4 ม.ค. 2022 เวลา 08:52 • ปรัชญา
"จิตมนุษย์ เป็น ธาตุรู้"
ดิน น้ำ ลม ไฟ
ประกอบไปด้วย อนุภาค แร่ธาตุต่างๆ
มนุษย์ สัตว์ แมลง จุลินทรีย์ โรคภัยไข้เจ็บทั้งของมนุษย์ ก็ประกอบไปด้วย อนุภาค แร่ธาตุต่างๆ
พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ว่า จิตมนุษย์ เป็น “ธาตุรู้”
พระองค์ทรงตรัสเรื่องนี้ก่อนใครทั้งหมด เท่ากับทรงบอกว่า “ธาตุรู้” คือ “จิต”
“จิต” ประกอบด้วยอนุภาคของ “ธาตุรู้”
เมื่อมี “อนุภาค” ก็ต้องมี “สนามของอนุภาค” ก็คือ สนามของจิต ก็คือ สกลกาย คือ ร่างกายของมนุษย์นี่เองที่ประกอบด้วย เนื้อ หนัง กระดูก อวัยวะภายใน อวัยวะภายนอก ผม ขน ผนัง เล็บ ที่สำคัญ ก็คือ
ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ หรือจิตของมนุษย์ ที่ทำหน้าที่เป็น ธาตุรู้ สัมผัส (ผัสสะ) กับโลก คือ รู้จักโลกทัศน์ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และเข้าสู่ใจ หรือจิตที่เป็น ธาตุรู้ เช่น …
ตา รู้สีแสงของโลก เรียก “วรรณรูป” ก็คือ สีที่เป็น “Spectrum” ของแสงอาทิตย์ที่ทำให้สรรพสิ่งในโลกมีสีต่าง ๆ มนุษย์จึงรู้จักทรรศน์ผ่านทางตา จึงเรียกการรู้ผ่านทางตา ว่า “จักขุวิญญาณ” เพราะ
“จักขุวิญญาณ” สัมผัสกับวัตถุภายนอก แล้วรู้สีสันของโลก ของวัตถุต่าง ๆ “ธาตุรู้” คือ จิต จึงมีอารมณ์ต่าง ๆ ต่อภาพที่เห็นที่เรียกว่า “วรรณรูป” คือ รูปที่มีสีสัน อารมณ์ คือ จิตใหม่ที่เกิดตามมา เมื่อ “จักขุสัมผัส” คือ “จักขุวิญญาณ ได้สัมผัสกับ “วรรณรูป” แล้วรู้ว่าเป็นอะไร รูปทรงสีสันเป็นอย่างไรมาแล้ว ก็จะเกิดจิตอีกตัวหนึ่งที่เป็นอารมณ์ เรียกว่า “เวทนา”
อารมณ์ ของ “เวทนา” ก็จะมี ชอบ หรือ ไม่ชอบ หรือ กลางๆ “เวทนา” จึงเป็นจิตย่อยที่เกิดขึ้นมาหลังจากจิตแรก คือ จักขุวิญญาณ เกิด จิตเวทนา
จิตเวทนา เป็นอารมณ์ของ “จักขุวิญญาณ ซึ่งเป็นจิตแรกเมื่อเห็นรูปภายนอก “เวทนา” จึงเป็น “วิบาก” ของจิตแรกที่เห็นแล้วตกลงว่า “ชอบ” หรือ “ไม่ชอบ”
​แต่ยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะชอบ หรือไม่ชอบแค่ไหน มากหรือน้อย จึงต้องเกิดจิตอีกตัวหนึ่งตามสนับสนุน คือ “สัญญา
“สัญญา” คือความจำได้ หมายรู้ในรูปนี้ ว่า เคยเห็น เคยรัก เคยชอบ มากหรือน้อยเช่นกัน นี่เป็นการล้วงเอาอดีตกาล ความทรงจำแต่กาลก่อนที่เกี่ยวกับสีสัน รูปทรง รายละเอียดต่าง ๆ ทางตา ก็จะไหลออกมาอย่างพรั่งพรูมากมาย มีการเปรียบเทียบ มีการพิจารณาจนเพลิดเพลิน มีการพินิจ พิเคราะห์ พอมาถึงตรงนี้ ก็เท่ากับว่าต้องไปเอาสัญญาเก่าๆ ก่อน
ตรงนี้ จึงเกิดความเพลิดเพลินกับธรรมารมณ์ทางตาเป็นอย่างมาก
"การเพลิดเพลินในราคะ สังขาร และตัณหา คือ การสร้างกามสุขัลลิกานุโยค"
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า นี่ คือ “นันทิราคะสหคตาตัณหาโปโนภวิกา” คือ ด้วยความเพลิดเพลินในราคะ และร่วมด้วยช่วยกันจาก สห คือหลายสิ่งหลายอย่าง ช่วยกันปรุงแต่งให้สุด ถึงที่สุด ของความชอบหรือไม่ชอบ ก็คือ ตัณหา และเจตนา จนเป็น “กามสุขคัลลิกานุโยค” คือ “อภิสังขาร”
นี่คือ “อภิสังขาร” ที่ได้ตัดสินใจปรุงแต่งเรียบร้อย ก็เป็นจิตที่เกิดตามมาอีกตัวหนึ่ง เรียกว่า...“สังขาร”
"สังขาร ถูกสร้างด้วย สามกาล"
“สังขาร” เป็นจิตที่เกิดมาจากการคัดกรอง ปรุงแต่ง และร่วมด้วยช่วยกันของ “สหคตาตัณหา” เจตนาที่ทะยานอยาก จากอดีต ผสมกับปัจจุบัน และมุ่งไปสู่อนาคต จึงกล่าวได้ว่า เวทนา สัญญา คือ จิตที่เป็น “วิบาก” มาจากอดีต จึงเป็น เผ่าพันธุ์ในอดีตที่เป็น “บุพกรรม” เพลิดเพลินกับราคะที่ผูกติดให้เอร็ดอร่อยในขณะปัจจุบัน และเร่งเร้าให้ทะยานอยากด้วยตัณหาและเจตนาไปในอนาคต
จึงตัดสินใจสร้างจิตเกิดใหม่อีกตัวหนึ่ง คือ “สังขาร” เป็น “อภิสังขาร” จึงเป็น “บุญญาภิสังขาร” และ “อปุญญาภิสังขาร”
“สังขาร” นี้จึงเป็นการสร้างในขณะกาลปัจจุบันจากอาสวะที่เป็น ตะกอน นอนก้น มาจากอดีตกาล คือ “เวทนา” และ “สัญญา” ร่วมด้วยช่วยกันกับ อาสวะ
อาสวะ ในอดีตที่เป็นตะกอนนอนก้น มีอยู่ 4 อย่าง คือ
1 กามาสวะ (กามคุณทั้ง 5)
2 ทิฏฐิสวะ (ทิฏฐาสวะ) ความยึดติดในความคิดทฤษฎี
3 ภวาสวะ (ความอยากในภพของตน ความเป็น ความอยู่)
4 อวิชชาสวะ (ความไม่รู้ทั้งปวงเกี่ยวกับรูปนามของชีวิต และอริยสัจ 4)
เนื่องจาก เป็น “อภิสังขาร” จากการปรุงแต่ง สภาวะธรรมารมณ์ทางตา อภิสังขารนี้ จึงพร้อมที่จะเกิดใหม่ได้อีกในทาง จักขุวิญญาณในอนาคต เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ได้มีผัสสะทางจักขุวิญญาณอีกครั้งในอนาคต ทั้งนี้ เพราะว่า “อภิสังขาร” หรือ “สังขาร” ที่ปรุงสำเร็จเรียบร้อยในจิตปัจจุบัน ได้ถูกอุปทานยึดถือไว้เป็น “วิญญาณในขันธ์ห้า” ที่เป็นจิตอีกตัวหนึ่ง แล้วก็ดับกิจลง อุปทานที่เรายึดถือไว้มีอยู่ 4 อย่าง คือ
1. กามุปาทาน
2. ทิฎฐุปาทาน
3. สีลัพพัตตุปาทาน
4. อัตตวาทุปาทาน
คือ “จักขุวิญญาณ” ตั้งแต่เกิดจากผัสสะตอนแรกก็ผ่านการพิจารณาจาก “สามกาล” เรียบร้อยแล้ว คือ อดีตกาล ปัจจุบันกาล อนาคตกาล
อดีตกาล เริ่มตั้งแต่เกิดจากท้องแม่แล้ว ก็ได้ กาย กับ จิต มา
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีพร้อม พ่อกับแม่ให้มา พร้อมกับจิต “ปฏิสนธิ” และ “ภวังคจิต” ........
EP. 1 - เขียนตามที่เห็น บันทึกตามที่เป็น โดย นายซิดหยุ่น 83
1
โฆษณา