ตั้งแต่ การห้ามไม่ให้บริษัท Ant Group เสนอขายหุ้นครั้งแรก การกีดกันไม่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในบริษัทเทคโนโลยี การถอดแอพลิเคชั่นของบริษัท Didi ออกจาก App store การห้ามการทำกำไรในธุรกิจการศึกษา การกำหนดชั่วโมงในการ เล่นเกมส์ของเยาวชน หรือ การห้ามเยาวชนตั้งกลุ่มแฟนคลับหรือเข้าร่วมกิจกรรมของคนดังที่มีค่าใช้จ่ายสูง
3
มาตรการเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ นโยบาย Common prosperity ของจีนที่ต้องการที่จะนำพาประเทศจีนก้าวสู่สังคมที่รุ่งเรืองอย่างทั่วถึงและสร้างความมั่นคงทางสังคม
KKP Research โดยกลุ่มการเงินเกียรตินาคินภัทร จะวิเคราะห์ถึงอุดมการณ์ที่เป็นสิ่งชี้นำเศรษฐกิจจีนเพื่อพยายามหาคำตอบว่าทิศทางของเศรษฐกิจจีนในอนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
3
ต้นทุนที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบาย Common Prosperity คืออะไร และทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจไทยอย่างไร
2
ทำไมเรื่องนี้ถึงมองข้ามไม่ได้ ?
ถึงแม้ว่าการดำเนินนโยบาย Common Prosperity ของจีนจะดูไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงต่อไทย
โดยข้อมูลจาก our world in data ชี้ให้เห็นว่า การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่มาจากภาคการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.4 พันล้านตันในปี 1990 เป็น 10 พันล้านตันในปี 2018
ตัวอย่างของนโยบายที่เป็นผลจากแนวคิดนี้คือนโยบายก้าวกระโดด (the Great Leap Forward) ที่พยายามจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเกษตรกรรมไปเป็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมโดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้วางแผนเศรษฐกิจ (Central Planning)
ทั้งนี้ แนวคิดของลัทธิมาร์กซและเลนนินยังมีความสำคัญต่อจีนอยู่ แต่แนวคิดต้องมีการปรับให้เหมาะสมเข้ากับจีน จึงทำให้เกิดคำที่ใช้เรียกกันว่า สังคมนิยมสมัยใหม่แบบจีน (Socialism with Chinese characteristics) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับแนวคิดนโยบายเศรษฐกิจใหม่ของเลนนิน (New Economic Policy)
ตั้งแต่สุนทรพจน์ในรัฐสภาหรือวันสำคัญของชาติ หรือแม้กระทั่งหนังสือที่เขียนถึงแนวคิดของสี จิ้นผิงโดยเฉพาะ (The Governance of China, 2014)
2
ยิ่งไปกว่านั้นแนวคิดนี้ยังถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญของจีนหนังสือในชั้นเรียนอีกด้วย สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของแนวคิดทางการเมืองที่มีต่อสังคมและเศรษฐกิจจีน ในสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิงหลังจากได้รับตำแหน่งในปี 2013 และในหนังสือ The Governance of China ที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2014
แต่หากราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนเริ่มมีแนวโน้มลดลง จะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวอย่างมีนัยยะสำคัญ ในปี 2022 Bank of America ได้ปรับประมาณการ GDP ลดลงจาก 5.3% เป็น 4.0%
แต่ในกรณีที่ภาครัฐไม่ผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อในภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่ากรณีการผิดนัดชำระหนี้ ใน 3-6 เดือนข้างหน้าจะเพิ่มขึ้น และ GDP จะเติบโตเพียง 2.2% เท่านั้น
KKP Research ประเมินว่า หากการลงทุนในจีนชะลอตัวลงในขณะที่การเติบโตของภาคการบริโภคเร่งตัวขึ้นในอัตราที่เท่ากัน ธุรกิจที่การส่งออกมูลค่าเพิ่มพึ่งพาภาคการลงทุนในจีน
ในด้านผลกระทบต่อรายสินค้าการส่งออกของไทย KKP Research ประเมินว่า สินค้าส่งออกของไทยที่มีตลาดจีนเป็นตลาดสำคัญและเป็นสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวตามการเติบโตของเศรษฐกิจจีนสูง