18 ธ.ค. 2021 เวลา 04:06 • หุ้น & เศรษฐกิจ
วันนี้เราจะมาแนะนำอีกหนึ่ง
อัตราส่วนทางการเงินที่ต้องรู้นั่นคือ
🤹‍♂️ROE (Return On Equity)
(กำไรสุทธิ(Net profit) หารด้วย
ส่วนของผู้ถือหุ้น(Equity)
คูณด้วย 100)
ROE คือ
ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
เป็นตัวบอกว่าบริษัททำผลตอบแทนได้ดีแค่ไหน
สะท้อนถึงประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัท
*ใช้เปรียบเทียบธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
🏌️‍♂️ROE ยิ่งมากยิ่งดีและควรมีความต่อเนื่อง
บริษัทที่มีกำไรสุทธิสูง ทำกำไรได้เยอะ
ขายสินค้าได้มาก มักจะมี ROE สูง
👉แต่เดี๋ยวก่อน!
มีข้อควรระวังในการใช้ROEด้วยเช่นกัน
ROE จะมากหรือน้อยนั้น
ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยคือ
กำไรสุทธิ (Net profit)
กับ ส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity)
นั่นหมายความว่ายิ่งกำไรสุทธิมาก
จะทำให้ROE สูง แต่ถ้ากำไรสุทธิไม่มาก
แต่ส่วนของผู้ถือหุ้น(Equity)น้อยแทน
ก็สามารถทำให้ROEสูงขึ้นมากได้เช่นกัน
มาถึงตรงๆนี้เพื่อนๆอาจจะตั้งคำถามว่า
แล้วROEสูงก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ
🙌
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูเพื่อให้เข้าใจมากขึ้นครับ
บริษัท A มีกำไรสุทธิ 2 ล้านบาท
มีสินทรัพย์ 10 ล้านบาท
มีหนี้สิ้น 2 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น 8 ล้านบาท
ค่า ROE = 25 %
บริษัท B มีกำไรสุทธิ 2 ล้านบาท
มีสินทรัพย์ 10 ล้านบาท
มีหนี้สิ้น 6 ล้านบาท
ส่วนของผู้ถือหุ้น 5 ล้านบาท
ค่า ROE = 40 %
จากตัวอย่างจะได้เห็นได้ว่า
ทั้งสองบริษัทมีกำไรสุทธิและสินทรัพย์เท่ากัน
แต่หนี้สิ้นของบริษัท B มีมากกว่า
แปลว่ามีความเสี่ยงทางการเงินมากกว่า
เนื่องจากมีการกู้ยืมเงินเข้ามาใช้ในธุรกิจ
แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นน้อยกว่าทำให้
ค่าROE จึงสูงมากกว่าบริษัท A
📈ROE>15% ต่อเนื่องทุกปี ถือว่าน่าสนใจ
แต่ควรดูอัตราส่วนทางการเงินและข้อมูลอื่นๆ
เพื่อประกอบการตัดสินใจก่อนการลงทุนครับ
หวังว่าเพื่อนๆคงได้ความรู้และได้ประโยชน์
และฝากเพื่อนๆช่วยกดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม
เป็นกำลังใจให้พวกเราในการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ให้เพื่อนๆที่สนใจการลงทุนได้รับความรู้ใหม่ๆครับ
#ขอให้มีความสุขกับการลงทุนครับสวัสดีครับ 🙏🙏
"สองหมอขอลงทุน" สาระการลงทุนที่คุณต้องรู้ นำมาบอกเล่าให้ฟังเยี่ยงกัลยาณมิตร ติดตามเรา ผ่านช่องทางต่างๆ ได้ดังนี้
โฆษณา