-เปิดอัลบั้มด้วยไตเติ้ลแทร็ค Valentine ที่พอตอบโจทย์ความคิดความอ่าน รสชาติแห่ง broken heart song ได้เป็นอย่างดี slow jam synth สุดเอื้อนเอ่ยและซัดเข้าอย่างจังด้วยการโหมกระหน่ำของ power pop พร้อมกับประโยคเชิงยื้อ Why’d you wanna erase me, darling valentine? สะท้านจิตสะท้านใจซะเหลือเกิน บ่งบอกมวลรวมของความรักอันพลุ่งพล่านไปพร้อมๆกับความคร่ำครวญด้วยใจที่แหลกสลาย พร้อมตอกย้ำด้วยประโยคสุดท้าย I Adore You สุดเว้าวอนที่ไม่ยอมแพ้ได้โดยง่าย จริงๆแล้วเพลงนี้จะใช้ชื่อ Adore You ซะด้วยซ้ำ แต่ก็ลงเอยด้วยชื่อปัจจุบันที่อ้างอิงถึงประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมของนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ที่จัดพิธีให้กับคู่รักหลายคู่แล้วโดนตัดสินประหารอย่างโหดเหี้ยมเนื่องจากแหกกฏพระราชโองการ ไม่ทันได้ออกมาใช้ชีวิตรักได้เป็นสุขสมหวัง จนเป็นที่มาของวันแห่งความรักในปัจจุบัน
-ตัดสลับโหมดอคลูสติค Light Blue ที่ละลอยละล่องด้วยความอาลัยอาวรณ์ถึงสาวคนเก่าที่เธอเคยเดตเมื่อตอนอายุ 19 มารื้อฟื้นใหม่ให้สอดรับกับอัลบั้มนี้มากขึ้น โดดเด่นด้วยเชลโล่ที่เพิ่มความโศก Forever (Sailing) ใช้ประโยชน์จากแซมเปิ้ลเพลง You And I ของ Madleen Kane ที่เธอติดใจเมื่อได้ยินเพลงนี้ในร้านกาแฟแห่งนึง เอามา rearrange ใหม่ด้วยจังหวะดุ่มๆ เล่นคำเล่นกลอนได้ไหลลื่น พรรณนารูปแบบความสัมพันธ์ที่เคว้งคว้างพายเรือไปเรื่อยไม่มีจุดสิ้นสุด ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือรอยรั่วที่มีมากมายจนทำให้ไม่ไปถึงฝั่งได้
-Madonna เป็นมุมมองความรักสุดงมงายเชิดชูคนรักดุจแม่พระ บูชาความสูงส่งยอมมองข้ามข้อเสียไปอย่างง่ายดาย ขับเคลื่อนด้วยร็อคที่ดิบขึ้นมาพร้อมกับสำเนียงการร้องที่โคตรจะกรันจ์มากๆ โดยเฉพาะท่อน Pre-Hook นี่ล้อสำเนียง Come As You Are มากๆ c. et al. เพลงอคลูสติคที่ให้มู้ด morning vibe สุดชิวล์และเป็นกันเองที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ ก่อนที่จะมาพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกเดือดๆในเพลง Glory ที่ยังคงกรันจ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์รักที่ร้อนแรงกว่า Madonna แต่เป็นกึ่งรักกึ่งโกรธที่ว่า เห้ยทำไมชั้นยังคงยึดติดอยู่กับเธอด้วย ในใจแม่งก็โกรธแต่อีกใจก็ไม่ยอมแพ้กับเธอได้โดยง่าย จะให้ทำไงได้?
-สังเกตได้ว่าลินซี่ย์ได้อิทธิพลมาจาก Kurt Cobain มากพอสมควร อาทิเช่น Headlock ก็มีการโยงถึง Nirvana เช่นท่อน Drag me with you to Nirvana, baby / Take me all the way หรือเพลง Madonna ที่ผมแอบแซวข้างต้น หรือเพลงนี้ก็เช่นกัน การตอกย้ำด้วยประโยค You Owe Me ในท่อนฮุก เธอก็ใส่อารมณ์ดิบๆที่ได้มาจาก Something In The Way เช่นกัน
-มาถึงแทร็ครองสุดท้ายที่มาอย่างประนีประนอมอย่าง Automate ที่ดูเหมือนจะฉุกคิดได้บางอย่างเกี่ยวกับความรักที่ดีต้องเป็นอะไรที่ไร้เงื่อนไข ตื่นรู้มากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่สามารถดับไฟปรารถนาที่ยังคงคุกกรุ่นไม่ได้อยู่ดี และแล้วสุดท้ายก็ต้องปล่อยเธอไป จำเป็นต้องปล่อยวางในเพลง Mia บัลลาดเอื้อนเอ่ยที่ให้อารมณ์เศร้าของการพยายามยื้อ ต่อรองจนวินาทีสุดท้ายและให้อารมณ์คลี่คลายในเวลาต่อมา ถือเป็นบทสรุปรักจมปลักที่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงในแบบ nothing last forever ในที่สุด