13 ธ.ค. 2021 เวลา 11:11 • อาหาร
“แก้มปลาทูทอด: จากยุคปลาทูอาหารหมาถึงยุคที่แม้แต่หัวปลาทูหมายังทำได้แค่ชำเลืองมองห่างๆ”
ผมเป็นคนเมืองชายทะเลก็จริงแต่หมู่บ้านอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน แม้จะเป็นพื้นที่น้ำทะเลท่วมถึงปีละหลายเดือน ต้องเจอทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม แต่โดยรวมพวกเรายังนิยามตัวเองว่ามีพื้นฐานครอบครัวเป็นชาวสวน ที่ชอบน้ำจืดซึ่งจำเป็นต่อการทำสวน ไม่ชอบน้ำเค็ม สัตว์น้ำอาหารชั้นดีเป็นที่นิยมคือปลาน้ำจืด พวกปลาหมอ ปลากระดี่ และปลาช่อน พวกปลาทะเลอย่างปลาทูนั้นถือว่าไม่มีรสชาติ จะลดตัวลงไปกินก็ต่อเมื่อหาปลาน้ำจืดไม่ได้จริงๆ
ปลาทูทอดแบบคนเมืองขายละเลสมัยก่อนหลังควักไส้ออกต้องเฉือนแก้มทิ้ง บั้งตัวปลาเป็นริ้วเฉียงๆ ทากระเทียมพริกไทยดับคาว และเพื่อให้ทอดสุกง่ายไม่ต้องใช้น้ำมันเยอะ
สมัยผมยังเด็ก พ่อมีนโยบายให้พี่สาวพี่ชายทุกคนทำงานในสวนเป็นหลักแบบ Full Time ไม่สนับสนุนให้เอาเวลาไปหาปูหาปลากินสักเท่าไหร่ พ่อถือว่าทำสวนหาเงินให้ได้เป็นกอบเป็นกำแล้วค่อยเอาเงินนั้นไปซื้อเอา เพราะเงินนั้นคือพระเจ้าจะซื้อหาอะไรก็ได้หมด (แต่พี่ๆ ก็มักแอบไปรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ หาปูหาปลากันซึ่งเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง)
ค่านิยมของคนแถบหมู่บ้านผมสมัยก่อนอย่างที่บอกว่านิยมกินกุ้งหอยปูปลาน้ำจืดมากกว่าสัตว์ทะเล และกุ้งหอยปูปลาน้ำจืดก็มีอยู่มากตามหนอง บึง ร่องสวน และคลองหน้าบ้าน แค่มีเบ็ด สวิง ตะครัด แห หรืออวนก็หากินได้ทั้งปี บางครอบครัวถึงกับจับขายเป็นอาชีพ
เท่ากับว่า ชาวสวนสามารถหากุ้งหอยปูปลาน้ำจืดที่เราเชื่อว่ารสดีคู่ควรกับเราผู้มีรสนิยมวิไลกินเองได้ แม้แต่เด็กอายุเก้าขวบสิบขวบอย่างผม จึงออกจะเป็นเรื่องปกติ หรือหน้าที่กลายๆ ว่าทุกครอบครัวต้องหากุ้งหอยปูปลากินเอง ดังนั้น ถ้าไม่ขี้เกียจเสียอย่างก็ไม่มีวันอดตาย โดยไม่ต้องซื้อปลาทะเลซึ่งรสชาติจืดชืดในตลาดมากิน
แต่นโยบายของพ่อทำให้พ่อมักเลือกที่จะซื้อปลาทะเลมากินมากกว่า โดยเฉพาะปลาทูราคาถูกๆเพราะคนบ้านเมืองเราไม่นิยม ปัญหาที่จะตามมาจากการจะซื้อปลาทูในตลาดมหาชัยแล้วหิ้วกลับบ้านผ่านสายตาคนทั้งหมู่บ้านจึงเป็นเรื่องน่าอับอาย เพราะมันหมายถึง ความขี้เกียจ การไม่มีฝีมือหากุ้งหอยปูปลาน้ำจืดดีๆ อร่อยๆ มากิน
เมื่อเดินผ่านเพื่อนบ้านที่แม้เพื่อนบ้านแค่ถามว่า “ไปไหนมา” ยังไม่ทันซักถามว่าไปซื้ออะไร เราก็ต้องแก้ตัวออกไปก่อนล่วงหน้าว่า “ไปทำธุระที่อำเภอมา” พร้อมยกถุงปลาทูให้ดูแล้วบอก “ซื้อไปต้มให้หมากินหน่อย” แม้ว่าส่วนใหญ่เป็นอาหารของพวกเราทั้งครอบครัว หมาได้กินแต่หัวและกระดูกกลางเท่านั้นแหละ
จากยุคที่เรากินปลาทูสด ไม่ย่างก็ทอด ต้มมะดันต้มเค็ม ต้มหวาน แกงส้มหน่อไม้ ขยันหน่อยก็ใส่เกลือทำเค็มแดดเดียว หรือขูดเอาแต่เนื้อสับทำ “กะเกล่” (คล้ายๆ แกงสับนก) หรือ “ทอดมัน”
ถึงยุคแกงถุง และพ่อค้าแม่ค้าร้านชำชอบขายปลาทูนึ่งมากกว่าปลาทูสดเพราะสะดวกและอยู่ได้ทน ไม่เหมือนปลาทูสดที่วางแผงตอนเช้าตกบ่ายก็ “ไส้แตก” ทำท่าจะเน่า การทอดปลาทูนึ่งก็จะทอดกันทั้งตัวพร้อมหัวไม่มีการเฉือนแก้มทิ้งอีกแล้ว และรสชาติปลาทูนึ่งทอดก็ออกแน่นๆ ตันๆ ไม่ร่วนฟู แถมกลิ่นคาวทะเล้ทะเลก็หายไปด้วย
ทุกวันนี้แม้แต่แก้มปลาทูก็มีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ อย่างเมื่อเกือบสิบปีก่อน เพื่อนชาวสุพรรณบุรีของผมชวนไปกิน “แก้มปลาทูทอด” ร้าน “เส่ย” ตรงสถานีรถไฟสามเสน กรุงเทพฯ เพื่อนเอ่ยชวนด้วยอาการจริงจังจากกระแสความดังของร้านและเมนูนี้ที่ไม่มีให้กินทั้งวัน ทุกวัน คือห้ามไปสาย แต่ตอนถูกชวนนั่นผมนึกไม่ออกว่าควรจะแปลกใจ หรือจะขำแบบ “มึงจะเอาฮาไปถึงไหน” กันดี
แก้มปลาทูทอดกรอบกินได้ทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนที่เรียกว่าก้างให้ต้องทิ้ง น่าจะเป็นเมนูแคลเซียมที่คนรักสุขภาพต้องหันมาพิจารณาอย่างเอาจริงเอาจัง
อย่างไรเสีย เมนูปลาหรืออาหารทะเลทอดปิ้งย่างก็ตัองมีถ้วย “น้ำปลามะนาวพริกขี้หนูหอมกระเทียม” (เราเรียกมันแบบนี้จริงๆ ไอ้คำว่าน้ำจิ้มซีฟู้ดมันโผล่มาจากไหนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทันได้สังเกตุ) ความเผ็ด เค็ม และเปรี้ยวในถ้วยนั่นช่วยเจริญอาหารและเข้ากันดีกับเมนูอาหารทะเล้ทะเล
ปลาทูยุคนี้ “แพง” ทุกคนรู้ จากที่หมาได้กินหัวปลา หรือแก้มปลาทูสดซึ่งเฉือนทิ้ง ทุกวันนี้หมาได้แต่กระดูกกลางอันเดียว ส่วนไอ้วลีแก้เขินที่ว่า “ซื้อไปต้มให้หมากิน” ที่พูดกันเมื่อก่อน หากเอามาพูดเดี๋ยวนี้น่าสงสัยว่าเพื่อนบ้านจะคิดว่าเราอวดร่ำอวดรวยไปเสียด้วยซ้ำ
โฆษณา