16 ธ.ค. 2021 เวลา 10:33
แชร์ประสบการณ์เรื่องศาสนาแบบบ่นๆ
เราเข้าใจศาสนาจริงๆหรือไม่?
จั่วหัวมาอาจจะดูรุนแรงไปสักหน่อยแต่ที่จริงแล้วเป็นประโยคคำถามที่ถ้านำไปคิดต่อดีๆก็จะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ คำว่านับถือคืออะไร? ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า นับถือหมายความว่า เชื่อถือ, ยึดมั่น, เคารพ
ในเมื่อความหมายของสิ่งนี้คือเชื่อถือ ยึดมั่น เคารพ ดังนั้นการที่มนุษย์หนึ่งคนจะให้การนับถืออะไรสักอย่างหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ยกตัวอย่างเช่นการที่คุณจะเคารพใครสักคนหนึ่งคงต้องพูดคุยทำความรู้จักและได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวคนนั้นจนทำให้เรารู้สึกเคารพและเชื่อมั่นได้ คงไม่มีใครเชื่อใจคนแปลกหน้าที่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันใช่ไหมครับ
หากตามตัวอย่างที่ได้พูดไปนั้นมันดู Make Sense เป็นหลักทั่วไปที่เข้าใจได้ว่าก่อนที่เราจะนับถืออะไรนั้นต้องผ่านกระบวนการคิด วิเคราะห์ ศึกษา ของเรามาจนถี่ถ้วนแล้วจึงค่อยตัดสินสิ่งนั้นๆและยอมรับ
แต่ศาสนาเป็นสิ่งที่พิเศษมากกว่านั้นครับ
ในบางครั้งศาสนาถูกนับถือโดยไม่ผ่านกระบวนการทั่วไปที่จะทำให้คนรู้สึก เชื่อถือ,ยึดมั่น,เคารพ แบบเรื่องอื่นๆไม่มีกระบวนการคิด วิเคราะห์ ศึกษา หรือ ในกรณีแย่สุดคือคนที่บอกว่านับถือก็ไม่ทราบด้วยซ้ำว่าคำสอนของศาสนานั้นๆคืออะไร
เพราะเหตุใดผมจึงตั้งคำถามกับเรื่องนี้
เมื่อก่อนผมเคยเป็นพุทธครับแต่เป็นพุทธแบบตามบัตรประชาชนคือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคำว่าพุทธปรากฎในเอกสารราชการหรือบัตรต่างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ จุดเริ่มต้นของการตั้งคำถามของผมอย่างแรกเลยคือความรู้สึก “หงุดหงิด”
ในตอนเด็กผมมักจะถูกบังคับไปวัดเพื่อทำบุญโดยผมไม่เต็มใจ ถ้าไม่ไปก็คือจะโดนบอกว่าประมาณเป็นคนไม่ดี ไม่ทำบุญ มันบาป คำพูดประมานนี้ผมเจอมาตลอด
ในความคิดของผมในตอนนั้นการไปวัดคือไปตักข้าวใส่บาตรตอนเช้าที่สุดแสนจะง่วงนอนและนั่งฟังพระสวดภาษาที่เราไม่เข้าใจความหมาย พอถามคนที่พาไปก็โดนดุมาว่าให้สวดมนต์ นั่นก็อาจเพราะคนที่บอกว่านับถือก็ไม่รู้ความหมายเหมือนกันว่าที่สวดๆตามนั้นมีความหมายว่าอย่างไร
พอโตขึ้นมาผมได้เข้าเรียนโรงเรียนคริสต์สิ่งที่ผมพบก็คล้ายๆศาสนาพุทธคือมีทั้งคนที่เข้าใจศาสนาจริงๆกับคนที่นับถือแต่ไม่รู้อะไรเลยก็มี ผมไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรกับทั้งสองศาสนาแต่ที่ผมไม่ชอบนักคือการบังคับให้ผมต้องนับถือศาสนา ต้องเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ไม่ทำก็จะถูกมองว่าผิด
มีอยู่ครั้งหนึ่งในศาสนาคริสต์มีการมิสซาส่วนของพุทธก็จะมีคาบที่ไปสวดมนต์บทอะไรผมก็ไม่สามารถบอกได้เพราะผมยอมรับว่าไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยจริงๆ
ประเด็นอยู่ที่ว่าการเข้าพิธีพวกนี้ในโรงเรียนผมต้องนั่งขัดสมาธิหรือโดยเฉพาะการนั่งท่าเทพบุตรในการสวดมนต์ซึ่งผมมีน้ำหนักในตอนนั้นรู้สึกทรมานร่างกายมากและอาจารย์ในตอนนั้นก็ไม่อนุญาตให้เปลี่ยนท่านั่งซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่านี่คือการศรัทธาหรือฝึกสภาพร่างกายก็ไม่ทราบได้
ที่เล่ามาเป็นประสบการณ์ที่ทำให้ผมคิดอย่างจริงจังขึ้นว่าศาสนามันคือแบบนี้จริงๆหรือ ทำอะไรที่เราไม่เข้าใจแต่เขาว่ามันดีแล้วเขาก็ให้ทำ
นอกเรื่องไปเสียไกลย้อนกลับมาที่กลไกของการที่คนเราจะนับถืออะไรสักอย่างต้องมีการศึกษา วิเคราะห์ ดังนั้นเราจึงมาดูที่ระบบการศึกษากับการสอนเรื่องศาสนาในโรงเรียนกันบ้าง
ผมเชื่อเหลือเกินการที่มีคนนับถือศาสนาใดๆก็ตามแบบตามๆคนอื่นหรือที่บ้านนับถือก็เลยนับถือตามไม่ได้รู้หลักอย่างแท้จริงการสอนพื้นฐานที่ล้มเหลวของโรงเรียนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ การเรียนวิชาศาสนาในโรงเรียนไม่ได้ทำให้เด็กเกิดความรู้ความเข้าใจในศาสนาเท่าที่ควร
ปัญหาที่ผมเจอในการเรียนและอยากให้เปลี่ยนแปลงคือการศึกษาศาสนาควรเป็นการศึกษาจริงๆไม่ใช่ยกศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สงสัยอะไรไม่ได้หรือไม่ใช่คาบเรียนที่มาเผยแพร่ศาสนา
"ย้ำว่าการศึกษาต้องศึกษาจริงๆ"
ที่ผมบอกว่ายกศาสนาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คืออะไร คือการที่นักเรียนตั้งคำถามไม่ได้เช่นเพื่อนผมถามว่าเพราะอะไรพระพุทธเจ้าจึงเกิดมาเดินได้เลย7ก้าวทั้งที่มนุษย์ธรรมดากว่าจะเดินได้ก็ต้องใช้เวลาเกือบปี เพื่อนผมถูกต่อว่าและถูกมองว่าลบหลู่ศาสนา จากนั้นเด็กนักเรียนก็ไม่มีใครกล้าถามอะไรอีก จึงไม่เกิดการเรียนรู้อะไรเลย
ซ้ำร้ายมีการสอบเก็บคะแนนพุทธศาสนาโดยให้นักเรียนสอบสวดมนต์แบบท่องจำ ผมจำได้ว่าผมไม่ได้คะแนนจากสิ่งนี้เพราะผมสวดมนต์ไม่ได้ในความคิดผมตอนนั้นก็จะจำเพื่ออะไรบทสวดมนต์ในเมื่อมีหนังสือบทสวดแถมความหมายก็ไม่รู้อีก ลองคิดตามผมว่าการท่องจำบทสวดมนต์มีประโยชน์ที่ทำให้นักเรียนรู้หลักการของศาสนาเพิ่มขึ้นหรือไม่?
มาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัยเพราะเหตุใดผมจึงไม่พูดการเรียนการสอนศาสนาอื่นเลย?
คำตอบคือเพราะมันแทบไม่มีเลยครับ
ในหนังสือเรียนมีเนื้อหาของศาสนาพุทธเยอะมากแต่ศาสนาอื่นนั้นมีแค่ไม่กี่หน้าเท่านั้นดังนั้นการที่จะคาดหวังให้ผู้นับถือศาสนาพุทธที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศมาเข้าใจศาสนาอื่นก็คงเป็นเรื่องยาก
ปัจจุบันผมเป็นคนไม่นับถือศาสนาใดๆเลยครับอาจจะมีหลายๆคนมองว่าผมแปลกแต่การไม่มีศาสนาของผมผ่านการศึกษาศาสนา พุทธ คริสต์ อิสลาม มาอย่างดีแล้ว
สิ่งที่ผมเห็นและทำให้กล้าพูดว่าคนไทยบางคนนั้นนับถือศาสนาเพียงแค่ที่บ้านนับถือหรือนับถือเพราะสังคมส่วนใหญ่ทำตามๆกันมาโดยผ่านการบอกต่อโดยไม่ได้รู้หลักคำสอนที่แท้จริง
เช่นนับถือศาสนาพุทธแต่ไหว้ต้นไม้ ไหว้สัตว์พิการ เชื่อถือพระที่อวดอุตริซึ่งเป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าห้ามในคำสอน
มุสลิมที่ผมรู้จักเคร่งเรื่องไม่กินหมูมากๆแต่ไม่เคยทำการละหมาดเลยซึ่งการไม่ละหมาดนั้นในศาสนาอิสลามถือเป็นเรื่องที่ผิดยิ่งกว่ากินหมูเสียอีก
ตัวอย่างที่ยกมาแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจในศาสนาที่ตนนับถืออยู่ผมจึงไม่แปลกใจว่าทำไมยังมีความเกลียดชังระหว่างศาสนาอยู่ในสังคมของเรา
เพราะแค่เรื่องของตัวเราเองยังไม่รู้จริงก็ยากที่จะไปเข้าใจคนอื่นได้ครับ...
โฆษณา