1 ม.ค. 2022 เวลา 02:50 • ประวัติศาสตร์
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กษัตริย์ผู้ทำให้ฝรั่งเศส เป็นผู้นำแบรนด์หรูระดับโลก
1
Louis Vuitton, Hermès, Givenchy, Cartier, Dior, Balmain, Chanel, Saint Laurent หรือแม้แต่ Jacquemus แบรนด์ที่สร้างกระแสเสื้อแหวกอกในช่วงที่ผ่านมา
3
แบรนด์ระดับไฮเอนด์เหล่านี้และอื่น ๆ ล้วนมีที่มาจากประเทศเดียวกันนั่นคือ “ประเทศฝรั่งเศส”
5
ตอนที่เราเรียนสังคมศึกษาในช่วงมัธยม เราคงเคยได้ยินเรื่องราวของโกษาปาน ที่ได้นำคณะทูต ของกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ไปเยือนยุโรป เพื่อไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ของฝรั่งเศสพระองค์หนึ่ง ซึ่งก็คือ “พระเจ้าหลุยส์ที่ 14”
5
รู้หรือไม่ว่ากษัตริย์พระองค์นี้คือผู้ที่เปลี่ยนให้ฝรั่งเศสกลายเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลก
และกลายมาเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์หรูหราที่เป็นที่ต้องการจากทั่วโลก
1
แล้วพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทำสิ่งนี้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
ย้อนกลับไปในช่วงที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ขึ้นครองราชย์ ในปี ค.ศ. 1643 ศูนย์กลางแห่งแฟชั่นของยุโรปในขณะนั้นไม่ได้อยู่ที่ปารีส แต่อยู่ที่กรุงมาดริด ของจักรวรรดิสเปน ที่มั่งคั่งจากการขยายอาณานิคมไปยังโลกใหม่ กับเมืองในคาบสมุทรอิตาลีที่มั่งคั่งจากการเป็นเมืองท่าในยุคเรอแนซองซ์
5
สำหรับจักรวรรดิสเปน เมื่อเงินทองหลั่งไหลเข้ามาผลักดันเศรษฐกิจในประเทศ วัฒนธรรม ศิลปะ และแฟชั่นก็เฟื่องฟู แฟชั่นของสเปนในยุคนั้นจะเน้นไปที่ความงามสง่า เคร่งขรึม และมีสีดำเข้ม
2
บรรดาราชสำนักทั่วยุโรปต่างเดินตามแฟชั่นของจักรวรรดิสเปนในตอนนั้น
1
ชนชั้นนำของฝรั่งเศสในตอนนั้นต่างต้องนำเข้าสินค้าชั้นดีจากหัวเมืองใหญ่ทั่วยุโรป ไม่ว่าจะเป็นผ้าทอลายจากบรัสเซลส์ และเนเธอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้นเป็นดินแดนของจักรวรรดิสเปน
6
เช่นเดียวกับสินค้าจากคาบสมุทรอิตาลี ฝรั่งเศสต้องนำเข้าลูกไม้และกระจกส่องหน้าจากเวนิส หรือแม้แต่ผ้าไหมชั้นเยี่ยมจากมิลานที่นำเข้ามาจากจีน
4
เพราะในฝรั่งเศสยังไม่สามารถผลิตสินค้าชั้นดีคุณภาพสูงเทียบเคียงแหล่งผลิตเหล่านั้นได้เลย
1
ประกอบกับในช่วงวัยเด็กของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีการก่อกบฏจากเหล่าบรรดาขุนนางน้อยใหญ่ ทำให้พระองค์ต้องหลบหนีออกจากความวุ่นวายในปารีส นั่นทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตั้งใจที่จะลดทอนอำนาจของขุนนางและรวบรวมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้กับตัวเองตั้งแต่นั้นมา
5
หนึ่งในวิธีการแสนแยบยล คือ “การสร้างพระราชวังแวร์ซาย”
2
พระราชวังนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงปารีสไปประมาณ 20 กิโลเมตร ได้กลายมาเป็นศูนย์กลางของประเทศและที่บริหารราชการแผ่นดิน โดยได้เชิญให้เหล่าขุนนางศักดินาต่าง ๆ มาอาศัยอยู่ในพระราชวัง เพื่อให้อยู่ใกล้หูใกล้ตาตัวเอง หากผู้ใดปฏิเสธอาจมีผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงตามมา
4
เมื่อมีพระราชวังอลังการแล้ว ราชสำนักก็ต้องอลังการเช่นกัน
ระเบียบและธรรมเนียมของพระราชวังแวร์ซายได้ถูกกำหนดขึ้นมาใหม่
โดยในแต่ละโอกาส ในแต่ละงานต้องมีชุดเฉพาะสำหรับงานหรือโอกาสนั้น ๆ
ซึ่งถือเป็นราชสำนักแรกในยุโรปที่เริ่มธรรมเนียมนี้
1
การเป็นข้าราชบริพารหรือขุนนางที่แต่งกายดี จะได้รับการชมเชยและความสนใจจากกษัตริย์ รวมถึงเป็นที่ชื่นชมในหมู่ชนชั้นสูงด้วยกัน แต่หากใครขาดตกบกพร่องก็จะเป็นที่กระเซ้าเย้าแหย่ในวงสังคม
การแข่งขันด้านแฟชั่นในราชสำนักเป็นไปอย่างรุนแรงเพื่อที่จะช่วงชิงความสนใจและอภิสิทธิ์จากกษัตริย์
และผู้ที่เป็นคนกำหนดเทรนด์ ก็คือ “ผู้ที่กำลังเป็นที่สนใจที่สุดของกษัตริย์” ในเวลานั้นนั่นเอง
แต่ราคาและความจำเป็นของเครื่องแต่งกายเหล่านี้ได้ส่งผลให้ข้าราชบริพารและขุนนางจำนวนมากต้องกลายเป็นหนี้ ซึ่งก็ดูเหมือนเป็นสิ่งที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ตั้งใจ เมื่อเป็นหนี้ขุนนางเหล่านั้นก็ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามได้อีกต่อไป หรือไม่ก็ต้องยอมขายทรัพย์สินหรือข้อมูลความลับให้แก่พระองค์
5
ส่วนการแต่งกายของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นกลายเป็นเสมือนพิธีการหรือธรรมเนียม ในทุก ๆ เช้า
ขุนนาง ข้าราชบริพารคนสำคัญ จะเข้ามาชื่นชมการแต่งกายของพระองค์ ซึ่งหลายคนต้องจ่ายเงินหรือทรัพย์สินจำนวนหนึ่งเพื่อที่จะได้เข้าร่วม
2
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และรัฐมนตรีคลัง ฌ็อง-บัปติสต์ กอลแบร์ ได้ช่วยกันปฏิรูปอุตสาหกรรมสิ่งทอ เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และเฟอร์นิเจอร์ ให้กลายเป็นงานฝีมือชั้นสูง จนกลายเป็นรากฐานของศิลปะการตัดเย็บชั้นสูง หรือ “โอตกูตูร์” ในเวลาต่อมา รวมถึงการสนับสนุนการบริโภคสินค้าภายในประเทศเป็นหลัก
5
ถ้าสเปนมีขุมทองในเปรูเป็นขุมทรัพย์ ฝรั่งเศสก็มีแฟชั่นเป็นขุมทรัพย์เช่นกัน
ฝรั่งเศสรู้ดีว่าตัวเองต้องการเป็นมหาอำนาจในด้านศิลปวิทยาการและวัฒนธรรม
การปฏิรูปดังกล่าวได้สร้างงานให้กับประชาชนชาวฝรั่งเศสจำนวนมาก และกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ แม้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะทำสงครามใหญ่ ๆ กับประเทศในยุโรปหลายต่อหลายครั้ง แต่อุตสาหกรรมแฟชั่น และของฟุ่มเฟือยที่เติบโตก็ได้นำเงินก้อนใหญ่มาเติมในกระเป๋าเงินของฝรั่งเศสไม่ให้ร่อยหรอ
2
ชัยชนะของฝรั่งเศสได้นำอำนาจและชื่อเสียงมาสู่ราชสำนัก และยิ่งทำให้แฟชั่น ศิลปะ และวัฒนธรรมของฝรั่งเศสยิ่งแพร่กระจายออกไปไกล และกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น
2
พระราชวังแวร์ซาย กลายเป็นเหมือนสถานที่จัดแสดงสมบัติและวัฒนธรรมของฝรั่งเศส ทั้งแฟชั่น ศิลปะ ดนตรี สถาปัตยกรรม การแสดง และอาหารชั้นเลิศ
2
โดยอีกหนึ่งในนวัตกรรมแฟชั่นที่สำคัญที่เกิดขึ้นคือ การให้กำเนิด “ซีซันของแฟชั่น”
ในทุก ๆ ปี ผ้าแบบใหม่ เครื่องแต่งกายคอลเล็กชันใหม่จะต้องเปิดตัวปีละสองครั้ง
ทำให้เหล่าแฟชั่นนิสต้าต้องตามซื้อใหม่ สำหรับฤดูร้อนและฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง
3
จากเดิมที่ชาวยุโรปมักจะใส่ชุดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ และมีน้อยชุด
ตู้เสื้อผ้าของพวกเขาก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ไปพร้อมกับการเติบโตของเศรษฐกิจจากการล่าอาณานิคมและโลกใบใหม่ของวงการแฟชั่น
2
ถึงแม้ว่าตอนนี้ประเทศฝรั่งเศสจะไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้ว เพราะเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองของประเทศหลายเรื่องหลังจากนั้น แต่รากฐานจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้วางไว้ในตอนนั้น ก็ได้ทำให้อุตสาหกรรมแฟชั่นและสินค้าหรูหราได้กลายมาเป็นความเชี่ยวชาญของฝรั่งเศส
2
และส่งผลให้ประเทศฝรั่งเศสมีแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย ที่ผู้คนทั่วโลกอยากได้มาครอบครองในปัจจุบัน..
2
References
1
โฆษณา