25 ธ.ค. 2021 เวลา 07:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
“วิริญาพร บุญประเสริฐ”
นักทำหนังสั้นเสียดสีการเมืองปริศนา ผู้มาก่อนกาล
หากพูดถึงคอนเทนต์การเสียดสีการเมืองในปัจจุบันอาจมีให้เห็นได้ตามทั่วไป แต่เมื่อในสมัยช่วง 2012 - 2016 (เหตุการณ์เสื้อเหลืองเสื้อแดงกำลังคุกรุ่น) การพูดคุยหรือนำเสนอเกี่ยวกับการเมืองดูเป็นเรื่องต้องห้ามและหาได้ยากซะเหลือเกิน แต่ในบรรดาสื่อต่างๆที่ถูกปิดกั้นอยู่นั้น ในวงการหนังสั้นกับมีผลงานที่โดดเด่นและดุเดือดยิ่งกว่า จนล้ำสมัยแม้แต่ในยุคนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเก่าลงแม้แต่น้อย โดยเจ้าของผลงานนั้นก็คือบุคคลปริศนาที่ใช้ชื่อว่า “วิริญาพร บุญประเสริฐ”
วิริญาพร คือ ใคร?
การปรากฎตัวครั้งแรกของวิริญาพรคือ เทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 16 ปี 2012 ด้วยวิธีการที่น่าตกใจ โดยการส่งหนังสั้นจำนวนหลายเรื่องเข้าเทศกาล โดยใช้ชื่อเรื่องเจริญพรมหาธรรมใน 3 โลก และตามด้วยชื่อตอน ซึ่งการส่งหลายเรื่องยังน่าตกใจไม่พอ เนื้อหาภายในยิ่งน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะแต่ละเรื่องเต็มไปด้วยการเสียดสีการเมืองทั้งเรื่องของการรักชาติ ทหาร ทัศนคติของคนชนชั้นกลางต่อชาวนา และอีกหลายเรื่องในแบบที่คนยุคนั้นไม่มีใครกล้าพูด จนคนในวงการหนังสั้นก็เรียกการกระทำนี้ว่า “เฮี้ยน“ ซึ่งเรียกการกระทำที่สุดโต่งและแปลกเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงของวิริญาพรเป็นใครกันแน่
ตัวตนของวิริญาพร บุญประเสริฐนั้นค่อนข้างเป็นปริศนา เพราะชื่อที่ใช้เป็นชื่อปลอม แม้กระทั่งตัวตนในเฟสบุ๊ค และเพื่อนในเฟสก็เป็นตัวตนปลอมที่สร้างขึ้นมา เพื่อเสียดสีการเมืองในอีกทาง และยังมีความเป็นไปได้ที่ตัวตนของวิริญาพรอาจจะเป็นกลุ่มคน เพราะหนังสั้นบางเรื่องที่ต่างเดิมอย่างเช่น Hungary Man Boooo ที่ใช้ภาพการถ่ายเองจากปกติที่จะใช้วิดีโอจากสื่อที่มีอยู่แล้ว จึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีมากกว่าหนึ่งคนที่สร้างหนัง แต่ใช้ชื่อวิริญาพร บุญประเสริฐร่วมกัน
แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ ตัววิริญาพรน่าจะเป็นคนในวงการหนังสั้น จากการจงใจตั้งชื่อแต่ละเรื่องให้ตัวอักษรเรียงลำดับกัน เพื่อให้ลำดับการฉายหนังของตนต่อเนื่องกัน ซึ่งกฎการเรียงลำดับการฉายหนังตามตัวอักษรนั้นมีแค่คนในวงการเท่านั้นที่รู้ หรือการแกล้งคนในวงการด้วยการนำภาพของคนวงในมาใช้ประกอบในหนังสั้น หรือการล้อการขึ้นประโยคก่อนหนังเริ่มให้เหมือนกับหนังสั้นรางวัลของนวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่ใช้ประโยคว่า “แรงดันบรรดาลใจจากเรื่องจริง” แต่เปลี่ยนเป็น ”แรงดันบรรดาลใจจากหนังสือพระเครื่อง”
แม้จะมีการแสดงออกขนาดนี้แต่คนในวงการด้วยกันก็ไม่รู้ว่าวิริญาพรเป็นใคร รู้แค่ว่าน่าจะเป็นคนใกล้ตัวแน่ๆ จึงมีการพยามตามหาตัวจริงด้วยการตั้งเป้าหมายคนที่สงสัยไว้ จากนั้นในช่วงอีเว้นท์ก็รอให้คนที่เป็นเป้าหมายมาร่วมงาน จากนั้นก็แอบส่งข้อความเฟสบุ๊คไปหาวิริญาพร เพื่อดูว่าเป้าหมายจะยกมือถือขึ้นมาตอบหรือเปล่า โชคดีที่มีข้อความตอบกลับมา แต่น่าเสียดายเป้าหมายกลับไม่ได้ใช้มือถืออยู่ ทำให้ข้อสันนิฐานของเป้าหมายนี้เป็นอันตกไปและตัวตนของวิริญาพรก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไป
ทำไมถึงมาก่อนกาล?
เมื่อพูดถึงวิริญาพรนั้นนอกจากความลึกลับแล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหรือเธอโดดเด่นจริงๆก็คือผลงานต่างๆ โดยลักษณะผลงานส่วนใหญ่จะไม่ตัวละครดำเนินเรื่องและออกมาในเชิง”found footage” แต่จะใช้ฟุตเทจจากสื่อที่มีอยู่แล้ว เช่น โฆษณา หนัง เพลง หรือรายการทีวี แล้วแต่ละฟุตเทจของสื่อที่ไม่ได้เข้ากันเลยมาตัดต่อชนกันให้เกิดความหมายใหม่ อาจฟังดูเหมือนง่ายแต่การตัดต่อให้จังหวะมันพอดีให้ความหมายที่ถูกต้องเป็นสิ่งไม่ง่ายเลย
สิ่งที่ทำให้ผลงานของวิริญาพรโดดเด่นและดูล้ำสมัยไม่ใช่เพียงแค่เทคนิคที่ใช้ แต่เป็นเนื้อหาที่คนไม่ค่อยกล้าพูดถึง ซึ่งหลายๆเรื่องก็กำลังเป็นที่พูดถึงในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นตอนฉันจะเป็นชาวนาอีฟ ซึ่งเป็นเรื่องของชนชั้นกลางที่มองชาวนาเป็นเรื่องสวยงาม ทั้งที่ในประเทศไทยไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย หรือเรื่องที่ทรงพลังอย่าง Ghost of Centralworld ที่เล่าเรื่องผ่านทางด้านของคนเสื้อแดง ที่ยุคนั้นการพูดจากมุมฝ่ายนี้ดูเป็นเรื่องที่ผิดอย่างมาก และถึงแม้ว่าเนื้อหาจะเป็นเรื่องจริงจัง แต่การนำเสนอของบางเรื่องออกมาอย่างสุดโต่งมากๆก็ทำให้กลายเป็นความตลกได้ เช่น เรื่องรักชาติด้วยความรวดเร็ว หรือขี้ข้าหนักแผ่นดิน(1 ชั่วโมง) ที่แค่ชื่อก็บ่งบอกแล้วว่ากำลังเสียดสีเรื่องอะไร
และด้วยความสุดโต่งนี้ ในช่วง 2016 วิริญาพรก็ได้ส่งหนังสั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวกษัตริย์ไทยที่ชื่อเรื่องว่า หนูอยากกลับบ้าน ถึงแม้เทศกาลหนังสั้นจะเปิดกว้างแค่ไหน แต่ด้วยเนื้อที่มีความเสี่ยงนี้ ทำให้เรื่องเป็นแรกและเรื่องเดียวที่ถูกแบนตั้งมีเทศกาลหนังสั้นขึ้นมา(แม้ว่าคนภายในจะไม่อยากทำก็ตาม) และนี้ก็ยังเป็นเรื่องสุดท้ายของ“วิริญาพร”อีกด้วย
แนะนำผลงานวิริญาพร 3+1 เรื่อง
เมื่อทำความรู้จักวิริญาพรกันมาพอสมควรแล้ว ก็อยากจะแนะนำผลงานส่วนหนึ่งที่อาจจะทำให้คุณรู้และเห็นภาพประเทศนี้ให้ชัดขึ้นไปอีกระดับ จากมุมมองของ ”วิริญาพร บุญประเสริฐ” กับผลงานที่พอจะหาดูได้ 3+1 เรื่องต่อไปนี้
1.ฉันจะเป็นชาวนาอีฟ
เรื่องที่เป็นมุดหมายสำคัญที่สุด และยังเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายที่สุด กับเรื่องราวที่พูดถึงชนชั้น Elite ที่รู้สึกหลงรักวิถีชาวนาเหลือเกิน โดยเล่าผ่านสื่อต่างๆที่มีอยู่จริงทำให้เห็นว่าสื่อต่างๆมีอิทธิพลในการหล่อหลอมแนวคิดเกี่ยวกับชาวนาหรือคนต่างจังหวัดแบบผิดๆอย่างแนบเนียน แล้วเมื่อคุณดูจบคุณก็จะได้เข้าใจว่าทำไม ฉันถึงเป็นชาวนา ’ if ’
2.รักชาติด้วยความรวดเร็ว
เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาไม่มาก แต่ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงบุคคลิกกวนๆและรูปแบบการจิกกัดที่หาไม่ได้จากที่อื่น ด้วยการนำหนังรักชาติอย่างสุริโยทัยมาเร่งความเร็วเพื่อให้คุณได้รักชาติด้วยความรวดเร็ว
3.Ghost of Centralworld
อีกหนึ่งเรื่องที่ยังทรงพลัง กับเรื่องราวความสูญเสียในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ Centralworld ในช่วงชุมนุมประท่วงของคนเสื้อแดง ผ่านมุมมองของญาติผู้เสียชีวิตของผู้ประท่วงที่ไม่ได้รับความยุติธรรม แล้วจบลงด้วยการฉลองเปิดห้างราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
+1.เจริญวิริญาพรมาหาทำใน 3 โลก
(เป็นแค่ตัวอย่างนะ)
เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่คุณวิริญาพร เป็นคนทำ แต่เป็นสารคดีสั้นที่เกี่ยวกับคุณวิริญาพรและยังเป็นแรงบันดาลใจของบทความนี้อีกด้วย โดยสารคดีพูดถึงการตามหาตัวจริงของคุณวิริญาพร ด้วยการสัมภาษณ์คนในวงการแต่ละคนและช่วยกันชี้ว่าคนที่ในวงสัมภาษณ์นี้ใครคือวิริญาพรกันแน่ โดยเรื่องราวนำพาไปถึงเรื่องของเสรีภาพในการพูดและการแสดงออก และที่เหตุผลให้วิริญาพรถึงปกปิดตัวตนจนถึงทุกวันนี้
ภายในสารคดียังมีลายละเอียดมากมายนอกเนื่องจากในบทความ ใครอยากรับชมอาจจะต้องรอติดตามจากเจ้าของผลงาน หรือจากเพจ Thai Short Film & Video Festival เพื่อติดตามการนำกลับฉายอีกครั้งจากเพจนี้
เรื่องของวิริญาพรในวันนั้น กับเมืองไทยวันนี้
เราจะเห็นได้ว่าหลายๆเรื่องที่คุณวิริญาพรต้องการนำเสนอนั้น ล้ำหน้าในยุคนั้นและยังคงร่วมสมัยในยุคนี้ด้วย แต่ก็เพราะล้ำสมัยนี้ก็มีราคาอันแสนเจ็บปวดที่ต้องจ่ายกับประเทศที่แห่งการปิดกั้นนี้ ทำให้ในยุคนั้นคุณวิริญาพรถูกล่าแม่มดอย่างหนักหน่วง จนต้องถอยออกมาอย่างช่วยไม่ได้ และนี้ก็คงเป็นอีกเหตุผลที่เขาถึงจำต้องสวมหน้ากากเพื่อให้ได้อิสระในการพูด
อีกหนึ่งประเด็นที่เรื่องน่าเศร้าคือ การที่เนื้อหาในหนังยังคงร่วมสมัยอยู่ในปัจจุบันนั้น พูดอีกนัยหนึ่งก็คือเมืองไทยในวันนี้ยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเลย แม้จะมีการเปิดกว้างขึ้นบ้างแต่ถ้าหากคุณวิริญาพรเปิดเผยตัวตนแล้วยังพูดเหมือนในวันนั้น ก็คงไม่พ้นการซ้ำรอยเดิมในวันนี้แน่ๆ หากวันหนึ่ง วันที่หนังของคุณวิริญาพรตกยุคมาถึง นั้นแปลว่าอิสรภาพเกิดขึ้นที่ประเทศไทยแล้ว และจะได้ไม่ต้องมีใครสวมหน้ากากอีกต่อไป
ขอขอบคุณ
สารคดีเจริญวิริญาพรมาหาทำใน 3 โลก โดย Kanyarat Theerakrittayakorn ที่เป็นแรงบันดาลใจและข้อมูลในการเขียนบทความ
และรายการ Untitled Case Trace Talk ที่ทำให้ได้รู้จักสารคดีนี้
หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัย ณ ที่นี่
ภูผา : เขียน/เรียบเรียง
ป่าน : งานศิลป์
โฆษณา