้ำ ในขณะที่เจ้าชายน้อยจะเปิดกว้างให้กับการจินตนาการมากกว่า แต่ก็มีความรู้สึกว่าเบาบางกว่า
.
.
.
สุดท้าย ใครที่ชอบเล่มนี้อย่าลืมแวะมาแปะความเห็นกันหน่อยนะค้าว่าชอบตรงไหนกันบ้าง
โฆษณา