18 ธ.ค. 2021 เวลา 02:58 • ความคิดเห็น
เราไม่เชื่อเรื่องสิ่งเร้นลับ ตามความเข้าใจธรรมดาๆของคนทั่วไป และเราคิดว่ามันหาประโยชน์ไม่ได้ที่จะไปรู้ไปเห็น และแม้คุณได้รู้จากปากคนอื่น แต่คุณก็ไม่ได้เห็น เท่ากับว่าสิ่งนั้นก็ไม่จริง อย่าลืมว่าครูบาอาจารย์ท่าน สอนให้รู้สิ่งที่มีอยู่จริง ตามความเป็นจริง เกิดขึ้นแล้ว เห็นอยู่ รู้อยู่ แล้วดับ แต่ก็ไมได้หมายความว่า คนที่ได้เห็นญาติ หรือเพื่อนที่ตายไปแล้วจริงๆ จะโกหก เพียงแต่ ญาติหรือเพื่อนที่ตายไปแล้วนั้น ได้ปฏิสนธิจิตเป็นเปรต และได้เนรมิตกายมาเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนตัว เราจึงเลือกจะมีความเชื่อเรื่องภพภูมิมากกว่าค่ะ
เราทราบจากครูบาอาจารย์ว่า เมื่อตาย จิตสุดท้ายย่อมเกิดทันทีเรียกว่า ปฏิสนธิจิต แต่จะไปเกิดเป็นอะไรที่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำ แต่เกิดแน่ เพราะสังสารวัฏ หรือการเวียนว่ายตายเกิดยังดำเนินต่อ (มีจิต เจตสิก รูป สืบเนื่องกันไปไม่ขาดสาย) ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่เรียกว่าผี แต่ถ้าเป็นสัตว์ในภูมิอื่น กล่าวคือ เกิดเป็นเปรต ก็อาจจะมีคำเรียกว่าผี ก็ได้ (แล้วแต่จะตั้งชื่อกัน) ซึ่งก็บัญญัติเรียกมาจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม "ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรม ที่เป็นสัตว์ในภพภูมินั้นๆ"
แต่สิ่งที่พวกเราทั่วไปเข้าใจกัน คือ ตายแล้วเป็นผี เป็นวิญญาณ ล่องลอย และก็แปลก ที่เรื่องเล่าเกี่ยวกับผีส่วนใหญ่ มักเป็นผู้หญิง ผมยาว ยืนหวีผมหน้ากระจก มาดึงขา มาทำร้าย มาบีบคอ มาสิงร่าง
แท้จริงแล้ว คำว่าวิญญาณ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่หมายถึง วิญญาณล่องลอยที่เป็นผี ตามที่่เข้าใจกัน แต่หมายถึงสภาพธรรมที่รู้อารมณ์ คือ เป็นสภาพรู้ ที่เป็นใหญ่ในการรู้ เรียกว่าวิญญาณ คือ จิตนั่นเอง ดังนั้นเมื่อกล่าวถึงวิญญาณก็คือสภาพธรรมที่เป็นจิต วิญญาณหรือจิตจึงมีหลายประเภท เช่น จักขุวิญญาณ หรือ จิตเห็น โสตวิญญาณ หรือ จิตได้ยิน (เรื่องนี้ลึกซึ้ง ละเอียด คนส่วนใหญ่จึงไม่สนใจจะรู้ให้ละเอียด ลึกซึ้ง ตรงกันข้ามกับเรื่องเร้นลับ ผีลอยล่อง ซึ่งหยิบฉวยไปเสพได้ง่ายกว่า)
สำหรับผู้จบป.ตรี ที่สนใจศึกษาเรื่อง "จิตวิญญาณที่แท้ "สามารถสมัครเรียนต่อในระดับปริญญาโท คณะศิลปศาสตร์ สาขาวิชาจิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหลักสูตรเดียวในไทย พัฒนาขึ้นจากองค์ความรู้เชิงจิตวิญญาณที่แท้ และไม่สังกัดศาสนาหรือความเชื่อเฉพาะทางใดๆ ทั้งสิ้น ค่ะ
โฆษณา