28 ธ.ค. 2021 เวลา 08:11 • กีฬา
ท็อป 5 โมเม้นท์ประจำปี 2021 ของพลพรรค หงส์แดง
1. ลูกโหม่งแห่ง แชมเปี้ยนส์ลีก ของ อลิสซอน
1
โมเม้นท์นี้เชือว่า เดอะค็อป คงจะลืมยาก ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เจอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ในขณะที่กำลังจะเสมอกันอยู่มะรอมมะร่อ อลิสซอน “พ่อหมี” เบ้คเกอร์ ก็นึกครึ้มอกครึ้มใจค่อย ๆ วิ่งขึ้นมากะหวังทำเซอร์ไพรส์ จากลูกเตะมุมท้ายเกม แล้วมันก็เหมือนบทละครดรามาสุดประทับใจน้ำตาไหล 2 ถัง
บอลค่อย ๆ ลอยมาจากมุมซ้ายพร้อมกับนายทวารร่างหมีค่อย ๆ ลอยมาที่จุดนัดพบ ก่อนที่ศีรษะจะสัมผัสบอลเปหลี่ยนทางเข้าไปตุงตาข่าย ใครเห็นก็ต้องว่าเข้าแหละ เพราะมันตุงตาข่ายขนาดนั้น ว่าแล้วผู้เล่นที่เหลือก็วิ่งเฮดีใจกอดกันกลม ไหนจะปฏิกิริยาข้างสนามที่เหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 2 ใบซ้อน ซึ่งนั่นหมายความว่าความหวังจะไป แชมเปี้ยนส์ลีก ของแข้ง หงส์แดง ได้ถูกจุดปผระกายขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่แทบจะมืดมนตลอด 90 นาทีก่อนหน้านั้น
2. แพ้คาบ้าน 6 นัดรวด
1
อาจจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่อยากมีใครจดจำ เพราะมันไม่ใช่ช่วงเวลาแห่งความน่ายินดีอะไร หนำซ้ำกลับสร้างความอับอายให้กับ เดอะค็อป ทั้งดลก โดยเฉพาะบนโลกโซเชียล ซึ่งแน่นอนว่าตอนนั้นเรา ๆ ท่าน ๆ น่าจะอยากหนีไปให้พ้น ๆ จากโลกเสมือนจริง
หายนะเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมปีก่อนที่ เวอร์จิล ฟาน ไดค์ โดน จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าบอลซะเล่นเอา ACL หรือเอ็นไขว้หน้าขาดกระจุย นั่นคือจุดเริ่มของความตกต่ำดำดิ่งของ ลิเวอร์พูล ก็ว่าได้ เพราะเมื่อเข้าสู่ช่วงเวลาโปรแกรมชุกชุมพวกเขาก็ต้องเจอกับมรสุมโหมกระหน่ำ
เบิร์นลีย์, ไบรท์ตัน, แมนฯ ซิตี้, เอฟเวอร์ตัน, เชลซี และ ฟูแลม คือ 6 ทีมที่บุกมายัดเยียดความปราชัยคาบ้านให้กับ ลิเวอร์พูล ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านั้นพวกเขาไม่แพ้ใครมากว่า 3 ปี บทจะเสียความบริสุทธิ์ก็โดนล่อซะ 6 นัด ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคมจนถึง 16 มีนาคม ก่อนจะฟื้นกลับมาไม่แพ้ใครใน 10 นัดสุดท้ายของฤดูกาลคว้าอันดับ 3 มาได้อย่างน่าปรบมือ
3. ถล่ม แมนยู คาบ้าน 2 เกมติด
หนึ่งในไฮไลท์ของปี 2021 ที่ยังจำไม่เคยลืมเลือน คอยเตือนตัวเองเอาไว้เป็นอย่างดี นั่นคือ การถล่ม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คู่ปรับสำคัญ 2 เกมรวดในปีเดียวกัน โดยยิงได้ 9 ประตูและเสียไป 2 ลูกเท่านั้น
เกมแรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมของซีซันก่อนที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ตอนนั้น หงส์แดง กำลังต้องการ 3 แต้มเพื่อลุ้นทำคะแนนชิงพื้นที่ แชมเปี้ยนส์ลีก และพวกเขาก็ทำสำเร็จแม้จะโดน บรูโน แฟร์นันเดส ยิงนำให้เจ้าบ้านก่อนตั้งแต่นาทีที่ 10 แต่หลังจากนั้น 3 ประสานอย่าง โชต้า, ฟีร์มีโน และ ซาลาห์ ก็ช่วยกันจัดคนละดอกสองดอก พาทีมเอาชนะ 4-2 เก็บ 3 คะแนนได้สำเร็จ
ในซีซันต่อมามหกรรมย้ำแค้นมาเร็วกว่าที่คิดเมื่อทั้ง 2 ทีมโคจรมาพบกันอีกครั้ง ณ ที่เดิมแต่เปลี่ยนเวลาใหม่เป็นวันที่ 24 ตุลาคม และเกมนี้ก็ขาดลอยไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกเมื่อกองหลัง แมนฯ ยูไนเต็ด เล่นกันอย่างสะเปะสะปะ ทำพลาดจนเสียประตู และทำให้ โม ซาลาห์ สามารถทำแฮททริคในเกมนี้ได้สำเร็จในชัยชนะท่วมท้น 5-0
4. การแจ้งเกิดของแข้งดาวรุ่ง
นับตั้งแต่ที่ เยอร์เก้น คล็อปป์ ย้ายมาคุมทีมเมื่อเดือนตุลาคมปี 2015 ถือได้ว่าปีที่ผ่านมาคือปีที่นักเตะดาวรุ่งได้พาเหรดกันแจ้งเกิดมากที่สุดก็ว่าได้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์อาการบาดเจ็บของบรรดาแข้งตัวหลัก แน็ท ฟิลลิปส์ และ รีห์ส วิลเลียมส์ ก็ได้รับสูติบัตรจาก เยอร์เก้น คล็อปป์ ลงสนามช่วยทีมตลอดช่วงครึ่งซีซันหลัง รวมทั้งเจ้าหนู เคอร์ติส โจนส์ ที่เข้ามารับบทบาทในแดนกลางช่วยรุ่นพี่อย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, ติอาโก้ อัลคันทารา และ ฟาบินโญ เกือบทั้งซีซัน
ถัดมาในฤดูกาลนี้ ฮาร์วีย์ เอลเลียต กลับมาจากการฝึกปรือวรยุทธกับ แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส พร้อมกับเครดิตการเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่น่าจับตามองมากที่สุดใน เดอะแชมเปี้ยนชิพ และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้ คล็อปป์ ผิดหวังเมื่อค่อย ๆ ฉายแสงอันเจิดจรัสและถือเป็นความหวังใหม่ในแนวรุกของ หงส์แดง แต่ดังนรกชังหรือสวรรค์แกล้งหรือไรก็ไม่ทราบได้ “เจ้าจุก” ได้รับบาดเจ็บหนักที่ข้อเท้าจนต้องพักยาว ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าในปีหน้าจะกลับมาลงเล่นได้เมื่อไหร่
ส่วนอีกรายหนึ่งที่จะไม่พูดถึงก็ไม่ได้ เจ้าหนู ไทเลอร์ มอร์ตั้น กองกลางตัวตัดเกมที่แจ้งเกิดได้สำเร็จในซีซันนี้ ตอนแรก็ไม่รู้ว่าหมอนี่เป็นใครจนได้เห็นในเกม คาราบาวคัพ และนัด แชมเปี้ยนส์ลีก ที่เอาชนะ เอซี มิลาน ในเกมสุดท้าย ยิ่งทำให้รู้ว่าเด็กน้อยคนนี้น่าจะเป็นผู้มีอนาคตไกลอีกคนแน่นอน
5. ชนะรวดใน “กรุ๊ปออฟเดธ”
โมเม้นสุดอลังการนี้เกิดขึ้นเมื่อต้นฤดูกาลที่มีการจับฉลากแบ่งกลุ่มในศึก ยูฟา แชมเปี้ยนส์ลีก และชื่อของ ลิเวอร์พูล ก็ถูกจัดให้อยู่กลุ่มเดียวกับทั้ง แอตฯ มาดริด, เอซี มิลาน และ เอฟซี ปอร์โต้ ซึ่งก็แน่นอนว่ากลุ่มนี้ได้ชื่อว่า “กรุ๊ปออฟเดธ” หรือกล่มแห่งความตายแล้วตายอีก
อย่างไรก็ตาม เยอร์เก้น คล็อปป์ ก็แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยกลัวใคร แถมยังแสดงแสนยานุภาพด้วยการเก็บชัยชนะ 6 เกมรวดในรอบแบ่งกลุ่ม กลายเป็นทีมแรกของเกาะอังกฤษและเป็นทีมที่ 7 ของ แชมเปี้ยนส์ลีก ที่สามารถทำแบบนี้ได้
6. พลิกนรกผ่าจิ้งจอกทะลุรอบรอง คาราบาวคัพ
ถือได้ว่าเป็นโมเม้นท์สุดประทับใจส่งท้ายปีเมื่อ เยอร์เก้น คล้อปป์ จัดการส่งแข้งสำรอง+ดาวรุ่งลงเล่นในศึก คาราบาวคัพ รอบควอเตอร์ไฟนอลต้อนรับการมาเยือนของ เลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบชนิดกะมาฝังทีมชุด 2 ของเจ้าถิ่นให้แดดิ้นคา แอนฟิลด์
งานกร่อยก็เริ่มขึ้นเมื่อ เจมี วาร์ดี้ และพรรคพวกช่วยกันสอนบอลแข้ง หงส์แดง จบครึ่งแรกออกนำเจ้าบ้านไปด้วยสกอร์น่าใจหาย 3-1 ทำให้นายให่ชาวเยอรมันต้องทำอะไรซักอย่างก่อนจะขายขี้หน้าไปกว่านี้ ว่าแล้วก็ส่ง มิลเนอร์, โชต้า โคนาเต้ ลงมาผนึกกำลังไล่ตีเสมออย่างสุดดรามา โดยเฉพาะลูกวอลเลย์ของ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ทำเอาสนามแทบถล่มก่อนจะเข้าไปเอาชนะในการดวลจุดโทษอย่างโคตรนิ่ง พาทีมทเข้าสู่รอบเซิมไฟนอลไปเจอกับ อาร์เซนอล อย่างสง่าผ่าเผย
YNWA
ฝากกดติดตาม กดไลค์ กดแชร์ ให้แอดมินได้มีกำลังใจผลิตคอนเทนท์ดี ๆ เพื่อเดอะค็อปทั้งปวงด้วยนะครับ
#myliverpoolthailand #YNWA #LIVERPOOLFC #thekop #sport #footballnews #ลิเวอร์พูล #เดอะค็อป #หงส์แดง #เด็กหงส์ #liverpool #ฟุตบอล #ข่าวลิเวอร์พูล #บทความฟุตบอล #ข่าวฟุตบอล #ข่าวฟุตบอลออนไลน์ #พรีเมียร์ลีก #ข่าวพรีเมียร์ลีก #ข่าวฟุตบอลพรีเมียร์ลีก #กีฬา #ข่าวกีฬา
โฆษณา