ในช่วงปี 2014 ร้าน POP MART จึงเตรียมปรับลดประเภทสินค้าลง และทำการศึกษาข้อมูลยอดขาย
จนพวกเขาพบว่า ของเล่นสะสม หรือ Art Toy ในลักษณะของกล่องสุ่ม เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมมากสุดในร้าน
1
พอเห็นเช่นนั้น ก็ทำให้ หวางหนิง นึกถึง “กาชาปอง” ตู้ขายของเล่นอัตโนมัติ ในประเทศญี่ปุ่น ที่ผู้ซื้อต้องหยอดเหรียญกดแคปซูลออกมา แล้วลุ้นว่าจะได้ตัวการ์ตูนอะไร จึงเกิดแรงบันดาลใจ เปลี่ยนธุรกิจร้าน POP MART มามุ่งเน้นขายของเล่นสะสมแบบกล่องสุ่ม เพียงอย่างเดียว
แต่เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้แตกต่างจากของเล่นสะสมทั่วไป เขาได้เจรจากับ Kenny Wong ศิลปินชื่อดังชาวฮ่องกง ซึ่งเป็นเจ้าของผลงาน Art Toy ชื่อว่า “Molly” ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น ให้มาออกแบบคอลเลกชัน Molly และวางขายที่ POP MART เท่านั้น
และต่อมา บริษัทก็ร่วมมือกับศิลปินอีกหลายราย เพื่อสร้างสรรค์ผลงานลิขสิทธิ์รุ่นต่าง ๆ เช่น Dimoo, SKULLPANDA, Bunny รวมถึงเป็นพาร์ตเนอร์กับแบรนด์ระดับโลกอย่าง The Walt Disney และ Universal Studios เพื่อนำตัวการ์ตูนมาผลิตเป็นของเล่นสะสมภายใต้แบรนด์ POP MART
โดยกล่องสุ่มของ POP MART มีราคาอยู่ที่ประมาณ 300 บาทต่อกล่อง ซึ่งแต่ละคอลเลกชัน จะมีทั้งผลงานแบบธรรมดา และแบบหายาก หรือมีจำนวนจำกัด
แล้ว POP MART มียอดขายมากแค่ไหน ?
ในปัจจุบัน POP MART มีหน้าร้านของตัวเองอยู่ 215 สาขา และมีตู้ขายอัตโนมัติ ที่บริษัทเรียกว่า “Roboshops” อยู่ตามถนนและห้างสรรพสินค้าอีก 1,477 ตู้ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าได้ง่าย รวมทั้งวางขายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีน ไม่ว่าจะเป็น WeChat, Tmall หรือ JD.com
1
ซึ่งพอสินค้าถูกออกแบบโดยศิลปินชื่อดัง และสวยงามน่าซื้อเก็บสะสม ประกอบกับมีโอกาสได้สุ่มลุ้นรุ่นต่าง ๆ จึงทำให้แบรนด์ของเล่น POP MART ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น
และยังทำให้ร้านบริหารจัดการสต็อกสินค้าได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย เพราะสามารถระบายของได้ทุกรุ่น แม้แต่รุ่นที่ตลาดไม่นิยม ซึ่งแก้ปัญหาที่ POP MART เคยเจอมาก่อน
ด้วยเหตุนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัท Pop Mart International Group จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ POP MART ต้องเจอในอนาคต คงหนีไม่พ้น การออกแบบของเล่นสะสมให้ตามทันเทรนด์ความชื่นชอบของตลาด และควรระวังไม่ให้การขายแบบกล่องสุ่ม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกถูกเอาเปรียบมากเกินไป จนเบื่อหน่ายและอาจเลิกซื้อได้