31 ธ.ค. 2021 เวลา 04:25 • ท่องเที่ยว
ลอนดอนวันที่ 11 (ตอน 1) พระราชวังวินเซอร์ (Windsor Palace)
เช้านี้เราเดินมาสถานีรถไฟวอเตอร์ลู เพื่อจะเดินทางไปพระราชวังวินเซอร์ แต่สงสัยมากว่าทำไมตอนนี้ถึงไม่เหมือนตอนไปพระราชวังแฮมป์ตันคอร์ทเลย เพราะวันนี้จอแจมากแถมยังมีคนวิ่งแบบว่ากลัวจะตกรถไฟอีก อาจเป็นได้ว่าก่อนนี้เป็นวันเสาร์ แต่วันนี้เป็นช่วงวันธรรมดาในช่วงเร่งด่วนก็เลยดูเป็นคนละบรรยากาศแถมยังต้องต่อคิวยาวซื้อตั๋วอีก พอมาถึงตาเราพนักงานก็จ้องหน้าแบบงงๆแล้วก็วิ่งไปถามคนข้างหลัง จับความได้ว่าเครื่องเสีย ต้องรอกันอีกพักใหญ่ ผลก็คือเราไปขบวนนั้นไม่ทัน ต้องต่อขบวนถัดมา
อย่างไรก็ตาม พระราชวังวินเซอร์ก็อยู่ไม่ไกลนัก ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟ Windsor & Eton Riverside ซึ่งมีความงามมากสมกับที่เป็นสถานีที่นำมาสู่พระราชวังสำคัญแห่งนี้ สถานีทำจากอิฐมีช่องหน้าต่าง ประตูเป็นกรอบสีขาว ด้านบนเป็นรูปจั่ว เป็นสถาปัตยกรรมสมัยวิคตอเรียและยังคงมีห้องรับรองพระชินีวิคตอเรียอยู่ด้วย
สถานีรถไฟ Windsor & Eton Riverside
เดินจากสถานไปไม่นานก็มาถึงพระราชวังวินเซอร์รอรับเราอยู่ แม้ว่าพระราชวังวินด์เซอร์จะดูใหม่ทั้งภายในและภายนอก แต่อันที่จริงกลับเป็นพระราชวังที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังใหญ่โตที่สุดในโลกอีกหากนับเฉพาะที่ยังคงถูกใช้งานอยู่ (ต่างจากแฮมป์ตันคอร์ตซึ่งเป็นวังเก่า และไม่ได้เป็นที่ประทับของกษัตริย์อีกต่อไปแล้ว) วังนี้มีประวัติเก่าแก่มากและถูกใช้เป็นที่ประทับหลายราชวงศ์ มีป้อมปราการที่สร้างมาตั้งแต่ยุคกลางไว้ต่อต้านข้าศึกและเคยถูกรุกรานปิดล้อมมาแล้วอีกทั้งยังมีส่วนที่เป็นคุกอยู่ด้วย จุดโดดเด่นของพระราชวังวินด์เซอร์ที่เห็นได้แต่ไกลคือหอคอยทรงกระบอกกลวงที่ใหญ่โตซึ่งถูกสร้างมานาน ตั้งอยู่บนเนินที่ถมขึ้นไปและได้ต่อเติมสูงใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา
พระราชวังวินเซอร์ในมุมต่างๆ
พระราชวังวินด์เซอร์ถูกสร้างขึ้นในปี 1070 สมัยพระเจ้าวิลเลี่ยมที่ 1 หรือวิลเลี่ยมผู้พิชิต เดิมเป็นปราสาทที่ใช้ไม้ซุงเป็นหลัก ตรงที่ตั้งของหอกลมในปัจจุบัน หลังจากนั้นก็ได้ปรับปรุงต่อเติมเรื่อยมาจนได้กลายเป็นปราสาทหิน มีกำแพงหิน หอคอยบนกำแพง และป้อมที่เป็นหอกลมใหญ่อันเป็นจุดเด่นของวังแห่งนี้ หลังจากนั้นก็ได้รับการปรับปรุงแต่งเติมเสริมสร้างสิ่งต่างๆอยู่เรื่อยมาทำให้มีสไตล์ทางสถาปัตยกรรมหลากหลาย ทั้งแบบทิวดอร์ โกธิค และบาโรค นอกจากนั้นในสมัยของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 4 แห่งราชวงศ์ยอร์ค ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านเมืองเข้าสู่ความสงบหลังสงครามดอกกุหลาบก็ได้มีการสร้างโบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George) ซึ่งมีความสำคัญในฐานะเป็นที่เก็บพระบรมศพของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์
1
โบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George)
พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของกษัตริย์อังกฤษมานาน ทั้งในสมัยราชวงศ์ทิวดอร์จนถึงในสิ้นพระเจ้าชาร์ลที่ 1 แม้แต่ในช่วงการปฏิวัติล้มล้างระบบกษัตริย์โดยครอมเวลล์ พระราชวังวินด์เซอร์ก็ได้เป็นที่บัญชาการใหญ่ ใช้เป็นคุกจองจำผู้คนในราชวงศ์รวมทั้งพระเจ้าชาร์ลด้วย หลังจากที่พระองค์ถูกประหาร ร่างของพระองค์ก็ได้ถูกนำมาฝังท่ามกลางหิมะที่โบสถ์เซนต์จอร์จโดยปราศจากพระราชพิธีใดๆ
การฝังพระศพของพระเจ้าชาร์ลที่ 1 เป็นไปอย่างเรียบง่าย
พระราชวังวินด์เซอร์ ยังคงเป็นที่พำนักของกษัตริย์อีกหลายพระองค์จนถึงสมัยวิคตอเรีย ซึ่งในช่วงนี้มีความสำคัญสูงเนื่องจากเป็นที่ทำการของราชสำนักซึ่งราชทูตและบุคคลสำคัญจากนานาประเทศทั่วโลกที่มาเยี่ยมเยียนและเข้าเฝ้าสมเด็จพระนางเจ้าฯวิคตอเรีย อาจกล่าวได้ว่าพระราชวังวินด์เซอร์ช่วงนั้นเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิอังกฤษก็ว่าได้ หลังจากนั้นก็ยังได้เป็นที่พำนักของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์อีกเรื่อยมา แต่เป็นเพียงที่ประทับเฉพาะกาลหรือใช้ทำพิธีการสำคัญในบางครั้งบางครา การที่พระราชวังแห่งนี้ยังคงถูกใช้งานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันจึงมีการบูรณะปรับปรุงเรื่อยมา ทำให้ที่นี่ยังคงดูใหม่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบแต่ละครั้งก็แสดงถึงรสนิยมของกษัตริย์แต่ละพระองค์และสะท้อนประวัติศาสตร์อังกฤษในยุคต่างๆ
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ในปี 1992 พระราชวังวินด์เซอร์ประสบอัคคีภัยครั้งใหญ่ ไฟได้ลุกลามเผาผลาญพระราชวังเป็นร้อยห้องในครั้งเดียว กล่าวกันว่าใช้น้ำดับไฟปริมาณมโหฬารโดยมีการไหลเกือบเท่าน้ำตกไนแองการ่าที่ตกมา 2 วินาทีเลยทีเดียว แต่ก็ยังโชคดีที่หลายห้องที่ถูกเพลิงเผานั้นเป็นห้องเปล่า บางส่วนอาจซ่อมแซมได้เหมือนเดิม บางส่วนต้องออกแบบใหม่ บางส่วนปล่อยค้างไว้ไม่ได้ซ่อมอีก ดังนั้นระหว่างที่เดินชมอาจเห็นห้องบางห้องดูโล้นๆ หรือมีการประดับน้อย ใช้วัสดุที่ดูแตกต่างจากห้องดั้งเดิมแต่ก็ไม่ขัดสายตานัก ยังคงกลมกลืนกับส่วนอื่นๆได้เป็นอย่างดี
ห้องที่สำคัญอีกห้องหนึ่งคือห้องรับรอง (State Apartment) ซึ่งพระเจ้าชาร์ล 2 ต้องการสร้างเพื่อแข่งขันกับพระราชวังแวร์ซายน์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเป็นพระญาติ (ลูกพี่ลูกน้อง) ของพระองค์ ทำการปรับโฉมภายในให้เป็น State Apartment ที่ยิ่งใหญ่สุดของอังกฤษ มีงานศิลปะล้ำค่าอยู่มาก รวมถึงภาพของ Rembrandt Rubens และ Canaletto ด้วย ส่วนอีกห้องหนึ่งคือ semi state room สร้างขึ้นโดยพระเจ้าจอร์จที่ 4 ผู้ซึ่งรักงานศิลปะ จึงเป็นห้องเลี้ยงรับรองที่หรูหรามากและยังคงถูกใช้งานอยู่เป็นครั้งคราว และอีกห้องคือ Crimson Drawing Room ตกแต่งหรูหราเลิศลอยไม่แพ้กัน
ห้องประชุมใหญ่ใน State Apartment ภาพจาก https://www.rct.uk/visit/windsor-castle/highlights-of-windsor-castle#/
semi state room ภาพจาก https://www.rct.uk/visit/windsor-castle/highlights-of-windsor-castle#/
ห้องรับแขกของพระราชินี (The Queen's Drawing Room)
Crimson Drawing Room ภาพจาก https://www.rct.uk/visit/windsor-castle/highlights-of-windsor-castle#/
ภาพวาดสุดสวยบนเพดาน ของศิลปินเอก ภาพจาก https://www.rct.uk/visit/windsor-castle/highlights-of-windsor-castle#/
อย่างไรก็ตาม ห้องที่มีความโดดเด่นและบ่งบอกประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดคือห้องวอเตอร์ลู ซึ่งเป็นที่ระลึกในการชนะสงครามกับจักรพรรดินโปเลียน เราจะได้เห็นภาพวาดเหตุการณ์ บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง เอกสาร และนิทรรศการที่แสดงถึงชัยชนะของอังกฤษและวีรกรรมของลอร์ดเนลสันอยู่มาก เรียกได้ว่าชัยชนะครั้งนั้นเป็นความภาคภูมิใจเป็นเกียรติยศใหญ่หลวงของอังกฤษเลยทีเดียว
ห้องวอเตอร์ลู มีภาพสำคัญเกี่ยวกับยุทธการครั้งนั้นจำนวนมาก ภาพจาก https://www.rct.uk/visit/windsor-castle/highlights-of-windsor-castle#/
นอกจากนี้ยังมีเอกสารสำคัญในสงครามกับนโปเลียน เช่น จดหมายที่ส่งข่าวชัยชนะที่ดุ๊กแห่งเวลลิงตัน (Duke of Wellington) เขียนถวายพระเจ้าจอร์จที่ 4 และจดหมายที่เขียนโดยนโปเลียนเพื่อแสดงการยอมจำนนต่อกองทัพอังกฤษหลังจากถูกปิดล้อมสิ้นทางหนี เนื้อความวิงวอนความเมตตาต่อเจ้าชายรีเจนท์ให้ช่วยไว้ชีวิตโดยสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากทางประวัติศาสตร์อังกฤษที่ถูกเก็บไว้ที่นี่
จดหมายแสดงการยอมจำนนของนโปเลียน ภาพจาก https://www.rct.uk/collection/452438-d/letter-of-surrender-from-napoleon-to-the-prince-regent-13-july-1815
นอกจากนั้นเราจะได้เห็นสิ่งของเครื่องใช้ของนโปเลียนที่ยึดมาได้นำมาจัดแสดงอยู่ โดยชิ้นที่โดดเด่นที่สุดได้แก่เสื้อคลุมสีแดงสไตล์โมรอคโคของจักรพรรดินโปเลียน ปักดิ้นทองสวยและสง่างามมาก และเนื่องจากเสื้อคลุมนี้มีฮู้ดคลุมศีรษะ เมื่อนำไปจัดรูปขึ้นหุ่นไว้ในพระราชวังเลยแลดูเป็นร่างมนุษย์ไร้ใบหน้าในชุดสีเลือดยืนนิ่งสงบภายใต้ความสลัวราง
ภาพเสื้อคลุมนโปเลียนที่กำลังเตรียมจัดแสดง http://home.bt.com/pictures/uk-news/battle-of-waterloo-marked-by-windsor-castle-exhibition-41363958239254
วัตถุชิ้นเอกของจักรพรรดินโปเลียนที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งคือโต๊ะแห่งมหาบุรุษกรีก (Table of the Great Commanders) มีภาพใบหน้าของวีรบุรุษกรีกหลายคน เช่น พระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช ผู้นำทางทหาร และนักปราชญ์กรีก ซึ่งนโปเลียนเคยสั่งทำ (แต่ไม่ทันได้ใช้) อังกฤษได้มาในฐานะของกำนัลจากกษัตริย์ฝรั่งเศสอีกพระองค์คือพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 นำมามอบให้กษัตริย์อังกฤษในครั้งนั้น
Table of the Great Commander ภาพจาก https://www.rct.uk/collection/2634/table-of-the-great-commanders-of-antiquity
นอกจากนี้แล้วในพระราชวังยังมีสิ่งของอื่นๆอีก เช่น ชุดพระแสงดาบซึ่งงดงามมาก พระแสงปืน เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ ซึ่งเคยเป็นขององค์จักรพรรดิ์มาก่อนได้ถูกนำมาถวายให้กับพระเจ้าจอร์จที่ 4 ของอังกฤษหลังจากที่อังกฤษชนะการสู้รบที่วอเตอร์ลู ซึ่งถือว่าเป็นชัยชนะสงครามครั้งใหญ่ของประเทศที่จดจำไปนานเท่านาน
สิ่งของน่ารักน่าชมอีกอย่างที่ควรมาดู ได้แก่บ้านตุ๊กตาของควีนแมรี่ (Queen Marry’s Dolls House) ซึ่งพระองค์โปรดให้สร้างเมืองจำลองขึ้นมามีขนาดเล็กเท่ากับตุ๊กตาโดยย่อส่วนจากขนาดจริงประมาณ 1 ต่อ 12 เราจะได้เห็นบ้านเรือนและอาคารที่สมบูรณ์แบบ มีส่วนประกอบราวกับของจริง ในบ้านเหล่านั้นมีห้องหับ เฟอร์นิเจอร์ครบครัน มีการติดตั้งไฟฟ้าเพื่อให้ความสว่างแก่ห้องเหล่านี้ได้ด้วย สำหรับตุ๊กตานั้นเป็นของสะสมที่มาจากหลายแหล่ง ที่สำคัญคือเสื้อผ้าตุ๊กตาซึ่งเป็นของขวัญให้กับพระธิดาของพระเจ้าจอร์จที่ 6 (เจ้าหญิงอลิซาเบธและมากาเร็ต โรส) ในวาระการเยือนฝรั่งเศส ออกแบบโดยดีไซเนอร์ดังหลายคน ดังเช่น Lanvin, Cartier, Hermès and Vuitton เห็นแล้วชวนอิจฉาตุ๊กตายิ่งนัก
By Rob Sangster - originally posted to Flickr as Queen Mary's doll house at Windsor Castle, CC BY-SA 2.0, https://commons.wikimedia.org/w/index.php?curid=6401733
นอกจากนี้ ที่พระราชวังวินด์เซอร์นั้นเป็นเช่นเดียวกับวังอื่นๆอีกหลายวัง (รวมทั้งวังของไทยเราด้วย) คือมีศาสนสถานภายในเป็นที่ประกอบพิธีต่างๆ และสำหรับที่นี่คือโบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George) เป็นสถาปัตยกรรมเป็นแบบเพอร์เพ็นดิคิวลาร์โกธิค (Perpendicular Gothic) ที่สร้างในปี 1348 โดยกษัตริย์เอดเวิร์ดที่ 3 แต่ก็ได้มีการปรับปรุงดัดแปลงในสมัยต่อมา โดยครั้งสำคัญคือสมัยเอ็ดเวิร์ดที่ 4 เอ็ดเวิร์ดที่ 5 เฮนรี่ที่ 7 และเฮนรี่ที่ 8 การก่อสร้างโบสถ์นี้เซนต์จอร์จนี้เป็นเครื่องหมายแสดงจุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เนื่องจากเป็นช่วงหลังจากสงครามดอกกุหลาบผ่านไป บ้านเมืองมีความสงบ ทำให้ลักษณะพระราชวังที่ดูเป็นป้อมปราการเริ่มเน้นความสวยงามและสะดวกสบายมากขึ้น
เนื่องจากเซนต์จอร์จเป็นโบสถ์ประจำพระราชวังหลวงจึงได้โอกาสในการประกอบพระราชพิธีสำคัญของบุคคลสำคัญ โดยเฉพาะงานอภิเษกสมรสของสมาชิกในราชวงค์จำนวนมาก ความสำคัญอีกประการคือเป็นสุสานประจำราชสำนัก จึงเป็นที่สถิตย์ของกษัตริย์จำนวนหลายพระองค์ นอกเหนือจากพระเจ้าชาร์ลที่ 1 ดังที่กล่าวมาแล้ว ยังมีพระองค์อื่นๆอีก เช่นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 4 และพระราชินีของพระองค์ พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 7 และพระนางอเล็กซานดร้าคู่ชีวิต พระเจ้าเฮนรี่ที่ 6 นอกจากนี้ยังมีพระศพ 2 ร่างที่พบเจอจากหอคอยแห่งลอนดอน ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระโอรสพระองค์น้อยของพระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 4 ที่เราทราบเรื่องราวกันแล้ว (จำได้ไหมฮะ ถ้าจำไม่ได้ย้อนกลับไปดูในตอนที่เราไปหอคอยแห่งลอนดอนกัน) และที่สำคัญคือ เจ้าชายฟิลลิปส์ ดยุกแห่งเอดินเบอระ พระสวามีของสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 พระราชินีองค์ปัจจุบันของอังกฤษซึ่งได้มาประทับที่นี่ด้วย
ภาพจาก https://thecrownchronicles.co.uk/history/history-posts/st-georges-chapel-a-timeless-venue-for-a-very-modern-royal-wedding/
นอกเหนือจากการเป็นโบสถ์ที่มีประวัติศาสตร์ทรงคุณค่าแล้ว รูปแบบสไตล์โกธิคของโบสถ์แห่งนี้ยังมีความงดงามมาก สิ่งที่น่าสนใจอีกประการคือประติมากรรมบนยอดโบสถ์ซึ่งทำเป็นรูปสัตว์หลายตน เรียกว่า King’s Beast หรือ Queen’s Beast หมายถึงสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของแว่นแคว้นหรือหรือของกษัตริย์แต่ละพระองค์ เป็นต้นว่า สิงโต แทนอังกฤษ มังกรแดงแทนเวลส์ เสือดำ แทนพระนางเจน ซีมัวร์ กวางแดงของพระเจ้าริชาร์ดที่สอง ยูนิคอร์นของพระเจ้าเอดเวอร์ดที่สาม เป็นต้น
เมื่อเข้าไปในโบสถ์ก็จะพบกับผู้ให้ข้อมูลนักท่องเที่ยวในชุดเสื้อคลุมแดง (แอบคิดในใจว่านี่คือแม่มดแดง เพราะจินตนาการไปได้เหมือนมาก แต่ละคนอยู่ในสภาพสูงวัยทั้งนั้น) กิจกรรมสำคัญนอกเหนือจากการดูการตกแต่ง ดูเพดานรูปพัดและธงผ้าที่ห้อยจากเพดานแล้ว คือการชมที่ฝังพระศพ โดยเฉพาะพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ผู้ซึ่งทรงเป็นดาราคนเด่นในประวัติศาสตร์อังกฤษ ซึ่งตอนแรกผมได้เดินหาอยู่นานไม่เจอ ก็เลยต้องขอพึ่งพาท่านแม่มดคนสวย
พอถามไปเธอก็ชี้ที่พื้นบอกว่าที่เธอกำลังยืนอยู่นี่ไง อ๊าว จู่ๆพระองค์ก็เรียกเรามายืนอยู่ตรงนั้นพอดี
พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 กับ พระนางเจน ซีมัวร์
ร่างของพระเจ้าเฮนรี่ฯนั้นถูกฝังคู่กับเจน ซีมัวร์ ซึ่งถือว่าเป็นบุญเหลือล้น เพราะเราทราบว่าควีนแต่ละคนของพระองค์มักตายแบบไม่ค่อยจะดีกัน แต่ทำไมเจน ซีมัวร์ ถึงได้รับเกียรติมาอยู่เคียงพระองค์เช่นนี้ล่ะ คุณแม่มดให้คำตอบที่ช่วยให้หายสงสัย เหตุผลก็คือเพราะพระนางได้ให้กำเนิดบุตรชายพระองค์เดียวคือเจ้าชายเอดเวิร์ดซึ่งจะได้กลายเป็นกษัตริย์อังกฤษต่อไปนั่นเอง
นอกจากนี้แล้ว ข้างโบสถ์ก็มีอาคารอิฐแดงและไม้โค้ง สวยงามมาก คือ Horseshoe Cloister เป็นที่ตั้งของคณะสงฆ์และคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ หลังจากนั้นก็ถูกใช้เป็นสำนักงาน ห้องสมุด และบ้านสำหรับคณบดีและทั่วไป
Horseshoe Cloister
ทหารเฝ้าวัง อันนี้ที่เมืองไทยก็มีเหมือนกัน (ลองไปดูพระบรมมหาราชวังก็ได้) ยืนๆอยู่สักพักก็ออกมาเดินตระเวนไปมา ได้ข่าวว่าดุไม่เบา ถ้านักท่องเที่ยวทะเร่อทะร่าไปยืนอยู่ในจุดที่ไม่บังควรก็อาจโดนถีบออกได้
มาเที่ยววังแล้ว เดี๋ยวไปชมโรงเรียนอีตั้นกัน ไปดูลูกผู้ลากมากดี และเมืองสวยๆกันต่อ ก่อนจะกลับบ้าน
โฆษณา