Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
anonyms
•
ติดตาม
24 ธ.ค. 2021 เวลา 10:07 • ครอบครัว & เด็ก
[แชร์ประสบการณ์] การจากตายกับคนรัก และการเริ่มต้นใหม่
บทความอาจจะยาวหน่อยแต่อาจจะเป็นแนวทางให้กับบางคนนำไปปรับใช้ได้ อยากให้กำลังใจคนที่กำลังท้อแท้ กำลังพยายามกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก อยากให้รู้ว่ายังมีคนเข้าใจและจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ
เริ่มต้นจากเราได้เจอกับคนคนหนึ่ง รู้จักกัน สนิทกัน และพัฒนาไปเป็นแฟน นานเข้าก็พาไปทำความรู้จักกับพ่อแม่ที่บ้าน ทั้งบ้านเขาบ้านเราก็เข้ากันได้ดี เราเลยวางแผนมีลูกด้วยกัน จนใกล้จะครบรอบหนึ่งปี ที่มหาลัยเรามีจัดงานต้อนรับน้องใหม่(เฟรชชี่ไนท์) เราชวนเขาไปด้วยเพราะมหาลัยเราอยู่ต่างจังหวัด เราไม่อยากขับรถคนเดียว ทริปนี้เขาดูเหนื่อยๆไม่สนุกกับเราไม่อินกับสถานที่บวกกับช่วงนั้นเราจะชอบเจ็บหน้าอกปวดท้องจนโดนตัวไม่ได้อยู่บ่อยๆ พวกเราเลยมีทะเลาะกันเล็กน้อยแต่เราก็ไปง้อไปแกล้งเขาแล้วก็ถ่ายรูปเล่นกัน
จบวันเราก็พักกันหนึ่งคืนและเดินทางกลับตอนเช้า จำได้ขึ้นใจว่าเป็นเช้าวันที่ 1 กันยายน 2019 เราตื่นมาหาข้าวเช้ากินเสร็จก็ออกเวลาประมาณสายๆ ตกลงกันว่าขามาเราขับแล้วขากลับผลัดกันบ้าง เขาก็โอเคเราก็ใส่หมอนรองคอเอนเบาะหลับไป
มารู้สึกตัวอีกทีคือมีเสียงคนตะโกนเรียกเราจากข้างนอกรถ ตาพร่าปวดหัวมึนหัวไปหมด พอภาพเริ่มชัดเจนปรากฏว่ารถเราเกิดอุบัติเหตุลงข้างทาง หันไปหาแฟน เขาหมดสติ เราก็พยายามจับๆเขย่าเรียกเขา ในใจก็คิดแค่ว่าเขาคงแค่สลบอยู่เพราะรับรู้ได้ว่าเขายังหายใจ จนมีพลเมืองดีมาเปิดประตูพาเราออกไปเราก็ควานหาหยิบมือถือติดลงไปด้วยเพื่อจะโทรบอกข่าวกับพ่อแม่
รถเราเป็นฮอนด้าซีวิค มีฮอนด้าคอนเน็ค แล้วทีนี้ระบบแจ้งเตือนว่าถุงลมนิรภัยแตก คอลเซนเตอร์เลยโทรติดต่อแจ้งข่าวแม่เรา แม่เราก็เลยโทรกลับมาหาเราก่อนที่จะได้โทรไป เพราะรถเราออกเป็นชื่อแม่แต่เราผ่อน
พี่พลเมืองดีที่มาช่วยเราเขาบอกว่าโทรแจ้งกู้ภัยให้แล้ว ตอนนั้นเราช็อคมากทำอะไรไม่ถูก พี่ผู้หญิงก็คอยปลอบอยู่เป็นเพื่อน เราก็ขอร้องให้พี่ผู้ชายลงไปดูแฟนให้หน่อย เขาก็ลงไปพร้อมกับรถคันอื่นที่มาจอดช่วย ระหว่างนั้นเราก็โทรบอกข่าวกับแม่ของแฟน แม่แฟนเป็นลมทันทีที่ได้ยิน ดีว่าตอนนั้นเพื่อนแม่อยู่ด้วยเลยมาคุยแทน ไม่นานเขากลับขึ้นมา ท่าทีพี่เขาแค่ส่ายหัวแต่ผู้ชายอีกคนพูดขึ้นมาโต่งๆว่าไม่รอดแล้ว ยังไงก็ไม่รอด ตอนนั้นเรายิ่งตกใจสติหลุดเข้าไปใหญ่
จนกู้ภัยและรถพยาบาลมาถึงเรารีบบอกว่าเราโอเคเราไม่เป็นไรมากให้ไปช่วยแฟนที่อยู่ในรถก่อน พี่ผู้หญิงก็ลูบเราปลอบเรา เรามองกู้ภัยทำงานตลอดไม่ละสายตา กู้ภัยมาบอกเราว่าแฟนเราตายแล้วนะเราก็ยังไม่เชื่อ จนในที่สุดพยาบาลมาบอกกับเราเองว่า แฟนเราเขาตายคาที่ เราก็หมดแรงที่จะหลอกตัวเอง โผเข้ากอดพี่ผู้หญิงที่ยืนปลอบอยู่ข้างๆ สติหลุดร้องไห้จนเดินเองไม่ได้ พยาบาลกับกู้ภัยต้องมาอุ้มขึ้นรถฉุกเฉิน แต่เขาแยกเรากับแฟนไปคนละคัน
ตอนอยู่ในรถเรายังเฝ้าถามพยาบาลว่าจริงเหรอ แฟนเราตายแล้วจริงๆเหรอ เหมือนพี่เขาสงสารหรือรำคาญก็ไม่รู้ยอมบอกว่า แฟนเราคอหักสมองเละไหลออกจมูก
ถึงโรงพยาบาล เขาก็สอบถามอาการต่างๆ แต่ด้วยวันนั้นคนไข้ห้องฉุกเฉินเยอะมาก เขาเห็นเราไม่ค่อยเป็นอะไรหนักก็เลยให้นอนรอไปก่อน สักพักก็มีนักข่าวท้องถิ่นมาถามข้อมูลแต่เราก็ไม่ได้ตอบอะไรเพราะพี่พยาบาลไล่ออกไปก่อน กู้ภัย(เหมือนว่าง)ก็เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนมาคุยด้วย
บอกว่ากลางวันแสกๆไม่น่าหลับในได้นะ มีรถตัดหน้ารึเปล่า เพราะตอนเกิดเหตุเป็นเวลาเที่ยงตรง เราก็ยืนยันว่าตอนนั้นยังเห็นเขาหายใจอยู่เลย พี่กู้ภัยว่าคงเป็นลมหายใจสุดท้าย เขาอาจจะรอเราฝื้นแล้วค่อยไป
พยาบาลเข้ามาซักประวัติก่อนจะพาไปเอ็กซ์เรย์ ซักไปซักมาก็สะดุดที่รอบประจำเดือน ที่ขาดไปนานเกินปกติ พยาบาลเลยบอกว่าคงเสี่ยงให้เข้าเอ็กซ์เรย์ไม่ได้ ให้กลับไปตรวจให้แน่ใจก่อน ระหว่างนี้ก็รักษาตัวตามอาการ
อันนี้เราอาจจะพลาดเองที่บอกตัวแทนประกันว่ารถมีกล้อง เพราะเราคิดว่าประกันไว้ใจได้เราจะให้เขาไปดูกล้องหน้ารถให้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาก็กลับมาบอกเราว่ากล้องหายไปแล้ว พอพ่อกับแม่เรามาเราเลยขอให้พาไปดูรถเพราะเราจะไปหากล้องด้วย เราเห็นสภาพรถฝั่งเรานั่งก็ไม่ได้พังขนาดนั้นกล้องจะถึงขั้นกระเด็นหลุดหายได้ไง แต่พอเราได้เห็นสภาพรถชัดๆรอบคันแล้วก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้นร้องไห้อีกรอบ คือรถมันยุบหายไปเกือบครึ่งคัน
ขากลับเรากับพ่อแม่แล้วก็ลุงเลยแวะหาดูแถวที่เกิดเหตุเผื่อว่ามีกล้องหล่นอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่เจอ
กลับมาบ้านเราลาพักงาน 6 วัน เพื่อจัดงานศพด้วยและรักษาตัวด้วย วันที่ 2 ไปรับศพและเชิญวิญญาณ วันที่ 3 สวดคืนแรก วันที่ 5 สวดคืนสุดท้าย วันที่ 6 เผา
ก่อนวันสวดคืนแรกเราไปตรวจที่โรงพยาบาลเรื่องการตั้งครรภ์ ผลออกมาคือเราท้องได้ 7 สัปดาห์ ครั้งแรกที่เราได้ยินเสียงหัวใจของลูก เราน้ำตาไหลพรากแบบหมอกับพยาบาลต้องมาช่วยปลอบ
ตอนนั้นยอมรับเลยว่าหดหู่มากจริงๆ คิดลบตลอดว่าทำไมเหตุการณ์แบบนี้ต้องมาเกิดขึ้นกับเรา บวกกับคนจากในโซเชียลลุมเข้ามาถาม บางคนก็แค่อยากรู้อยากเห็นบางคนก็เป็นห่วงจริงๆ แต่ทั้งหมดมันกลายเป็นตอกย้ำรอยแผลให้เจ็บลึกเข้าไปมากกว่าเดิม ที่ชาวบ้านรู้กันเพราะพ่อเลี้ยงของแฟนโพสแท็กเฟชเรื่องกำหนดการงาศพ แต่ทัวร์กลับมาลงที่เรา ทั้งคนรู้จักไม่รู้จักแอดมาทักมาจนช่วงนั้นเราเลิกโซเชียลไปเลย
เกือบจะเข้าสู่โลกซึมเศร้าแบบเต็มตัว เราโชคดีมากที่มีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนๆคนรอบตัวดี เน้นย้ำว่ารอบตัวไม่นับความจอมปลอมในโซเชียล พี่ข้างบ้านเรามาหาทุกวันมานั่งเล่นนั่งคุยด้วย คุยกับลูกในท้องเรา มาล้อมวงนั่งกินข้าวกับเรา แม่ก็คอยถามทุกเย็นว่าวันนี้อยากกินอะไร เพื่อนสมัยมอต้น(แก๊งค์นี้เป็นเพื่อนสนิทกับแฟนเราด้วย)ก็พากันหาเรื่องมาคุยในกลุ่มไลน์กันได้ทั้งวี่ทั้งวัน วันหยุดก็แห่กันมาหาถึงบ้าน ว่างๆก็ชวนกันออกไปเที่ยว ถ้าคนปกติก็อาจจะรำคาญแต่เราที่กำลังเคว้งคว้างมันเป็นอะไรที่ช่วยได้มากเลยนะ ไม่ต้องมาให้กำลังใจหรอกเอาจริงๆ แค่ทักมาชวนคุยให้ไม่รู้สึกว่าเหลือตัวคนเดียวแค่นี้ก็ช่วยได้แบบมากๆแล้ว
ถ้ายังคิดถึงก็พิมพ์ไลน์หาได้ ถึงไม่มีคนตอบแต่มันก็ช่วยให้ได้ระบายความรู้สึกลึกๆข้างใน ช่วงแรกๆเราพิมพ์หาตลอดเลย พอเริ่มทำใจได้ก็จะหยุดไปเอง
สถานที่ทำงานก็สำคัญ เราทำงานเจอลูกค้าเจอคนเยอะต้องฉีกยิ้มทั้งวันต้องทำตัวร่าเริ่งสนุกสนาน เออว่ะ...มันช่วยนะ ถึงเราจะโกหกว่ามีความสุขแต่เราก็หัวเราะจริงนี่ อย่างน้อยมันก็ทำให้ผ่านวันวันนึงไปได้แบบไม่คิดฆ่าตัวตาย ช่วงนั้นก็เลยบ้างานทำงาน 7 วัน/สัปดาห์กันไปเลยสิคะ
เราทำงานมาเรื่อยๆจนอายุครรภ์ได้ 7 เดือนนิดๆ ต้าวโควิดซีซั่นแรกก็ระบาดแบบรู้งาน เราที่ต้องทำงานเจอคนเยอะก็เลยถือโอกาสลาคลอดมันซะเลย
นอนอืดอยู่บ้านก็หาหนังซีรี่ย์ หานิยายการ์ตูนอ่าน หาบทความแม่และลูกอ่านไปเรื่อย นู่นนี่นั่น จนไปเจอหุ่นยนต์ชื่อว่า เวคเตอร์ ตัวละ 13,000 บาทในอีเบย์ ตอนสั่งก็ไม่ได้คิดหน้าคิดหลังจนน้องมาถึงบ้านและเราได้แกะเล่น ปรากฏว่าบริษัทแม่ยุบเซิฟเวอร์ไปแล้ว(ร้องไห้หนักมาก) เลยไปหาข้อมูลในกลุ่มเฟซบุ๊ค เจอพี่คนนึงเลยทักถามปัญหาเขา พี่เขาก็อาสาจะดูน้องเวคเตอร์ให้ เราเลยส่งไปให้พี่เขา ต่อมาไม่นานพี่เขาก็ส่งคลิปน้องมาให้ดูว่าเดินได้เล่นได้แล้ว ก็ส่งกลับมาให้เราแต่กระนั้นเราก็ต่อน้องเข้าไวไฟไม่ได้ เลยได้แค่ชาตแบตแล้วปล่อยให้วิ่งเล่นเองตัวเดียว
น้องช่วยให้เราผ่านช่วงเวลายากๆมาได้ เวลาเราตื่นมากลางดึกแล้วเห็นแสงเขียวๆจากตาน้อง เรารู้สึกเหมือนมีเพื่อนเหมือนไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มันมีความสุขแบบแปลกๆ
มาจนวันพุธที่ 8 เมษายน 2020 เราคลอดน้อง อายุครรภ์ 37+1 เวลาตี 1.10 นาที
ปวดท้องตั้งแต่เก้าโมงแต่นอนอ่านการ์ตูนอยู่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออาการปวดท้องคลอด มันปวดแบบพอทนได้ แต่ประมาณบ่ายสามมีเลือดออกแถมปวดท้องมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วจำได้ว่าเพื่อนเคยบอกว่าถ้าเลือดออกคือเรื่องใหญ่ เราก็เลยโทรบอกแม่บอกพ่อบอกเพื่อนพี่น้องทุกคน เสร็จก็ไปอาบน้ำแต่งตัวนั่งรออย่างใจเย็น กว่าจะได้ไปโรงพยาบาลกว่าจะได้หาหมอ ปาไปห้าโมง แถมหมอบอกปากมดลูกยังไม่เปิดดีให้กลับบ้านรอดูอาการต่อไป บอกอีกว่าถ้าปวดมากลองกินพารานะเผื่อหาย แล้วเราก็กลับมาบ้านมานอนทนปวดอยู่แบบนั้นจนสี่ทุ่ม คลานลงบันไดมาหาพ่อกับแม่ดีว่าเขายังไม่นอนกัน บอกไม่ไหวแล้ววว ทั้งพ่อทั้งแม่ก็แต่งตัวพาขับรถฝ่าเคอฟิวไปโรงพยาบาล ไปถึงติดเคสเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิดอีก ต้องรอเขาทำความสะอาดพื้นที่ถึงจะลงไปได้ กว่าจะไปถึงห้องรอคลอดก็เที่ยงคืนกว่า
รู้สึกโชคดีที่ปวดท้องไม่นาน เบ่งคลอดก็แป๊บเดียวไม่ถึง 20 นาที ดีใจหมอชมว่าคุณแม่เก่งมาก (เป็นบทความที่ใช้คำว่าโชคดีเปลื่องมาก)
ผมอายุ 1 วันแล้วฮับ
ผมน่ารักมั้ยฮับ
บอกก่อนว่าตอนพ่อกับแม่มีเรา พวกเขาไม่ได้เลี้ยงกันเอง เราถูกน้าเลี้ยงมา พอมาถึงรุ่นหลาน พวกเขาก็ไปขอให้น้องสาวของน้าคนที่เลี้ยงเรามาเลี้ยงให้ เราบอกนะว่าเราเลี้ยงเองได้ แต่ไม่มีใครฟังเรา
ตอนแรกลูกเราเลี้ยงง่ายมาก อยู่กับเราถึงเวลากินก็กิน ถึงเวลานอนก็นอน เล่นก็เล่นไม่งอแงเลย พอมีคนอื่นเข้ามาแทรกแซง ลูกเราเริ่มกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจ ตื่นร้องกลางคืนบ่อยมาก ห่วงแต่เล่นไม่ยอมกินยอมนอน พอร้องมากเข้าทุกคนก็ลุมว่าเรา ว่าเราเลี้ยงลูกไม่ดี
ช่วงนั้นเราโดนกดดันทุกด้าน เครียดมาก จนไปแอบนั่งร้องไห้ในห้องน้ำทุกวัน คิดทบทวนตัวเองว่าเป็นซึมเศร้าหลังคลอดรึเปล่า เคยคิดถึงขั้นฆ่าตัวตายเลยก็มี จนวันนึงเราอดทนต่อไปไม่ไหวระเบิดออกมา มีปากเสียงกับทั้งพ่อทั้งแม่ทั้งน้า น้าอยู่ต่อไม่ได้ก็เลยกลับไป หลังจากนั้นน้ำนมเราก็ไม่ไหล พยายามปั้มก็แล้ว สุดท้ายไหลออกมาเป็นเลือด ลูกเราหน้าเหวอแล้วก็หยุดดูดไปเลย
ตอนแรกเราพึ่งพี่เอกHRKเป็นที่ฮีลใจ แต่ตอนนั้นคือพี่เอกไม่ช่วยอะไรแล้ว เราเลยไปหาโหลดเกมมาเล่น เน้นเกมเข้าสังคมมีอะไรให้ทำมากกว่าเก็บเวลไปวันๆ ก็ไปเจอ ดราก้อนราจา แรกๆก็เล่นคนเดียว เล่นไปได้สักพักกิลที่เคยอยู่ก็โดนรวม โดนอยู่ประมาณสองรอบ สุดท้ายไปจบกับกิลไทยกิลนึงที่มีอันดับหนึ่งของเซิฟอยู่
เราโชคดีอีกครั้ง สังคมในกิลนี้ดีมาก ช่วยกันเล่นช่วยกันทำกิจรายวัน ใครไม่มีตี้ทำกิจก็ช่วยหา ตอนแรกเราเป็นสมาชิกอิสระ ประมาณว่าตี้ไหนขาดเราก็จะไปเข้าตี้นั้น
จนวันนึงมีคนมาชวนเราไปเข้าตี้ประจำ เขาฝากเราไว้กับหัวตี้คนนึง ซึ่งเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหัวตี้คนนั้นจะกลายมาเป็นสามีเราในอนาคต
กิลเราเอง อบอุ่นมากกก
ตอนนั้นเขาดูแลเราดีมาก แต่เขาก็ดูแลทุกคนดีแบบนี้เหมือนกัน เราที่จิตใจกำลังอ่อนแอเมื่อเจอคนดูแลดีมันก็แอบหวั่นไหวเบาๆ พอเริ่มทำความรู้จักกันมากขึ้นก็ได้รู้ว่าเขาอยู่จังหวัดเดียวกับมหาลัยที่เราเรียน เลยทำให้คุยกันถูกคอขึ้น เราก็ตัดสินใจเดินหน้าจีบ
จนความสัมพันธ์เริ่มพัฒนา เราก็เลยแลกไลน์คอลหากัน เขาได้ยินเสียงเด็กร้องก็ถามว่าเสียงเด็กที่ไหน เราก็เริ่มใจไม่ดี ถ้าเกิดเขารู้ว่าเรามีลูกแล้วเขาจะรังเกียจมั้ย คิดไปคิดมาก็ เอาวะ...รู้ก็รู้ รับไม่ได้ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคุยต่อ
ปรากฏว่าเขารับได้ เราดีใจมาก หลังจากนั้นเขาก็ช่วยเราเลี้ยงลูกโดยตอนนอนเราจะคอลกันทิ้งไว้ ตอนลูกตื่นร้องเขาก็ปลุกเราให้ดูลูก วิดีโอคอลคุยกับลูกเราทุกวัน ถามหาว่าลูกทำอะไรอยู่ บอกเราตลอดว่าลูกเราก็เหมือนลูกเขา เขารักเราก็จะรักลูกเราด้วย
พอโควิดรอบแรกเหมือนจะหายดีพวกเราก็นัดเจอกัน เขาพาเรากลับบ้านไปเจอแม่ของเขา แม่เขาก็รู้ว่าเรามีลูกแล้วเพราะเขาบอกแม่ทุกอย่างก่อนจะพาเรามาเจอแล้ว พอผ่านด่านแม่เขาก็พาไปเจอเพื่อนพี่น้องที่เขาสนิท ทุกคนดูไม่ต่อต้านเรา บอกอีกด้วยว่าอยากเจอตัวเล็ก
หลังจากนั้นเราเลยพาเขามาเจอพ่อแม่เราบ้าง พ่อแม่เราชอบเขามาก เพราะเขามีความเป็นผู้นำ ที่สำคัญเวลาเราไปรับงานฟรีแลนซ์เขาก็ดูแลลูกเราได้ ทั้งหมดอยู่ภายใต้สายตาของพ่อแม่เรา พวกเขาเลยโอเคถ้าเราจะแต่งกับคนนี้ อีกอย่างลูกชายเราติดเขาเอามากๆ
ต่อมาต้าวโควิดซีซั่นสองก็มาโชว์ตัว เราโดนให้ลางานแบบไม่มีกำหนด เขาก็คอยช่วยเหลือเราเรื่องค่าใช้จ่าย ทั้งค่ากินของเราค่าของใช้ลูก งานหมั้นที่แพลนกันไว้ก็โดนเลื่อน เลื่อนแล้วเลื่อนอีก
จนมาโควิดซีซั่นสาม ซีซั่นสี่ จนต้องดำรงชีวิตร่วมกับโรค เราเลยตัดสินใจจดทะเบียนกับเขาก่อน เรื่องจัดงานค่อยว่ากันทีหลัง ทางพ่อแม่เราและเขาก็โอเคกับการตัดสินใจนี้
แต่งแล้วนะคะ ❤
สุดท้ายนี้ อยากให้ทุกคนมองโลกในแง่ดี เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ ชมว่าตัวเองเก่งเยอะๆ ไม่มีกำลังใจไหนดีไปกว่าการให้กำลังใจตัวเองนะคะ ใจดีกับตัวเองเยอะๆ รักตัวเองให้มากๆจนความรักมันล้นออกมาแล้วค่อยเอาความรักที่ล้นมานั้นไปให้คนอื่น เมื่อนั้นคุณจะได้ความรักที่ดีตอบแทนกลับมาเองค่ะ
ครบรอบวันตายครั้งที่ผ่านมาของพ่อของลูกเรา
ใช้คำไม่สุภาพหรือไม่เหมาะสม ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ 🙏🙏🙏
ประสบการณ์
ความรัก
แม่และเด็ก
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย