12 ธ.ค. 2021 เวลา 14:21 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Valentine - Snail Mail
รักจมปลัก
[รีวิวอัลบั้ม] Valentine - Snail Mail
-พอสิ้นปีทีไรผมมักจะคิดหนักอยู่เสมอว่า เราควรเลือกอัลบั้มของปีนี้อัลบั้มไหนมาพูดถึงก่อนสิ้นปีดี ในฐานะ content creator ผู้ไม่ได้มีเวลากับงานอดิเรกนี้เต็มตัว จำเป็นต้องเลือกเพราะเราคงไม่สามารถพูดถึงอัลบั้มที่อยากจะพูดถึงหมดได้ คงมีแต่พูดถึงอัลบั้มเหล่านั้นใน year-end list ในแบบที่ประปรายไม่ได้เจาะลึกอะไรมากนะครับ ถ้าหากคุณอ่านรีวิวอัลบั้มนี้หรือ year-end list ไหนๆไม่มีความละเอียดแบบแต่ก่อนก็อย่าว่ากันนะครับ โอเคเลิกบ่นล่ะมาถึงอัลบั้มที่ผมอยากจะพูดถึงแบบเต็มๆดีกว่า ประหนึ่งมีความอยากนำเสนอ จริงๆเป็นอัลบั้มที่ผมเขียนถึงได้ง่ายและน่าจะสอดรับกับรสนิยมของลูกเพจที่หลากหลายของเราได้มากสุดซึ่งก็คืออัลบั้มชุดที่สองของสาวห้าว Lindsey Jordan (a.k.a Snail Mail) ที่ใช้ชื่อว่า Valentine
-ทำไมต้องครอบด้วยคำว่า Valentine แน่นอนว่าลินด์ซี่ย์มีอุปนิสัยความคลั่งรักด้วยส่วนนึง ซึ่งเธอก็ออกมายอมรับผ่านสื่อโดยตรงในแบบที่ไม่เขินอาย อัลบั้มนี้ให้ภาพของคนคลั่งรักของจริงแหละ เป็นความคลั่งรักที่เข้าใจง่าย มีต้นทางและปลายทางที่พอตาดเดาได้ว่าเริ่มต้นและจบในรูปแบบไหน ที่แน่ๆความ development ในตัวของลินซี่ย์เป็นไปอย่างมั่นคงชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ หลายๆคนแปลกใจกับเสียงร้องที่เปลี่ยนไปจาก Lush อัลบั้มแรกของเธอราวกับว่าร้องโดยคนละคน ซึ่งผมก็เป็น ผมยังแปลกใจตอนไปฟังชุดแรกย้อนกลับเลยว่า Snail Mail ในทีนี้เป็นวงสามชิ้นที่สับเปลี่ยนนักร้องเพื่อให้มาเล่าเรื่องที่ผ่านไปตามช่วงเวลารึเปล่า แต่เปล่าเลยคนที่ร้องเพลงด้วยน้ำเสียงโหวกเหวกโวยวายเมื่อสามปีก่อนก็คือลินซี่ย์คนเดิมเนี่ยแหละจ้า
-ตลกอยู่ fact นึงมากๆตรงที่ลินซี่ย์ให้สัมภาษณ์ว่าหลังจากทำอัลบั้ม Valentine เธอไปเรียนร้องเพลงเพิ่มเติม ฟังดูผิดวิสัยในแง่ของการที่ต้อง well prepared ก่อนที่จะเริ่มทำหรือระหว่างทำอัลบั้มไม่ใช่เหรอ เสียงร้องที่เราได้ยินตลอด 30 กว่านาที ถึงจะไม่ยึดติดความตายตัวในแง่ทฤษฏีการร้องเพลงมากมาย แต่ก็ตกผลึกถึงเส้นเสียงที่พังจากการออกทัวร์อัลบั้ม Lush เนี่ยแหละ เนื้อเสียงของอัลบั้มนี้จึงมาแบบทุ้มๆเชิงถนอมเสียงเอามากๆ ผิดกับงานชุดแรก Lush ที่ให้ภาพสาวน้อยแหกปากสุดเสียงอยู่ในห้องอันว่างเปล่าที่ไม่ได้มีลิมิตหรือจุดยับยั้งชั่งใจ เรียกได้ว่าทึกทักความถูกต้องในการใช้เสียงด้วยตัวเองเฉยเลย สุดท้ายเสียงของเธอดันพังไปตามระเบียบ แล้วก็ส่งผลกระทบต่อการเลื่อนออกทัวร์ล่าสุดนี้ด้วย
-อย่างไรก็ตามจุดร่วมจากอัลบั้มก่อนมาจนถึงอัลบั้มนี้สิ่งที่ไม่เคยดรอปเลยคือซาวน์ดดนตรีอินดี้ร็อคที่มีเทสต์ที่ดียิ่งขึ้น ความไม่ธรรมดาของเธออยู่ตรงนี้แหละ ต่อให้คาแรคเตอร์จะไม่ชัดเท่ากับศิลปินคนอื่นๆ แต่ภาคดนตรีมันต้องดีก่อนเป็นอันดับแรกอันนี้แม่งสำคัญ ต่อให้เนื้อเพลงดี ภาคดนตรีไม่ดีนี่มีกร่อยเหมือนกัน ภาคดนตรีในงานชุดสองเสริมความเข้มข้น หนักแน่นขึ้นเป็นกอง ส่วนเนื้อเพลงก็มีวลีที่สละสลวย การเน้นคำที่เข้าใจเน้นเพื่อให้สาสน์เพลงดังกล่าวมันต้องไปอยู่ในหัวเราประโยคใดซักประโยคนึงนั่นแหละ
-เปิดอัลบั้มด้วยไตเติ้ลแทร็ค Valentine ที่พอตอบโจทย์ความคิดความอ่าน รสชาติแห่ง broken heart song ได้เป็นอย่างดี slow jam synth สุดเอื้อนเอ่ยและซัดเข้าอย่างจังด้วยการโหมกระหน่ำของ power pop พร้อมกับประโยคเชิงยื้อ Why’d you wanna erase me, darling valentine? สะท้านจิตสะท้านใจซะเหลือเกิน บ่งบอกมวลรวมของความรักอันพลุ่งพล่านไปพร้อมๆกับความคร่ำครวญด้วยใจที่แหลกสลาย พร้อมตอกย้ำด้วยประโยคสุดท้าย I Adore You สุดเว้าวอนที่ไม่ยอมแพ้ได้โดยง่าย จริงๆแล้วเพลงนี้จะใช้ชื่อ Adore You ซะด้วยซ้ำ แต่ก็ลงเอยด้วยชื่อปัจจุบันที่อ้างอิงถึงประวัติศาสตร์โศกนาฏกรรมของนักบุญเซนต์วาเลนไทน์ที่จัดพิธีให้กับคู่รักหลายคู่แล้วโดนตัดสินประหารอย่างโหดเหี้ยมเนื่องจากแหกกฏพระราชโองการ ไม่ทันได้ออกมาใช้ชีวิตรักได้เป็นสุขสมหวัง จนเป็นที่มาของวันแห่งความรักในปัจจุบัน
-Ben Franklin คือการบรรยายความรู้สึกที่ได้กลับไปซ่อมแซมจิตใจตัวเอง (กลับไปเข้าไปบำบัดที่ Arizona) แล้วกลับรู้สึกสับสนที่ไม่กล้าระบายออกมาให้ใครฟัง นานๆทีเราจะเห็นศิลปินที่แต่งเพลงของคนที่ประสบภาวะเหล่านี้ โดยลินซี่ย์ก็เผยว่าเธอเคยไม่มั่นใจในเรื่องเหล่านี้ แต่พอได้ละทิ้งความอาย เธอก็สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้ อีกทั้งเธอยังเผยอีกว่าเพลงนี้คือจุดเริ่มต้นของการออกคอมฟอร์ตโซนด้วยตัวเธอเองด้วย เราจะเห็นอินโทรสุดจ๊าบ การเดินไลน์เบสที่โคตรเท่ห์ แล้วเป็นเพลงที่ผมชอบมากสุดในอัลบั้มด้วย ต่อด้วย Headlock ที่ยังคงคร่ำครวญในมโนสำนึกของการเสียสูญในตัวเองเมื่อสูญเสียคนรัก เป็นเมโลดราม่าที่มีท่วงทำนองเปียโนที่เสนาะหูมากที่สุดเพลงนึงเลย
-ตัดสลับโหมดอคลูสติค Light Blue ที่ละลอยละล่องด้วยความอาลัยอาวรณ์ถึงสาวคนเก่าที่เธอเคยเดตเมื่อตอนอายุ 19 มารื้อฟื้นใหม่ให้สอดรับกับอัลบั้มนี้มากขึ้น โดดเด่นด้วยเชลโล่ที่เพิ่มความโศก Forever (Sailing) ใช้ประโยชน์จากแซมเปิ้ลเพลง You And I ของ Madleen Kane ที่เธอติดใจเมื่อได้ยินเพลงนี้ในร้านกาแฟแห่งนึง เอามา rearrange ใหม่ด้วยจังหวะดุ่มๆ เล่นคำเล่นกลอนได้ไหลลื่น พรรณนารูปแบบความสัมพันธ์ที่เคว้งคว้างพายเรือไปเรื่อยไม่มีจุดสิ้นสุด ซ้ำร้ายไปกว่านั้นคือรอยรั่วที่มีมากมายจนทำให้ไม่ไปถึงฝั่งได้
-Madonna เป็นมุมมองความรักสุดงมงายเชิดชูคนรักดุจแม่พระ บูชาความสูงส่งยอมมองข้ามข้อเสียไปอย่างง่ายดาย ขับเคลื่อนด้วยร็อคที่ดิบขึ้นมาพร้อมกับสำเนียงการร้องที่โคตรจะกรันจ์มากๆ โดยเฉพาะท่อน Pre-Hook นี่ล้อสำเนียง Come As You Are มากๆ c. et al. เพลงอคลูสติคที่ให้มู้ด morning vibe สุดชิวล์และเป็นกันเองที่สุดในอัลบั้มชุดนี้ ก่อนที่จะมาพลุ่งพล่านด้วยความรู้สึกเดือดๆในเพลง Glory ที่ยังคงกรันจ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยอารมณ์รักที่ร้อนแรงกว่า Madonna แต่เป็นกึ่งรักกึ่งโกรธที่ว่า เห้ยทำไมชั้นยังคงยึดติดอยู่กับเธอด้วย ในใจแม่งก็โกรธแต่อีกใจก็ไม่ยอมแพ้กับเธอได้โดยง่าย จะให้ทำไงได้?
-สังเกตได้ว่าลินซี่ย์ได้อิทธิพลมาจาก Kurt Cobain มากพอสมควร อาทิเช่น Headlock ก็มีการโยงถึง Nirvana เช่นท่อน Drag me with you to Nirvana, baby / Take me all the way หรือเพลง Madonna ที่ผมแอบแซวข้างต้น หรือเพลงนี้ก็เช่นกัน การตอกย้ำด้วยประโยค You Owe Me ในท่อนฮุก เธอก็ใส่อารมณ์ดิบๆที่ได้มาจาก Something In The Way เช่นกัน
-มาถึงแทร็ครองสุดท้ายที่มาอย่างประนีประนอมอย่าง Automate ที่ดูเหมือนจะฉุกคิดได้บางอย่างเกี่ยวกับความรักที่ดีต้องเป็นอะไรที่ไร้เงื่อนไข ตื่นรู้มากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่สามารถดับไฟปรารถนาที่ยังคงคุกกรุ่นไม่ได้อยู่ดี และแล้วสุดท้ายก็ต้องปล่อยเธอไป จำเป็นต้องปล่อยวางในเพลง Mia บัลลาดเอื้อนเอ่ยที่ให้อารมณ์เศร้าของการพยายามยื้อ ต่อรองจนวินาทีสุดท้ายและให้อารมณ์คลี่คลายในเวลาต่อมา ถือเป็นบทสรุปรักจมปลักที่สุดท้ายก็ต้องยอมรับความจริงในแบบ nothing last forever ในที่สุด
-หนึ่งอัลบั้มอินดี้ร็อคส่งท้ายปีที่น่าจะทำให้คนฟังเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องไต่บันไดฟังจนเกินไป ทวีความหนักแน่นทางดนตรีและภาษาที่สมวัยยี่สิบต้นๆ จัดจ้านด้วยสไตล์ แต่เมื่อเทียบกับ Lush อัลบั้มก่อนที่ผมบอกว่านี่มันคนละคนกผมคงจะเป็นจุดด้อยที่อาจทำให้คาแรคเตอร์ของเธอยังไม่ชี้ชัดมากนัก เดาทางไม่ออกเช่นกันว่าน้องจะมาด้วยคาแรคเตอร์ไหนในผลงานชุดต่อไป ด้วยเหตุผลด้านสุนทรีย์ทางดนตรีและภาษาที่เจ้าตัวให้ความใส่ใจมันเต็มที่กว่า 3 ปี น่าจะทำให้เราเพลิดเพลินกับผลงานเพลงชุดนี้ได้อย่างสะดวกโยธินโดยที่ไม่ต้องมีข้อครหาในความประเมินค่าสูงเกินไป น่าจับตามองอยู่ไม่น้อยในตัวสาวห้าวเจ้าเสน่ห์ที่กำลังปูทางตัวเองให้ไม่หวือหวาจนต้องเรียกแสงสปอตไลท์แต่อย่างใด
ไม่จำเป็นต้องแมส แค่มั่นคงก็เป็นพอ
Top Tracks: Valentine, Ben Franklin, Headlock, Forever (Sailing), Madonna, Glory, Mia
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา